ความเร็วของเทียนขุยนั้นเร็วมาก เขาพุ่งเข้าไปหาอู๋จี๋ได้เร็วในชั่วพริบตา และในเวลาเดียวกันเขาได้ใช้หมัดพิฆาตพุ่งเข้าไปหาอู๋จี๋ ทันใดนั้นฝ่ามือก็เปลี่ยนเป็นมีดตรงเข้าไปที่คอของอู๋จี๋
คอเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดของมนุษย์ ไม่ตายก็พิการ
เทียนขุยเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นนักรบที่ต่อสู้ในสนามรบมาหลายปีจนสามารถพูดได้ว่าเคยคลานออกมาจากความตาย
เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในพละกำลังและศักยภาพของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้รับความช่วยเหลือจากฟางเหยียนแล้วกลายเป็นนินจาระดับต้าชี่
แทบไม่มีใครต้านทานหมัดนี้ได้!
“หืม?” เทียนขุยขมวดคิ้ว เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถวางหมัดลงไปที่คอของอู๋จี๋ได้ ระยะห่างระหว่างฝ่ามือกับคอของอู๋จี๋ห่างกันเพียงหนึ่งเซนติเมตร แต่อู๋จี๋ไม่สั่นสะท้านอะไรเลย แถมยังมีใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม “มีศักยภาพแค่นี้จริงๆ เหรอ? แทบจะเป็นหมาบ้าตัวหนึ่งเลยนะ! แต่ว่าฉันชอบมัน บ้าแล้วล่ะที่มาบ้ากับคนอย่างฉัน!”
ขณะที่อู๋จี๋ยกมือขึ้น สีผิวของเทียนขุยเปลี่ยนไปในทันที เขาต้องการถอนตัว แต่พบว่าเขาขยับตัวได้เพียงครึ่งตัวเท่านั้น!
ในเวลานี้เขารู้สึกไร้พลังอย่างลึกซึ้ง
ท่าทางการเคลื่อนไหวของอู๋จี๋นั้นเบามาก เหมือนกับไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เขาค่อยๆ ผลักเทียนขุยออกไป
ตูม!
เทียนขุยถูกชกที่ท้องของเขา ร่างกายของเขาคล้ายกับว่าวที่เส้นขาด ตกลงมากระแทกพื้นที่สูงสามเมตรพร้อมกับเลือดพุ่งออกมาจากมุมปากของเขา ลักษณะใบหน้ามีความบิดเบี้ยวและดุร้าย
เจ็บ!
เจ็บจนเหมือนโดนแทงหัวใจ
นี่คือสิ่งที่เทียนขุยแสดงความแข็งแกร่งออกไป ก่อนได้รับความพ่ายแพ้กลับมา
แต่ตอนนี้เขาอยู่ในระดับต้าชี่แล้ว คาดไม่ถึงว่าอู๋จี๋จะแข็งแกร่งกว่า ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ามือที่อ่อนนุ่มจะทรงพลังขนาดนี้
ทุกคนที่แอบซ่อนอยู่ได้เห็นฉากนี้ก็เกิดความโกลาหลทันที
อู๋จี๋ไม่รู้จักความแข็งแกร่งของฟางเหยียนและเทียนขุยก็ช่างมันเถอะ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนหรือเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ชื่อเสียงของเทพแห่งการทำสงครามนั้นเลื่องลือ ความแข็งแกร่งของสหายข้างกายของเขาแย่ขนาดนี้เลยเหรอ ?
ผู้คนที่อยู่ในสถานที่นี้เกือบทั้งหมดล้วนเป็นระดับต้าชี่ จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้ยังไง!
อู๋จี๋ดูถูกเหยียดหยามนินจาระดับต้าชี่ทั้งหมด!
“แย่ล่ะ! สรุปอู๋จี๋แข็งแกร่งแค่ไหนกัน? ฝ่ามือที่อ่อนนุ่มเช่นนี้กลับทำร้ายคนได้บาดเจ็บสาหัส”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขาออมแรง ฉันเกรงว่าเทียนขุยจะต้องตายอย่างแน่นอน”
“คนโหดเหี้ยมแบบนี้ หลังจากนี้กลัวว่าพวกเราจะใช้ชีวิตยากลำบากแล้ว”
“……”
วัดเต๋าบนภูเขาที่ห่างออกไปตรงกับประตูพอดี ชายชราหลายคนจ้องมองไปที่เทียนขุยซึ่งถูกชกจนลอยออกไป พวกเขาเป็นคนระดับสูงขององค์กรนินจาพอดี
ทันใดนั้นผู้อาวุโสชุดขาวก็พูดว่า “ท่านคิดอย่างไร?”
“แข็งแกร่งมาก ท่านรองเทียนขุยฝีมือก็ไม่แย่ สิ่งต่างๆ จัดการแก้ไขยากแล้วล่ะ”
“ฉันมักจะรู้สึกว่าฉันไม่มีโอกาสชนะอู๋จี๋”
ลางสังหรณ์!
