ในตอนแรก ฟางเหยียนใช้กำลังภายในสยบจิตใจของศัตรู จากนั้นก็ค่อยลงมือฆ่า!
ไม่ใช่ว่าท่วงทำนองนี้ทรงพลังอย่างมาก แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคนที่ใช้ท่วงทำนองนี้นั้นใช้กำลังภายในของตนหรือไม่ ประเทศประเทศหวาคนที่สามารถเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ได้ดีมีใครบ้างที่ไม่ใช่ยอดฝีมือผู้ลึกลับสันโดษ มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนละเว้นแล้วซึ่งชื่อเสียงเงินทอง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ใช้ชีวิตราวกับภาพลวงตา
เพียงแต่ถ้าอยากเชี่ยวชาญเรื่องขลุ่ยไม้ไผ่ ก็ยังต้องฝึกฝนตัวเอง!
หากทำการศึกษามันเพื่อชื่อเสียงและความมั่งคั่ง แบบนั้นก็จะเกิดความขัดแย้ง นี่เป็นแนวคิดเดียวกันกับแพทย์แผนประเทศหวาของประเทศหวา
คนประเทศหวาให้ความสำคัญกับจิตใจ จิตใจกำหนดทุกสิ่ง กำหนดความสำเร็จล้มเหลวของเรื่องนั้นๆ ดังนั้นคนประเทศหวาจึงให้ความสำคัญกับการฝึกฝนจิตใจ
นี่ไม่ใช่เป็นการบอกว่าฟางเหยียนเป็นคนที่ฝึกฝนจิตใจเช่นกัน เขาเป็นฆาตกรเลือดเย็น เขาฆ่าคนได้อย่างเย็นชา บอกดูความเป็นตายได้อย่างเฉยชา
เหตุผลที่เขาสามารถเป่าขลุ่ยท่วงทำนองนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะการดำรงอยู่ของเย่ชิงหยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะความรักของเย่ชิงหยู่ที่ทำให้เขายังคงมีจิตเมตตาเอาไว้ เกรงว่าเขาคงเป็นพวกวิปริตไปนานแล้ว!
ดังนั้น การดำรงอยู่ของเย่ชิงหยู่จึงเป็นดาบสองคมสำหรับฟางเหยียน
มันสามารถทำให้หัวใจของฟางเหยียนอ่อนลง และทำให้เขาแข็งแกร่งราวกับหินผาที่เจาะทะลุทุกสิ่งได้เช่นกัน!
หลังจากเสียงปรบมือของฉู่หยาง ทั้งงานก็ค่อยๆเกิดเสียงปรบมือดังขึ้น จากในตอนแรกที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่หลังจากแรงผลักดันจากคนเป็นสิบสู่คนเป็นร้อย ส่งผลให้ทุกคนล้วนลุกขึ้นยืนขึ้นมาและปรบมือให้ฟางเหยียนอย่างกึกก้องในที่สุด
“นี่อาจเป็นบทเพลงที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้ฟังมา ช่างซาบซึ้งอย่างยิ่ง ทำให้คนซาบซึ้งมากจริงๆ”
“เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่ามีเพียงภาพยนตร์เท่านั้นที่จะสามารถแสดงอารมณ์โศกเศร้าเช่นนี้ได้ จนกระทั่งมาในวันนี้ ฉันถึงค่อยพบว่าตนเองคิดผิดเกินไป ที่แท้ดนตรีต่างหากที่สามารถทำให้ผู้คนมึนเมาได้ที่สุด ฉันคิดถึงเธออีกครั้งแล้ว ฉันเสียใจจริงๆ ที่หย่ากับเธอ”
“ฉันก็ด้วย ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เขาสบายดีไหม! ดนตรีนั้นช่างยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เหลือเชื่อจริงๆ”
“ฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ ตนเองมีชีวิตจนเกือบครึ่งทางแล้ว ยังสามารถได้ยินเสียงดนตรีที่ราวกับทำนองของธรรมชาติได้อีก นี่ นี่ นี่แทบจะคือตำนานในวงการดนตรี เปียโนอะไรกัน เมื่ออยู่ตรงหน้าขลุ่ยไม้ไผ่แล้วก็เป็นแค่สุนัขผายลมเท่านั้น!”
“ความรุ่งโรจน์ของประเทศหวา!”
