บทที่ 69 ทุกคนล้วนกระจอก
ฟางเหยียนวางถ้วยชาลงข้างๆ พลางมองตู้หมิงล่างด้วยสายตาเย็นชา “ตู้หมิงล่าง ครั้งก่อนที่โรงแรมนานาชาติเทียนเยว่ นายพูดไว้ไม่ใช่หรอว่าจะให้ฉันเป็นพ่อเลี้ยง ทำไมพอเจอฉันกลับไม่พูดอะไรสักคำ”
ตู้หมิงล่างขนลุกไปทั้งตัว ใช่แล้ว งานปาร์ตี้ครั้งก่อน เขาพูดแบบนั้นกับฟางเหยียนจริงๆ ตอนนั้นฟางเหยียนยังถุยน้ำลายใส่เขาด้วย เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนนั้นจะเป็นฟางเหยียน
ฟางเหยียนเป็นคนใหญ่คนโต จู่ๆ ตู้หมิงล่างก็คิดเชื่อมโยงไปได้หลายเรื่อง
งานลงทุนครั้งใหญ่ของหวงหยวนฉาว ล่วงเกินแขกวีไอพีของหวงหยวนฉาว ที่แท้แขกวีไอพีคนนั้นก็คือฟางเหยียน
และงานของตระกูลเซียวเมื่อไม่กี่วันก่อน งานเต้นรำครั้งนั้น ผู้หญิงพวกนั้น ที่แท้ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้ตาบอด เป็นเขาเองที่ตาบอด!
ฟางเหยียนเห็นท่าทีของตู้หมิงล่าง จึงพูดออกมาเนิบๆ “นึกออกแล้วใช่ไหม ใช่แล้ว ฉันก็คือคนใหญ่คนโตที่นายพูดถึงไง คนที่มาจากกองทัพลึกลับยังไงล่ะ!”
ตู้หมิงล่างตัวสั่นจนพูดอะไรไม่ออก
ตู้วี่หลินรู้ว่าคำพูดของฟางเหยียนกำลังตำหนิตู้หมิงล่าง จู่ๆ เหงื่อก็ไหลออกมา แต่การที่เป็นผู้นำของตระกูล เขาต้องพูดอะไรออกมา ดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วหันไปหาตู้หมิงล่าง “เร็วสิ ยังไม่ไปแสดงความเคารพพ่อเลี้ยงอีก!”
ตู้หมิงล่างมองฟางเหยียน แล้วพูดเหมือนจะร้องไห้ “พ่อ พ่อเลี้ยง!”
พูดจบ เขาจึงเดินเข้าไปหาฟางเหยียนอย่างสั่นๆ ฟางเหยียนหัวเราะร่า “นี่สิคือตระกูลกู้! เป็นไปตามคาด ตระกูลกู้ก็แค่สวะ!”
คำพูดของฟางเหยียน ทำให้ตู้วี่หลินคอตก ตระกูลกู้ถูกดูหมิ่นต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษของตระกูล ไม่ใช่แค่เขาที่โดนตบหน้า แต่ตบหน้าบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของตระกูลอีกด้วย แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ
เขาหมดสิ้นหนทาง!
“ผู้นำ ตระกูลกู้ล่วงเกินอะไรคุณเหรอครับ” ตู้วี่หลินถามตัวสั่นงันงก
สีหน้าของฟางเหยียนเคร่งขรึมขึ้นทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “พวกนายไม่กล้าล่วงเกินฉัน แต่พวกนายไม่ควรไปหาเรื่องลุงเย่”
“ตู้วี่หลิน ฉันเห็นแก่หน้าลูกเลี้ยงของฉัน และให้โอกาสนายไปครั้งหนึ่งแล้ว ให้นายไม่ไปร่วมมือกับตระกูลเซียว แต่นายไม่ฟังและจะทำลายตระกูลของตัวเอง จะมาโทษฉันไม่ได้นะ”
สีหน้าของตู้วี่หลินตื่นตระหนกจนแทบจะดูไม่ได้ เขาสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “คุณเป็นคนโทรมาเหรอครับ”
ฟางเหยียนไม่ได้ตอบอะไร แต่ถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า “บอกมาสิว่านายอยากตายยังไง จะคุกเข่าแล้วฆ่าตัวตายหรือจะให้ฉันลงมือฆ่าคนในครอบครัวของนายต่อหน้า!”
พูดจบ แววตาของฟางเหยียนก็แปรเปลี่ยนเป็นโมโห สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
เขายืนอยู่บนตำแหน่งของผู้นำตระกูลตู้ ราวกับราชาผู้หยิ่งยโสที่กำลังตัดสินความเป็นความตายของคนในตระกูลตู้
ตู้วี่หลินและคนอื่นๆ ต่างพากันตื่นตระหนก ทุกคนเดินถอยหลังโดยอัตโนมัติ ผู้หญิงบางคนถึงกับส่งเสียงกรีดร้องออกมา ถึงแม้ตู้เทียนหลงจะกลัว แต่ตอนนี้อาการติดยาของเขาได้กำเริบขึ้นมาแล้ว จู่ๆ ดวงตาและสติของเขาก็พร่าเลือนไปหมด
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ในบ้านเต็มไปด้วยความโกรธ เขาจึงสบถออกมาว่า “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร แกตัดสินความเป็นความตายของคนได้อย่างนั้นเหรอ ถึงตระกูลตู้จะไม่ใหญ่ แต่แกมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินความเป็นความตายของพวกเรา”
ฟางเหยียนยกแก้วชาในมือขึ้นมา เห็นเพียงแรงเหวี่ยงที่รุนแรง มีแสงสว่างวาบพุ่งเข้ามาและตรงไปที่หัวของตู้เทียนหลง เลือดสดไหลลงมาจากหัวของเขา จากนั้นเขาก็ทรุดฮวบลงบนพื้น
พื้นตรงที่ตู้เทียนหลงล้มลงเจิ่งนองไปด้วยเลือด
ภาพตรงหน้าทำให้ทุกคนตกใจ ขนาดคนที่ไม่พูดอะไรอย่างตู้เทียนหัวยังถอยกรูดไปข้างหลังอย่างอดไม่ได้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าตู้เทียนหลงไร้สัญญาณชีพ เขาจึงนั่งยองลงและตรวจดูตรงลำคอของตู้เทียนหัว จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “ตายแล้ว!”
