พอพูดคำนี้ออกมา เซียวเจิ้นเที่ยนยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
เซียวห้านพูดต่อไป “คุณปู่คะ เท่าที่หนูรู้มา ฟางเหยียนดีต่อภรรยาคนนี้ของเขามาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เพียงออกหน้าแทนภรรยาเขาแค่ครั้งเดียว ในเมื่อหาโอกาสจากบนตัวเขาไม่ได้ ไม่สู้ลองดูจากในภรรยาของเขาทางนั้นกันสักหน่อย”
คำพูดของเซียวห้านเรียกสติกลับมาให้เซียวเจิ้นเที่ยนได้อย่างมากมาย เป็นเพราะเรื่องราวในช่วงสั้นๆ นี้ถาโถมเข้ามาจนทำให้เขากดดันอย่างมาก เขาจึงไม่ได้ทำความเข้าใจกับฟางเหยียนคนนี้มากเท่าไรนัก
เซียวพูดมาไม่มีผิด ฟางเหยียนดีต่อภรรยาของเขาจริงๆ
เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ถามว่า “ทุกคนมีปัญหาอะไรมั้ย?”
หลายคนในห้องประชุมต่างส่ายหน้าไม่พูดอะไร จากนั้นเขาจึงพยักหน้าพูดว่า “ดี งั้นเรื่องนี้ให้เซียวห้านไปจัดการ ตระกูลเซียวทุกคนจะให้ความร่วมมือเต็มที่”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่!” สายตาของเซียวห้านเย็นเฉียบ กุมหมัดไว้แน่น
เธอจะต้องค้นหาการตายของบิดาเธอให้กระจ่างอย่างแน่นอน เธอจะให้คนที่ทำให้บิดาเธอตายไปคนนั้นชดใช้ด้วยเลือด
——
วันต่อมาฟางเหยียนเริ่มต้นการเดินทางไปยังหนานหลิง ความแค้นของตระกูลเย่กำลังดำเนินการชำระ เขาให้โอกาสตระกูลเซียวได้พักหายใจ ต้องการให้พวกเขาหมดหวังลงช้าๆ นี่คือการทรมานจิตใจรูปแบบหนึ่ง อีกทั้งยังรู้สึกดีกว่าฆ่าพวกเขาไปโดยตรงเป็นไหนๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบฟางเหยียนเป็นคนโหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็นในสนามรบหรือว่าในชีวิตจริง ขอเพียงคนพวกนั้นพยายามทำร้ายคนสำคัญข้างกายเขา พวกมันจะต้องได้รับการชดใช้ที่ร้ายแรงสุดๆ การดับสูญของตระกูลเซียวเป็นเพียงปัญหาด้านเวลาเท่านั้น
ตอนนี้ในเมื่อหินแดงเขียวที่อาจารย์พูดถึงปรากฏขึ้นแล้ว และมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตของตนเอง เขาย่อมต้องไปตามหาคำตอบที่สำคัญอันนี้เช่นกัน
เทียนขุยตามเขาไปด้วยกัน เพื่อที่ทำธุระแบบเรียบง่าย ทั้งสองจึงเลือกนั่งรถโดยสาร
“จอมพลโผ้จวิน! คุณนายทางนี้จะทำอย่างไรครับ?” เทียนขุยถามขึ้น
ฟางเหยียนมองไปด้านนอกหน้าต่าง พูดจานิ่งๆ “เธอคงไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องบางเรื่องเธอต้องไปทำด้วยตัวเอง!”
เทียนขุยเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทันใดนั้นฟางเหยียนถามต่ออีก “จริงด้วย ตระกูลเซียวทางนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรมั้ย?”