“…”
ฟางเหยียนสมควรได้รับการสรรเสริญว่าเป็นความรุ่งโรจน์ สมควรแก่การได้รับความชื่นชม
เมื่อครู่นี้ที่โต๊ะที่ฟางเหยียนนั่ง ใบหน้าของเสิ่นตานเต็มไปด้วยน้ำตา เธอถามเย่ชิงหยู่ว่า “เย่ชิงหยู่ สามีของเธอเป็นนักดนตรีหรือ? ฉันเองก็เป็นนักดนตรีมืออาชีพ ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าขลุ่ยไม้ไผ่สามารถเป่าออกมาเป็นบทเพลงที่โลดโผนขนาดนี้ได้”
“ใช่ นี่มันช่างเหลือเชื่ออย่างยิ่ง! บทเพลงแบบนี้จะทำให้หัวใจของผู้คนแตกสลายเอาไว้”
เฉินหยาพูดด้วยใบหน้าตื่นเต้น “ชิงหยู่ นี่มันเก่งกว่าติงห้าวไปตั้งเยอะใช่หรือไม่? เขาเก่งกาจมาก”
เย่ชิงหยู่ที่ก็เพิ่งจมเข้าสู่ภวังค์ไปเมื่อครู่ เมื่อเผชิญกับคำถามอันกะทันหันของเพื่อนร่วมชั้น เธอก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร
อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่าฟางเหยียนเล่นเครื่องดนตรีนี้เป็น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินฟางเหยียนเล่นขลุ่ยไม้ไผ่
เธอเติบโตมาพร้อมกับฟางเหยียนและไม่รู้จริงๆ ว่าฟางเหยียนจะเป็นสิ่งต่างๆมากมายขนาดนี้
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอยิ่งไม่รู้ว่าฟางเหยียนผ่านประสบการณ์อะไรบ้างในภูมิภาคนี้ แต่หลังจากที่ฟางเหยียนกลับมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“ฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฟังแล้วไม่เลว” เย่ชิงหยู่ตอบอย่างอ่อนแรง
คำตอบนี้ราวกับไม่ได้ตอบ ทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามอะไรต่อได้อีก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาล้วนยังไม่ฟื้นคืนสติกลับมาจากท่วงทำนองบทเพลงของฟางเหยียนเมื่อครู่นี้
ในเวลานี้ เปียโนจืดจางไร้พลังไป นี่ไม่ได้หมายความว่าเปียโนนั้นไม่ได้เรื่อง แต่เป็นเพราะท่วงทำนองของมันไม่สามารถเข้าถึงผู้คนได้เท่ากับขลุ่ยไม้ไผ่จริงๆ เครื่องดนตรีประเทศหวานั้นท้ายที่สุดแล้วมันถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนานเกินไป จนคนทั่วไปไม่อาจเข้าใจมันได้
เมื่อฟังเสียงปรบมือจากผู้ชมด้านล่าง ในใจของฟางเหยียนก็ยังไร้ระลอกคลื่นใดๆ เขายื่นขลุ่ยไม้ไผ่ให้ฉู่หยาง ฉู่หยางรีบโบกมืออย่างรวดเร็วและพูดว่า “ฉันแก่แล้ว ขลุ่ยไม้ไผ่นี้สมควรแก่เวลาหาเจ้าของคนใหม่แล้ว ฉันขอมอบให้นายแล้วกัน!”
“หืม?” ฟางเหยียนตกตะลึง เขามองไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่แล้วพูดว่า “ผมจะตอบรับคำขอนี้ได้อย่างไรกัน! นี่คือสมบัติของคุณ”
“ไม่ไม่ไม่!” ฉู่หยางรีบโบกมือและพูดว่า “ตอนนี้มันเป็นของคุณแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็บอกกับผู้ชมด้านล่างว่า “เมื่อกี้นี้ เพลงที่น้องชายคนนี้เล่นก็คือดึงดูดผีเสื้อ! นี่เกิดมาจากเครื่องดนตรีของประเทศหวา ขลุ่ยไม้ไผ่ ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณมีความคิดอย่างไรหลังจากฟังมัน แต่ฉันอยากจะพูดอะไรสักประโยค ขิงแก่นั้นเผ็ดกว่า! เครื่องดนตรีที่มีอายุเพียง 300 ปีเท่านั้น จะมาเทียบได้กับมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศหวาที่มีมาเป็นเวลาหลายพันปีได้อย่างไร”
เมื่อสิ้นเสียงลง สายตาของเขาก็หันไปหยุดลงที่บนใบหน้าของติงห้าว ในตอนนี้ใบหน้าของติงห้าวนั้นปั้นยากอย่างยิ่งราวกับกำลังกินอึ
“คุณติงห้าว ฉันอยากจะถามคุณสักหน่อย บทเพลงนี้ได้แสดงให้เห็นถึงบทกวีแล้วใช่หรือไม่!”