ตู้วี่หลินทรุดลงกับพื้น
ตายแล้วงั้นเหรอ ฆ่าลูกชายต่อหน้าต่อตาของเขา แถมยังใช้วิธีที่ง่ายมาก นี่เป็นมนุษย์หรือเปล่า นี่เป็นอำนาจที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของคนอย่างนั้นเหรอ ตระกูลตู้ไปล่วงเกินพวกทำตัวลึกลับเหมือนพวกทรงเจ้าเข้าผีเหรอ
เขามองฟางเหยียนอย่างหวาดกลัว เขาอยากพูดอะไร แต่ก็กลัวว่าถ้าเอ่ยออกไปอาจจะตายได้
ฟางเหยียนแสยะยิ้ม แล้วพูดออกมาเนิบๆ “ตู้เทียนหลง ฉันให้โอกาสเขาตอนงานลงทุนครั้งใหญ่ของหวงหยวนฉาวไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่รักษามันไว้เอง อีกอย่างเขาก็แค่สวะ อยู่ไปก็เป็นมลพิษในอากาศเปล่าๆ”
ฟางเหยียนไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าเขาเป็นคนดี เขาคงไม่ทำให้ศัตรูอกสั่นขวัญแขวนตอนอยู่ในสนามรบหรอก
อะไรคือจอมพลโผ้จวินน่ะเหรอ ก็คือการที่ทำลายศัตรูด้วยแรงของคนเพียงคนเดียวยังไงล่ะ คนที่ฆ่าศัตรูเรียกว่าจอมพลโผ้จวิน
เขาเคยเผชิญกับกองทัพต่างแดนที่ร้ายกาจเป็นอย่างมากที่ชายแดนภาคเหนือ เขาฆ่าคนนับพันด้วยตัวคนเดียว ฆ่าจนอีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ฆ่าจนอีกฝ่ายไม่สามารถตอบโต้กลับได้ เหลือเพียงหัวหน้าที่คุกเข่าร้องขอชีวิตอยู่คนเดียว แต่เขาก็ไม่ปล่อยเอาไว้
เลือดเย็น เป็นพื้นฐานทางด้านจิตใจที่จำเป็นในสนามรบ
เขาเป็นเทพในสนามรบ อยู่ที่นี่เขาก็เป็นราชาเหมือนกัน เขาสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้
ตู้วี่หลินมองฟางเหยียนที่น่ากลัว เขาค่อยๆ สิ้นหวังลงเรื่อยๆ
ฟางเหยียนไม่ได้กำลังล้อเล่น เขาไม่เคยล้อเล่นกับตัวเอง นี่คือคนที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง ในชีวิตของตู้วี่หลินพบเจอและรู้จักคนมานับไม่ถ้วน แต่ยังไม่เคยเจอใครเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อน คิดจะฆ่าก็ฆ่า
“ผู้นำ เรื่องตระกูลเย่ไม่เกี่ยวกับผม ผมแค่ทำตามที่ตระกูลเซียวบอก ตระกูลเซียวต้องการทำลายตระกูลเย่ ผมเลยต้องใช้วิธีเล็กๆ น้อยๆ ตามที่เขาสั่งให้ดีที่สุด เรื่องนี้ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตระกูลเซียว” ตู้วี่หลินก็ถูกบีบบังคับจนสติแตก
“นายทำอะไร แล้วตระกูลเซียวทำอะไร” ฟางเหยียนถามเนิบๆ ทำเหมือนไม่สนใจอะไร
ตู้วี่หลินรีบพูดออกมาว่า “เซียวเจิ้นเที่ยนบอกให้ผมติดสินบนผู้จัดการของเทียนสงกรุ๊ป โดยการใส่สินค้าปลอมและด้อยคุณภาพลงไปในสินค้าเหล่านั้น ผมสาบานเลยว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความคิดของผม แต่คนของตระกูลเซียวเป็นคนบอกให้ผมทำ”
ฟางเหยียนพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไร “ดีมาก งั้นลุงเย่ตายได้ยังไง นายบีบบังคับจนเขาตายหรือเปล่า”
แววตาของตู้วี่หลินตื่นตระหนก เขารีบพูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นคำสั่งของตระกูลเซียวทั้งหมด”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเป็นเรื่องเล็ก กลัวตายคือธรรมชาติของมนุษย์
“ถ้าผู้นำต้องการให้ผมเป็นพยาน ผมสามารถไปตระกูลเซียวกับคุณได้เลย ผมจะเผชิญหน้ากับเซียวเจิ้นเที่ยน ตอนนั้นเขาเป็นคนที่สั่งให้ผมทำทุกอย่าง” ตู้วี่หลินพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมของชายชรา ตอนนี้กลับกลายเป็นคนไร้เดียงสา
ฟางเหยียนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “นายคิดว่าฉันอยากได้พยานเหรอ ในสายตาของฉันจะฆ่านายหรือฆ่าเซียวเจิ้นเที่ยนก็ไม่ต่างกัน พวกนายมันก็แค่พวกกระจอกเท่านั้น”
ในสายตาของเขา ทุกคนบนโลกล้วนกระจอก!