เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พุ่งไปตามเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ เสียงของขลุ่ยไม้ไผ่นั้นช่างเบาบางเลื่อนลอย และแฝงด้วยเสน่ห์ที่ทั้งอ่อนโยนและกล้าหาญ อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่ส่งออกมาจากกำลังภายใน ฟางเหยียนก็ได้ยินมันหลังจากที่ใช้กำลังภายในออกมา
สำหรับคนทั่วไปก็ไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงของขลุ่ยไม้ไผ่นี้
มีเพียงยืนอยู่สูงขึ้นไป ถึงมองได้ไกลออกไป ได้ยินอย่างละเอียดขึ้น
ฟางเหยียนมุ่งขึ้นไปบนตึกสูง กำแพงแนวตั้ง 90 องศานั้นก็เป็นเสมือนถนนที่เรียบสำหรับฟางเหยียน
มีเด็กสาวสองคนที่กลับมาจากโรงเรียน ขณะกำลังขับรถไฟฟ้าเธอก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนกำแพง
“เมื่อกี้เธอเห็นไหม? มีคนเดินขึ้นไปบนกำแพงหรือเปล่า?” เด็กสาวที่นั่งข้างหลังถามด้วยความประหลาดใจ
คนที่ขับรถไฟฟ้ามองไปที่ถนน ไหนเลยจะเห็นว่ามีใครเดินอยู่บนตึกสูง
เธอขมวดคิ้วและพูดว่า “เธอตาฝาดรึเปล่าน่ะ? ใครจะไปเดินบนกำแพงได้?”
“จริงๆนะ! ฉันเห็นจริงๆ” เด็กสาวอธิบายอย่างหนักแน่น เธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินไปที่หลังคา
“เธออย่ามาพูดเว่อร์ๆเชียวนะ นี่มันดึกแล้ว เธออยากให้คืนนี้ฉันนอนไม่หลับหรือไง?” เด็กสาวที่ขี่รถไฟฟ้ากำลังคิดไปถึงภาพหลอกหลอนในตอนกลางคืน
เด็กสาวที่นั่งเบาะหลังขยี้ตาของตนและมองไปยังตึกสูงอีกครั้ง ตอนนี้เธอมองไม่เห็นใครอีก แต่ว่าเมื่อกี้นี้เธอก็แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนตึกสูงจริงๆ
ฟางเหยียนมาถึงด้านบนสุดของอาคารแล้วและยืนอยู่บนยอดสูงตระหง่าน ลมยามเย็นพัดผ่านมากระทบลงบนใบหน้าของฟางเหยียน เขาไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่เกิดจากลมยามค่ำคืน นั่นเพราะเลือดของเขาเย็นเยียบ แม้แต่ผิวหนังร่างกายของก็เย็นเช่นกัน
เมื่อยืนอยู่บนยอดอาคารสูงตระหง่าน เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
อีกทั้งเขายังเห็นผู้หญิงในชุดฮั่นฝูสีขาวซึ่งอยู่ที่อาคารสูงฝั่งตรงข้าม หญิงสาวราวกับแสงอาทิตย์ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ริบบิ้นสีขาวโบกพลิ้ว เกิดเป็นความรู้สึกหอมเย้ายวน
หญิงสาวกำลังเป่าขลุ่ยไม้ไผ่อย่างเข้าถึงอารมณ์ ส่วนสิ่งที่เปล่งออกมาจากขลุ่ยไม้ไผ่ไม่ใช่ท่วงทำนอง แต่เป็นไอสังหาร
“พูดมาเถอะ คุณเป็นใคร?” ฟางเหยียนถามผู้หญิงที่อยู่ในอาคารสูงฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามอยู่ห่างจากตัวเขาราวสิบห้าสิบหก ไม่ได้ใกล้มากนัก แต่คำพูดก็พอที่จะให้อีกฝ่ายได้ยินได้
หญิงสาวหยุดการกระทำในมือของเธอลง จากนั้นก็ค่อยๆ หันศีรษะมามองที่ฟางเหยียน
ใบหน้าของเธอแฝงด้วยรอยยิ้มน้อยๆอันมีเสน่ห์ เมื่อดวงตาของเธอเห็นขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของฟางเหยียน การแสดงออกก็เปลี่ยนไปทันที เริ่มจากตกตะลึงก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นระมัดระวัง
เธอเอ่ยถาม “ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือนายเป็นคนที่ชื่อว่าฉู่หยางมอบให้ใช่หรือไม่?”
