พอผู้ชายทั้งสามคนเห็นลักษณะพลังนี้เข้า ไร้กำลังวังชาในชั่วพริบตาเดียว กอดสิ่งของของตนเองไว้ พูดจาอย่างไม่กล้ามีปัญหา “ได้ พวกนายไม่ซื้อก็ช่างเถอะ พวกเราไปกันดีกว่า!”
พูดจบทั้งสามคนออกไปจากร้านของเก่าต่งซื่ออย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
ฟางเหยียนสังเกตผู้ชายที่เข้ามาอยู่ แล้วถามขึ้นว่า “ขอโทษนะครับท่านคือคุณต่งโป๋เหวิน?”
ผู้ชายวัยกลางคนสังเกตดูฟางเหยียนรอบหนึ่งเหมือนกัน จากนั้นยิ้มตอบ “ใช่ เมื่อกี้ฟังการวิเคราะห์ของพ่อหนุ่มแล้ว ศึกษาวิจัยของโบราณมากเลยเหรอ?”
ฟางเหยียนตอบอย่างถ่อมตัว “ผมเพียงแค่รู้งูๆ ปลาๆ ท่านสิครับถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง”
“พ่อ!” ต่งยู่ดึงแขนของต่งโป๋เหวินไว้แล้วพูดว่า “นี่คือฟางเหยียนคนนั้นที่หนูเคยบอกพ่อไง ตอนแรกที่เมืองจินโจว ถ้าไม่ใช่เขา หนูคงถูกคนหลอกไปห้าล้านแล้วล่ะ”
“อ่อ?” ต่งโป๋เหวินหัวเราะฮาๆ บอกว่า “ที่แท้เป็นพ่อหนุ่มฟางเองหรือ ได้ยินชื่อเสียงและเลื่อมใสมานานแล้ว”
เขาเอามือมาไว้ที่หน้าอกทำท่าทางกุมมือทักทายออกมาแบบคนยุทธภพ ฟางเหยียนเคารพกลับแบบเดียวกัน
ต่งโป๋เหวินเชื้อเชิญฟางเหยียนนั่งลง บอกให้ต่งยู่ไปรินชา จากนั้นทั้งสองคนจึงเริ่มพูดคุยกันขึ้นมา
“นี่คือคุณฟางเข้ามาหาผมเป็นพิเศษงั้นเหรอ?” ต่งโป๋เหวินเป็นผู้ชายยุทธภพที่ชอบความตรงไปตรงมา นี่คือสิ่งที่เขาสะสมมาในระยะแรกที่เดินทางมายุทธภพ
เมื่ออายุยังน้อยเขาก็เหมือนกับหลิวเหอฉางดินทางไปที่เขตพื้นเมืองและประเทศชาติเก่าแก่บางส่วน
ฟางเหยียนพูดอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “ใช่ครับ มีเรื่องอยากขอให้ท่านต่งช่วยเหลือครับ!”
ต่งโป๋เหวินมีประสบการณ์โชกโชนนับไม่ถ้วน จากพฤติกรรมและท่าทีของฟางเหยียนแล้ว สามารถมองออกว่าเขาไม่เหมือนคนทั่วไป ดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นพลางถามว่า “ไม่ทราบว่าผมมีความสามารถอะไรพอที่จะสามารถช่วยคุณฟางได้ อีกอย่างทำไมคุณฟางถึงคิดว่าผมจะช่วยคุณได้ล่ะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ของต่งโป๋เหวิน ต่งยู่รีบพูดทันที “พ่อ คนอื่นเขาเคยช่วยหนูไว้ ทำไมพ่อถึงไม่ช่วยคนอื่นเขาบ้างล่ะ”
ต่งโป๋เหวินยกมือขึ้นมาขัดจังหวะต่งยู่แล้วบอกว่า “จะช่วยคุณหรือไม่ ยังต้องดูความจริงใจของคุณ!”