“บทเพลงที่สมควรมีแค่บนสวรรค์ มนุษย์นั้นจะได้ฟังสักกี่ครา!”
ติงห้าวอายที่จะพูดอะไรแล้ว นั่นเพราะเขาไม่มีอะไรจะพูดได้อีก เขาแพ้อย่างราบคาบไปทั้งกายและใจ!
เขาจะไม่ยอมแพ้ได้หรือ? บทเพลงที่ประณีตยิ่งกว่าเนรมิตนี้ เขายังมีเหตุผลอะไรให้ไม่ยอมแพ้อีก?
ใช่ ฉู่หยางพูดถูก บทเพลงดังกล่าวสมควรมีแค่บนสวรรค์เท่านั้น มนุษย์นั้นจะไปได้ฟังได้อย่างไร
เมื่อฉู่หยางเมื่อท่าทางละอายใจของติงห้าว เขาก็กล่าวต่อว่า “บางสิ่งบางอย่างที่บรรพบุรุษของเราส่งต่อสืบทอดมานั้นมีเหตุผลอยู่ หากเราไม่เข้าใจสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้! ก็อย่าได้คิดว่าสิ่งที่ตนมีนั้นสามารถเปรียบได้กับสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้เบื้องหลัง โปรดจำไว้ว่า ประเทศหวาเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 5,000 ปี พวกเราจะต้องเคารพสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งเอาไว้ให้”
หลังจากพูดจบ ฉู่หยางก็ประสานมือคำนับ เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งจากด้านล่างเวที
จากนั้นฟางเหยียนและฉู่หยางก็ออกจากเวทีไปด้วยกัน พิธีกรและติงห้าวที่อยู่บนเวทีนั้นอึ้งไปอยู่บ้าง พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าจากนี้จะจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร นั่นเพราะสุดท้ายแล้วฉากอันน่าอึดอันนี้สุดท้ายพวกเขาก็ต้องจัดการมันให้เสร็จสิ้นอยู่ดี
เมื่อมาถึงด้านล่างเวที ฉู่หยางก็ถามฟางเหยียนว่า “น้องชาย ฉันเห็นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์บนตัวคุณ ขอถือวิสาสะถามสักหน่อย คุณมาจากกองทัพอันไกลโพ้นใช้หรือไม่”
ฟางเหยียนพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ใช่ ผมมาจากกองทัพจริงๆ”
“จริงๆด้วย วีรบุรุษวัยเยาว์! คนหนุ่มสาวเข้าสู่กองทัพ! วัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศหวา ประวัติศาสตร์อันยาวนาน หากคิดสืบสานออกไป หนทางยังอีกยาวไกลจริงๆ ก่อนที่ฉันจะรู้จักคุณ ฉันคิดว่าตอนนี้คนหนุ่มสาวล้วนลืมไปแล้วว่าพวกเขาเป็นใคร”
“ท่านฉู่พูดเกินไปแล้ว คุณต่างหากที่สมควรได้รับความเคารพ! แต่ว่าขลุ่ยไม้ไผ่นี้ คุณต้องการมอบให้ผมจริงๆหรือ?”
พูดไป เขาก็ยกขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาดู
ขลุ่ยไม้ไผ่นี้อาจเป็นสมบัติของฉู่หยาง นั่นเพราะฟางเหยียนเห็นความตัดใจไม่ลงจากการแสดงออกต่างๆ ของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาลูบขลุ่ยไม้ไผ่ลำนี้ ราวกับบิดาที่กำลังสัมผัสลูกชายของตนจริงๆ
ฉู่หยางยิ้มหึหึ เขายกมือขึ้นตบที่ไหล่ของฟางเหยียนแล้วพูดว่า “แน่นอน ฉันพูดว่าจะให้คุณแล้วมันจะเป็นเรื่องเท็จไปได้ยังไงกัน? รับมันไป และไปทำในสิ่งที่คุณควรทำ ในโลกนี้ อาจมีเพียงคุณเท่านั้นที่คู่ควรกับขลุ่ยไม้ไผ่ของฉัน”
ฟางเหยียนไม่รู้ว่านี่เป็นคำดูถูกหรือคำชมเชย กล่าวโดยสรุปก็คือฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูสักเท่าไหร่
บางที ขลุ่ยไม้ไผ่นี้อาจเป็นความหวังของเขาก็ได้!
“อ้อใช่ คุณชื่ออะไร” ฉู่หยางดูเหมือนจะยังไม่ได้ถามชื่อฟางเหยียน
ฟางเหยียนเงียบไปสองสามวินาทีแล้วพูดว่า “ฟางเหยียน!”