อย่างที่คิดไว้ ที่มาเป็นเพราะขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของตน
โดยไม่ต้องรอให้ฟางเหยียนถาม หญิงสาวพูดว่า “มอบขลุ่ยไม้ไผ่ในมือคุณมาซะ แล้วฉันจะไว้ชีวิตนาย”
พูดจบ หญิงสาวก็เก็บขลุ่ยไม้ไผ่ของตนขึ้นมาและยืนขึ้นจากที่ที่เธอเพิ่งนั่งอยู่
หญิงสาวคนนี้แฝงด้วยกลิ่นอายของเซียน มองดูแล้วไม่เข้ากับคนสมัยใหม่เท่าไหร่ เธอดูราวกับสาวงามยุคโบราณที่เดินออกมาจากภาพทิวทัศน์แห่งขุนเขาและสายน้ำ มีกลิ่นอายเป็นของตัวเอง
ฟางเหยียนมองไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของเขา เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับขลุ่ยไม้ไผ่อันนี้จริงๆ และต่อให้มันจะดูไม่มีอะไรในสายตาเขา แต่เขาก็ไม่มอบมันให้ นั่นเพราะนี่คือสิ่งที่ฉู่หยางมอบให้เขา
“ผู้เฒ่าฉู่หยางเป็นเธอที่ฆ่าเขา?” ฟางเหยียนถามอย่างเย็นชา
หญิงสาวหัวเราะ จากนั้นก็ส่ายหัวและพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันแค่มีหน้าที่เอาขลุ่ยวิเศษกลับคืนมา! มนุษย์ ฉันขอแนะนำให้นายทางที่ดีอย่าได้ยุ่งไม่เข้าเรื่อง มอบขลุ่ยวิเศษมา แล้วใช้ชีวิตของนายไปซะ มิฉะนั้น …”
เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเธอก็เปล่งแววความตายออกมา
มนุษย์! หรือว่าเธอจะคิดไปว่าตัวเองเป็นเซียนแล้วจริงๆ?
ฟางเหยียนส่ายหัวอย่างขมขื่นและพูดว่า “แต่เดิมฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับขลุ่ยไม้ไผ่แบบนี้ แต่ในเมื่อเธอบอกว่ามันเป็นขลุ่ยวิเศษ อย่างนั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะเก็บมันไว้กับตัว”
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมาก เธอตะคอกใส่ฟางเหยียน “ความอดทนของฉันมีจำกัด อย่าบังคับให้ฉันต้องฆ่าคนธรรมดาทั่วไปแบบนาย”
ทุกคำพูดของหญิงสาวล้วนพูดราวกับว่าตนเองนั้นเป็นเซียนที่อยู่เบื้องบน ส่วนฟางเหยียนนั้นเป็นแค่เพียงมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์
พูดจบ กระโปรงสีขาวของหญิงสาวก็พลิ้วไหวไปกับสายลมตามพลังของเธอ กระโปรงสีขาวม้วนขึ้น มองดูแล้วเต็มไปด้วยไอสังหาร
“คนธรรมดาทั่วไป? อย่างนั้นหากวันนี้ฉันก็จะฆ่าเซียนผู้สูงส่งอย่างเธอซะ” พูดจบ ฟางเหยียนก็พุ่งไปข้างหน้าหาหญิงสาว
สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดในชีวิตก็คือการคิดเองเออเองว่าตัวเองมีดี หากเธอยอมก้มหัวลงให้เขาบางทีเธอก็อาจจะมีชีวิตรอด แต่ว่าตอนนี้ เธอจะต้องชดใช้อย่างหนักกับความเย่อหยิ่งของตัวเธอ
ไม่มีใครสามารถทำตัวสูงส่งต่อหน้าฟางเหยียน แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีพลังเพียง 60% แต่เขาก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฆ่าคนได้ราวกับมดปลวก
นี่เป็นฝันร้ายในสายตาของพวกที่ชอบคิดเองเออเอง เป็นราชาแห่งนรกของชีวิตมนุษย์
เขาเร่งความเร็วและบินขึ้นบนอากาศโดยตรง ไม่ผิด เขาบินไป สำหรับฟางเหยียนแล้ว แม้เขาไม่สามารถขี่กระบี่บินหรือว่ากระโดดโบยบินขึ้นไปได้หลายร้อยเมตรหรือหลายกิโลเมตร
แต่การกระโดดข้ามสถานที่ที่มีความสูงไม่กี่สิบเมตร ถือเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง!