ต่งโป๋เหวินเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงจริง สไตล์การทำงานยังไม่เหมือนกับคนทั่วไป แม้ว่าเมื่อสักครู่ฟางเหยียนจะลงมือช่วยเขาแล้ว แต่ต่งโป๋เหวินคนนี้ดูเหมือนไม่ได้ซื้อง่ายขนาดนั้น
“ท่านต่งหมายถึงอัญมณีเลือดทองเหรอครับ?” ฟางเหยียนถามขึ้น
เมื่อต่งยู่ได้ยินว่าเป็นของล้ำค่าที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ชิ้นนี้ เธอจึงรีบพูดขึ้นมา “พ่อ นั่นคือของคนอื่นเขานะ”
เธอคิดว่าหลังจากต่งโป๋เหวินได้ยินอัญมณีเลือดทองนี้แล้ว จะตื่นเต้นกับสิ่งของชิ้นนี้
ต่งโป๋เหวินหัวเราะฮาๆๆ ขึ้นมา พูดว่า “ทรัพย์สินเล็กๆ จะมายกให้ผมต่งโป๋เหวินได้อย่างไรกันล่ะ? อัญมณีเลือดทองเป็นของล้ำค่าที่สูงส่งที่สุด แต่ผมอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นกับของโบราณพวกนี้เหมือนในตอนแรกตั้งนานแล้ว”
“อย่างนั้นเชิญท่านต่งพูดมาตามตรงเลยเถอะครับ!” ฟางเหยียนถามแบบจี้จุดประเด็นสำคัญ
ต่งโป๋เหวินยกมือขึ้นมาดึงมือของต่งยู่ไว้แล้วบอกว่า “ไม่มีใครเข้าใจลูกสาวดีเท่าพ่อ ลูกสาวผมต่งยู่พึ่งพาอาศัยอยู่ด้วยกันกับผมมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากแม่หล่อนจากไปเร็ว หล่อนเลยมีนิสัยเด็ดเดี่ยวทำอะไรโดยลำพังมาตั้งแต่แรก ลูกสาวคนนี้ของผมยังหยิ่งยโสมาก ดูถูกผู้ชายทั่วไปด้วย ก่อนหน้านี้ผมเป็นห่วงมากว่าลูกสาวผมจะไม่ได้แต่งงาน ทว่าตั้งแต่หล่อนกลับมาจากเมืองจินโจวผมพบว่าหล่อนเปลี่ยนไป มักจะพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งกับผมบ่อยๆ เมื่อกี้ยังขวางด้านหน้าผมแล้วพูดแทนผู้ชายคนหนึ่ง พฤติกรรมแบบนี้เพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก!”
คำพูดของต่งโป๋เหวินทำให้จิตใจฟางเหยียนสั่นสะเทือน และยิ่งทำให้ต่งยู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าแดงระเรื่อ เธอเงยหน้ามองทางฟางเหยียน ทันทีที่สบสายตาของฟางเหยียนเข้า เธอก็รีบเก็บสายตากลับทันที
ไม่ผิด นี่คือต่งโป๋เหวินพูดจี้ใจของเธอเต็มๆ เธอต้องยอมรับว่าตนเองชอบฟางเหยียนเข้าแล้วจริงๆ
“หลายวันมานี้ ลูกสาวของผมใจลอยมาตลอด พฤติกรรมแบบนี้ในฐานะคนเป็นพ่ออย่างผมย่อมรู้สาเหตุดีมาก ความจริงผมอยากจะไปเยี่ยมเยือนคุณฟางมาตั้งนานแล้ว นึกไม่ถึงว่าคุณจะเข้ามาเอง” ต่งโป๋เหวินเพียงแค่ไม่ได้พูดออกไปตามตรงว่าลูกสาวผมชอบคุณเท่านั้นเอง
ฟางเหยียนไม่ได้โง่ แน่นอนเขาย่อมรู้ว่านี่หมายความว่าอะไร กลัวว่าต่งโป๋เหวินคนนี้ต้องเป็นหวงหยวนฉาวคนที่สองแน่ๆ
ต่งยู่ที่อยู่ด้านข้างมองความลังเลใจของฟางเหยียนออก ดังนั้นจึงรีบพูดขึ้น “พ่อ คนอื่นเขาแต่งงานไปแล้ว”