คำพูดเหล่านี้หักหน้าผู้นำระดับสูงหลายคนอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากผู้อาวุโสชุดขาวแล้ว ชายชราสองสามคนที่เหลือพูดไปโดยเปล่าประโยชน์ ท่าทางเหมือนจะพูดอีกว่า “พูดมั่วอะไรกัน!”
“ในความคิดของฉัน อู๋จี๋เจตนาทำสิ่งนี้ นอกจากจะให้ฟางเหยียนรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาแล้ว ยังเล่นตลกกับ ฟางเหยียน แน่นอนว่านอกจากนี้สิ่งที่เขาทำคือการข่มขู่เราอย่างเป็นนัย เขาต้องการให้เหล่านินจาส่วนใหญ่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่เอาแต่คุยโวโอ้อวดเท่านั้น แต่เขายังทำให้คนที่คิดจะต่อสู้กับเขาได้คิดไตร่ตรองก่อน”
ชายชราอีกคนพูดแทรก “แต่ว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้เพิ่งบอกว่าเขาเป็นผู้นำขององค์กรสัตว์เพลิงสาขาเหลืองเหรอ?”
“ไม่ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้นำองค์กรสัตว์เพลิงสาขาเหลือง เขาต้องกำจัดจอมพลโผ้จวินของพวกเราก่อน แต่ว่าจอมพลโผ้จวินของเรานิ่งเงียบมาก นิ่งเงียบจนอู๋จี๋คิดว่าเขากำลังตะลึง อย่างหนึ่งที่รู้คือเขามักพึ่งพาสหายผู้ร่ำรวยอย่างเทียนขุย เขาทำเช่นนี้ด้วยเหตุผลเดียวคือเขาไม่พอใจเงื่อนไขที่กำหนดโดยองค์กรสัตว์เพลิง!”
“ถึงจะมีข่าวลือว่าจอมพลสูงสุดพ่ายแพ้อู๋จี๋ แต่ฉันมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเป็นคนที่ชอบจัดการอะไรบางอย่างเงียบๆ คนที่อุทิศตนเพื่อประชาชนจะเปรียบเทียบกับคนคุยโวโอ้อวดอย่างอู๋จี๋ได้ยังไง แต่ก็ไม่พูดไม่ได้ว่าฉันต้องบอกว่าอู๋จี๋รู้วิธีที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมไปแล้วว่ามนุษย์สามารถเอาชนะพระเจ้าได้ไหม?
“ไม่ใช่แล้ว เท่าที่ฉันรู้มาคือจอมพลโผ้จวินคนนี้กำลังป่วยอยู่ แล้วเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของอู๋จี๋ได้อย่างไร? ในความคิดของฉัน พวกเรายังต้องไกล่เกลี่ยอย่างลับๆ เพื่อหลีกเลี่ยงจอมพลของพวกเราล้มเหลวอย่างน่าสังเวช!”
ผู้อาวุโสชุดขาวเหลือบมองชายชราพูดแล้วยิ้มเล็กน้อย “ล้มเหลวอย่างน่าสังเวชงั้นเหรอ? ยิ่งอยู่ที่สูง ตกลงมายิ่งน่าสังเวช เจ้ายังไม่รู้จักจอมพลโผ้จวินคนนี้ดีพอ!”
“แล้วพวกเรามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร?”
อาวุโสชุดขาวมองไปรอบๆ วัดเต๋าแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค“มาดูละคร!”
ภายในวัดเต๋า
สำหรับฟางเหยียนที่ดูสงบจิตสงบใจ ทำให้อู๋จี๋รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่ควรจะรู้สึกว่าอกสั่นขวัญหายเหรอ แต่กลับเขาเฉยเมยที่สุนัขรับใช้ของเขาบาดเจ็บสาหัส อู๋จี๋สนุกกับการเห็นศัตรูตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็น ดังนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่าฟางเหยียนหวาดกลัวเขามาก!
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ!
การทำเป็นพยายามแสดงความแข็งแกร่งนั้นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม!
ความแข็งแกร่งคือพระราชา อย่างอื่นคือโฆษณา!
ตอนนี้เขาสนุกกับความรู้สึกนี้ หากฟางเหยียนถูกกำจัดออกไปทันที เขาจะยังมีความรู้สึกนี้ได้อย่างไร? สำนักไร้หน้าถูกทำลาย ฟางเหยียนจะตายอย่างง่ายดายไม่ได้ มันดูไม่ยุติธรรมต่อเขาเกินไป ดังนั้นเขาจึงต้องการดูฟางเหยียน สิ้นหวัง และค่อยๆ ตรอมใจตายด้วยความสิ้นหวัง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นอู๋จี๋ถึงจะสามารถโล่งใจได้
สำหรับฟางเหยียนเขาเลือกที่จะมองข้าม!