เมื่อหญิงสาวเห็นท่าทางที่ดุดันของฟางเหยียน เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองก้าว
เธอพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “น่าสนใจไม่น้อย”
เมื่อฟางเหยียนเข้ามาหาเธอและหยุดลง เธอก็ประเมินมองฟางเหยียนใหม่อีกครั้ง
สามารถบินข้ามมาจากฝั่งตรงข้ามได้ นี่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
แต่ฟางเหยียนไม่ได้สบตามองเธอ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจคนที่ชอบคิดว่าตัวเองสูงส่งพวกนี้ เขาหันฝ่ามือเป็นมีด จากนั้นก็ฟันไปที่หญิงสาว
พูดไปแล้วก็แปลก ร่างกายของหญิงสาวไม่เชื่องช้าเลย อีกทั้งยังยืดหยุ่นอย่างมาก
ฟางเหยียนฟันลงไปที่เธอหลายครั้งติดต่อกัน แต่ทุกครั้งเธอก็กลับหลบหลีกไปได้อย่างลื่นไหล
“หึหึหึ!” ระหว่างนี้ยังมีเสียงหัวเราะเย้ายวนของหญิงสาว ราวกับกำลังบอกว่านายไม่มีทางฟันฉันโดน
ฟางเหยียนหยุดการกระทำในมือของเขาลง จากนั้นก็เห็นว่าร่างเปล่งประกายของหญิงสาวนั้นยืนอยู่ตรงข้ามเขาไปห้าเมตร
เธอมองไปที่ฟางเหยียนด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ขณะมองดูเธอก็พูดกับตัวเองว่า “การเปลี่ยนฝ่ามือเป็นมีด น่าสนใจไม่น้อย”
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้ออกจากภูเขามาเป็นเวลานานรึเปล่า ถึงได้ไม่รู้ว่ามีคนในโลกนี้ที่สามารถเปลี่ยนฝ่ามือให้เป็นมีดได้ เป็นฉันที่เปลี่ยนไป หรือว่ากาลเวลาเปลี่ยนแปลงกันแน่ ขอถามหน่อย นี่คือศตวรรษที่ 21 หรือเปล่า?”
หยิ่งผยอง หยาบคาย เธอถือว่าตัวเองเป็นผู้อยู่เหนือโลกนี้จริงๆ!
ฟางเหยียนได้เห็นผู้สูงส่งมามากเกินไป ดังนั้นผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ก็เป็นแค่ตัวตลกสำหรับเขาเท่านั้น
หรือว่า เธอคิดจริงๆว่าฟางเหยียนจะทำอะไรเธอไม่ได้?
ฟางเหยียนจ้องไปที่หญิงสาวคนนั้นและพูดว่า “เธอเป็นคนของเพลิงเสวนใช่ไหม?”
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ในพริบตาเธอก็ฟื้นคืนสีหน้ากลับมาในทันที
“รู้จักเพลิงเสวน เจ้าหนุ่มอย่างนายถือว่าตามีแววอยู่บ้าง ไม่แปลกใจที่ตาแก่นั่นจะมอบขลุ่ยวิเศษให้นาย” หญิงสาวยังคงหยิ่งผยอง
ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดชัดๆคำต่อคำ “พูดแบบนี้แล้ว เธอก็คือคนของเพลิงเสวนแน่ๆ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย จงมอบขลุ่ยวิเศษในมือนายมาซะดีๆเถอะ! ของศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรมีมนุษย์เป็นเจ้าของ อย่าได้ อย่าได้บังคับให้ฉันต้องฆ่านาย” คำพูดของหญิงสาวยังคงเย่อหยิ่งและเย็นชา