“ขณะนี้ยังไม่มี! การตายของเซียวไห่ปิงส่งผลกระทบต่อเซียวเจิ้นเที่ยนหนักมากครับ ผมคิดว่าพวกเขาใกล้จะเชิญกลุ่มนั้นออกมาแล้วครับ”
ฟางเหยียนพยักหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ก่อนจะพูดว่า “ดีที่สุดรีบเอาพวกมันออกมาให้หมด ฉันจะได้กำจัดตระกูลเซียวโดยตรงเลย”
พูดคำนี้จบ ฟางเหยียนมองด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง
รถโดยสารไปๆ หยุดๆ พอไปถึงแต่ละอำเภอหรือว่าหัวเมือง จะมีคนขึ้นมาสองสามคน และลงไปสองสามคน
ทันใดนั้น ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาจากที่ไหนกัน เธอนั่งแถวเดียวกันกับฟางเหยียนและเทียนขุย ทันทีที่นั่งลงมาไม่นานนักเธอก็สังเกตเห็นฟางเหยียนเข้า ผู้ชายคนนี้ถึงแม้มองไปดูเย็นชาอยู่บ้าง โดยเฉพาะสีหน้าซีดเซียว น่าจะเป็นคนป่วย แต่ทว่าบนตัวของเขากลับมีความรู้สึกสูงศักดิ์ที่พูดไม่ถูกแบบหนึ่ง
เธอเดาว่าฟางเหยียนน่าจะเป็นคุณชายสักตระกูลหนึ่ง ดูมีบุคลิกของคุณชายเอามากๆ เลย ส่วนผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างเขามีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นบอดี้การ์ด และเป็นคนที่จริงจังมากด้วย
ซ่งหยิงเรียนจิตวิทยา โดยเฉพาะชอบคาดเดาและตั้งสมมุติฐานต่อบุคคลแปลกหน้า หลังจากมองเห็นคนแปลกประหลาดที่ไม่พูดจากันสักคำอย่างสองคนนี้เข้า จึงอดทำการตั้งสมมุติฐานสองคนนี้สักครั้งไม่ได้
ไม่รู้ว่ารถโดยสารขับมานานเท่าไร เริ่มแรกยังได้ยินเสียงพูดคุยบ้าง แต่พอนานๆ ไป ทุกคนก็สะลึมสะลือหลับไป
“นายทำอะไร? นายมาลูบขาฉันทำไม?” ทันใดนั้น เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งทำลายความเงียบสงบนี้ลง
มีคนไม่น้อยต่างพากันหันเข้ามามองทางนี้ เห็นเพียงชายหัวล้านคนหนึ่งพูดจายิ้มกริ่ม “น้องสาว เธอพูดมั่วอะไรกัน? ใครลูบขาเธอ? เธออย่ามาใส่ร้ายคนดีหน่อยเลย”
ชายหัวล้านคนนั้นสภาพผมกะหร่อง หน้าตาดูเจ้าเล่ห์ บนแขนยังมีรอยสักสองอัน ดูไปก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร
หน้าของซ่งหยิงแดงขึ้นมาแล้ว เธอลุกขึ้นมาจากที่นั่ง พูดจาแบบไม่ได้รับความเป็นธรรม “ยังจะบอกว่านายไม่ได้ลูบ เริ่มแรกนายแค่ลองเชิง ต่อมาก็กำเริบเสิบสานทันที นายนี่มันอันธพาลจริงๆ”
ซ่งหยิงจับกางเกงยีนไว้ พูดด้วยหน้าตาโมโห
ผู้ชายทำเสียงฮึดฮัด พูดว่า “นี่ เธอกำลังด่าคนอื่นอยู่รึไง? ว่าใครเป็นอันธพาล? พวกเราสองคนอยู่ใกล้กันขนาดนั้น นั่งอยู่เบาะเดียวกัน หรือว่าจะไม่ให้ฉันโดนเธอนิดหน่อยเลยหรือไง? ฉันแค่ไม่ระวังจนไปโดนเข้า เข้าใจมั้ย!”
“ไม่ระวัง? ไม่ระวัง ไม่ระวังเป็นแบบนี้ได้เหรอ? มือข้างหนึ่งเต็มๆ นายทำขนาดนั้นแล้ว ไม่ระวังมีแบบนี้ด้วยเหรอ?” ซ่งหยิงพูดอย่างโมโหเดือดดาล ทั้งยังส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปบนตัวของคุณชายเย็นชาคนนั้นด้วย
ทว่าผู้ชายคนนั้นกลับเพียงด้านนอกหน้าต่าง สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเหมือนไม่ได้ยินอะไร
มองเห็นฉากหนึ่งที่เป็นแบบนี้ ในใจของเธอเกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างน่าประหลาดใจ
บนรถมีผู้สูงอายุใจดีสองสามคนพูดแบบทนไหว
“พ่อหนุ่ม นายทำแบบนี้มันไม่ได้นะ นี่คืออยู่บนรถ เสียดสีกันบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่นายทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว”
“แม่หนู เธอมาแลกที่นั่งกับฉันเถอะ!”
ซ่งหยิงพอได้ยินว่ามีคนยินยอมแลกที่นั่งกับตนเองเข้า ดังนั้นจึงรีบหยิบของของตนเองจะเข้าไปแลก
แต่ผู้ชายคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน ตะคอกออกมาอย่างดุร้าย “เชี้ย! นี่มันคนดีอะไรกันวะเนี่ย แต่ละคนแสร้งเป็นคนดีกันใช่มั้ย? ขอฉันดูหน่อยสิว่าใครจะกล้าแลกที่นั่งกับหล่อน!”
พูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็ล้วงมีดเล่มหนึ่งออกมา ทั้งตัวดูโหดเหี้ยมอำมหิต
ชั่วขณะที่มองเห็นผู้ชายล้วงมีดออกมานั้น ทุกคนหุบปากกันหมด ผู้สูงอายุที่พูดแทนหลายคนนั้นยิ่งกลับไปยังที่นั่งของตนเองด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครเอาชีวิตของตนเองไปทำเรื่องดีหรอก
“แม่หนู ฉันลูบเธอแล้วจะทำไม? พูดตามตรงนะ ฉันยังสนใจเธอแล้วด้วยล่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอมาอยู่กับฉันดีกว่า ฉันรับรองว่าต่อไปเธอจะมีชีวิตสุขสบาย ถนนหลายสายตรงย่านเมืองเก่าแถวสถานีรถไฟของหนานหลิงนั้น ฉันคุมทั้งหมด” ผู้ชายคนนั้นถือโอกาสเปิดเผยออกมาจนหมด คาดว่าบนรถคันนี้คงไม่มีใครกล้าว่าอะไรเขา
ซ่งหยิงไม่เคยประสบกับเรื่องแบบนี้มาก่อน ในใจอดเกิดความรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้ เธอหายใจแรงก่อนจะพูดว่า “นายมันอันธพาล!”
“ใช่ เธอพูดไม่ผิด ฉันเป็นอันธพาลจริง!” ผู้ชายคนนั้นเขย่ามีดในมือสักหน่อย ตะโกนเสียงดัง “นั่งลง!”
สองคำนี้ ตะคอกจนซ่งหยิงสั่นไปทั่วทั้งตัว เธอส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางคุณชายคนนั้นอีกครั้ง เขายังคงมองด้านนอกหน้าต่างอยู่ สายตาเหม่อลอย เหมือนในรถเกิดอะไรขึ้น ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งนั้น
แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเจอคนที่เย็นชาขนาดนี้ คนที่คิดว่าไม่ใช่เรื่องราวตนเองก็ไม่สนใจไยดี ช่างไม่สนใจความคิดของตนเองเสียเหลือเกิน
“สาวน้อย ถูกฉันสนใจเข้าแล้วนับว่าเป็นโชคดีของเธอนะ เธอน่าจะรู้สึกดีใจถึงจะถูก เธอรู้มั้ยว่าข้างนอกมีผู้หญิงมากมายแค่ไหนต่อแถวอยากมาอยู่กับฉัน? สามารถต่อเป็นถนนเส้นหนึ่งสุดสถานีรถไฟเลยล่ะ” พูดๆ อยู่ ชายหัวล้านก็หัวเราะแบบหยาบคายขึ้นมาอีกครั้ง ตอนที่พูดคำนี้ยังสามารถทำให้หน้าไม่แดงได้ถือว่าเก่งกาจนัก ด้วยลักษณะหน้าตาของเขานั้น คำพูดแบบนี้พอจะทำให้เขาลำบากใจจริงๆ
ผู้ชายคนนั้นยื่นมือมาบนหน้าของซ่งหยิง ยิ้มกริ่มพูดว่า “นั่งลงมาเถอะ พวกเราค่อยๆ สนุกกัน”
ตอนที่ซ่งหยิงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี ทันใดนั้นภาพเงาสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของเธอ ก็คือบอดี้การ์ดคนนั้น
ผู้ชายหัวล้านตะลึงนิดหน่อย ยกมีดในมือขึ้นถามว่า “แกทำอะไร? อยากมายุ่งไม่เข้าเรื่องสินะ?”
“ไอ้สารเลว แกเอะอะรบกวนการพักผ่อนของจอมพลโผ้จวินของพวกฉันแล้ว” เทียนขุยพูดจาเย็นชา
ผู้ชายคนนั้นความสูงไม่เท่าไร เตี้ยกว่าเทียนขุยครึ่งศีรษะเต็มๆ พอได้ยินว่ามีคนด่าเขาขนาดนั้น โดยเฉพาะเหมือนจะเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยาก เขาจึงตะคอกอย่างไม่ยอมแพ้ “ถ้ารู้จักเจียมตัวก็ไสหัวไปซะ ฉันเป็นถึงลูกน้องของหยางซ่าวหาน เฮียรองแห่งหนานหลิง”