ตรงกันข้ามเขายิ่งรู้สึกว่าสุนัขรับใช้ตัวนี้มีความจริงใจมากพอ และบุคคลนี้มีประโยชน์มากในการเสริมสร้างการพัฒนาของสำนักไร้หน้า
“เจ้าหนู แกโชคดีมากที่ถูกคนแก่อย่างฉันชอบพอ ไม่อย่างนั้นแกตายไปแล้ว อย่าบอกฉันว่านี้เป็นความประมาทของแก ฉันจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง แล้วฉันจะทำให้แกรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าความภาคภูมิใจนั้นไร้ค่าต่อหน้าของฉัน ฉันจะแสดงให้เจ้านายของแกเห็นว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงคืออะไร!”
เทียนขุยพ่ายแพ้แถมยังถูกเหยียบย่ำอย่างรุนแรง เขาจะทนได้อย่างไร เขาพยายามหอบร่างที่บาดเจ็บลุกขึ้นมายิ้มแล้วพูดว่า “แกเป็นคนชั่วร้ายที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะแกต้องจ่ายราคาสำหรับการหยาบคายต่อเทพเจ้าแห่งสงครามของประเทศหวาจอมพลโผ้จวิน ราคาที่จ่ายก็คือเอาชีวิตของแกเป็นเครื่องเซ่นไหว้!”
“ไม่พูดไม่ได้ว่าฉันชื่นชมแกมากจริงๆ แต่ถ้าแกคิดว่าฉันชื่นชมแกเพราะเกลียด งั้นก็เป็นเพราะความคิดลบๆ ของแกไงล่ะ ฉันบอกได้เลยว่าถ้าแกทำให้ฉันโกรธ แกจะเสียใจภายหลัง!”
เทียนขุย ต้องการที่จะพุ่งเข้าไปหาอู๋จี๋ แต่ฟางเหยียนห้ามเขาไว้เสียงดัง “เทียนขุย นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ฉันลงมือเถอะ!”
เทียนขุยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “โผ้จวิน อาการบาดเจ็บของนาย…… ”
“ไม่เป็นไร จัดการกับเขาไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทั้งหมด”
เมื่อฟังคำพูดที่เต็มเปี่ยมของฟางเหยียน ทำให้ความมั่นใจแบบลูกผู้ชายก็กลับมา ความทุกข์ใจของสามวันที่แล้วทำให้เทียนขุยรู้สึกว่าโผ้จวินหมดหวังแล้ว และประกอบกับอาการบาดเจ็บของเขา มันทำให้เขามีภาพลวงตา ชายที่เหมือนพระเจ้าคนนี้ได้ฟื้นฟูตัวเองกลับมาแล้ว!
ตอนนี้คำพูดของฟางเหยียนทำให้เลือดในร่างกายของเทียนขุย เดือดปุด ๆ มีความฮึกเหิมขึ้นมาทันใด
มั่นใจ สงบและไม่สั่นไหว นี่คือฟางเหยียนเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ไม่เคยพ่ายแพ้
เมื่ออู๋จี๋ได้ยินคำพูดของเขาก็หัวเราะเสียงดังจนเจ็บท้อง และเขาก็ล้อเลียนทำเป็นร้องไห้ออกมาเล็กน้อย พร้อมบอกเป็นนัยๆ ว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันมันตลกสุดๆไปเลย อู๋จี๋รู้สึกว่าตัวเองคุยโวโอ้อวดแล้วนะ แต่ไม่คิดว่าชายคนนั้นจะคุยโวโอ้อวดได้ดีกว่า หน้าหนาจริงๆ! ไม่เพียงแต่อู๋จี๋เท่านั้นที่รู้สึก แม้แต่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็รู้สึกว่าฟางเหยียนพูดเกินจริงไปหน่อย และพวกเขาก็ไม่ได้มองฟางเหยียนในแง่ดีเลย
“เจ้าหนู แกบอกว่าเจ้าจะจัดการกับฉันไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทั้งหมดงั้นหรือ?” อู๋จี๋ยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย“บอกตามตรง ฉันไม่เคยเห็นคนที่หน้าหนาแบบนี้มาก่อน!”
“พูดตามตรง ฉันไม่อยากฆ่าแกเลย เกรงว่าความสกปรกจะเปื้อนมือเปล่าๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แล้ว แกต้องตายเท่านั้น!”
ฟางเหยียน เพิกเฉยต่อคำขู่ของอู๋จี๋ มองไปที่เขาแล้วพูดเบาๆ ว่า “น้ำไร้หน้าคือหัวใจของแกใช่ไหม?”
“ทำการบ้านมาดี!” ขณะที่พูดอู๋จี๋ชี้ไปที่หัวใจของเขา เขาอ้าปาก อยากจะทำให้ฟางเหยียนสะอิดสะเอียน แต่พบว่าเมื่อเขาอ้าปาก คำสักคำก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ดวงตาแข็งทื่อ สะท้อนอาการที่ไร้เรี่ยวแรง เหมือนคนป่วย!
“การมีชีวิตอยู่มันไม่ดีเหรอ?”