ต่งโป๋เหวินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นพูดเสียงดัง “นี่มีอะไรกัน? ทำไมต้องไปสนใจสายตาประเพณีนิยมพวกนั้นด้วย ผมเชื่อว่าคุณฟางคงเป็นคนที่หลุดพ้นกรอบประเพณีแล้ว พูดอีกอย่างคือคนโบราณที่ประสบความสำเร็จของประเทศเรา มีคนไหนที่ไม่ได้มีเมียเยอะกันบ้าง”
คำพูดนี้เกือบทำให้ฟางเหยียนสบถออกมา ต่งโป๋เหวินคนนี้ยิ่งพูดยิ่งเกิดเหตุ มีเมียกันมากอะไรแบบนี้ยังพูดออกมาได้
“ถ้าคุณฟางไม่ถือสาล่ะก็ ลูกสาวผมสามารถแต่งงานเป็นเมียน้อยคุณได้ แบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก” นิสัยของต่งโป๋เหวินช่างทำให้คนเข้าใจผิดได้จริงๆ ดูคล้ายหวงเหล่าเสียในนิยายของจินยงเลย
ต่งยู่รีบทุบต่งโป๋เหวินไป พูดว่า “พ่อ พ่อพูดอะไรกัน? พ่อมาพูดกับลูกสาวของพ่อแบบนี้ได้อย่างไร”
ตอนที่พูดอยู่นั้น หน้าของเธอยังคงแดงระเรื่อ ต่งยู่หน้าตาดูสวยมาก แต่เป็นสาวสวยเย็นชามาโดยตลอด พอตัดผมสั้นแล้วทำให้มองขึ้นมาเธอยิ่งเหมือนเด็กผู้ชาย
ต่งโป๋เหวินพูดด้วยน้ำเสียงที่เร่าร้อนฮึกเหิม “ฉันพูดว่าอะไรแก หรือจะไม่ให้พ่อแกพูดบ้างเลยรึไง? ในชีวิตนี้ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นดีเลิศมาก แกจะสนใจไหม?”
ต่งโป๋เหวินเข้าใจต่งยู่จริงๆ แต่ว่าพูดแบบนี้ทำให้เธอยากลำบากเหลือเกิน
ความจริงเธอทนอยู่ด้านหน้าของฟางเหยียนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงโมโหจนกระทืบเท้า พูดว่า “หนูไม่สนใจพ่อแล้ว”
พูดจบเธอก็วิ่งเข้าไปด้านในห้องหนึ่งแล้ว
ต่งโป๋เหวินมองทางฟางเหยียนแล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? คุณฟาง คุณรู้สึกพอใจลูกสาวผมคนนี้ไหม?”
สีหน้าฟางเหยียนเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “คุณหนูต่งหน้าตางดงาม โดดเด่นเป็นธรรมชาติ ผมจะไม่พอใจได้อย่างไรกันครับ เพียงแต่ผมแต่งงานมีภรรยาแล้ว จะว่าไปยุคสมัยนี้มีเมียน้อยได้ที่ไหนกัน!”
ตอนที่พูด ฟางเหยียนยังส่ายหน้าอย่างจำใจอยู่ตลอด ต่งโป๋เหวินคนนี้น่าสนใจเสียจริงๆ เลย
“ใครบอกไม่ได้กัน ด้วยสถานะของคุณแล้ว รับเมียน้อยคงไม่ใช่ปัญหามั้ง?” คำพูดประโยคหนึ่งของต่งโป๋เหวินทำให้สีหน้าฟางเหยียนเปลี่ยนไปมาก หรือว่าต่งโป๋เหวินคนนี้ยังเข้าใจวิชาโหงวเฮ้ง พอเริ่มเอ่ยปากก็พูดถึงสถานะของตนเองเสียแล้ว
ทว่าไม่นานต่งโป๋เหวินก็เผยรอยยิ้มออกมาพลางพูดว่า “คุณฟางสามารถพิจารณาดีๆ ไม่ต้องรีบร้อนตอบผมหรอก”
“ใช่แล้ว คุณมีเรื่องอะไรอยากให้ผมช่วย ว่ามาเถอะ!”
ในที่สุดก็กลับมาที่ประเด็นหลัก ฟางเหยียนเงียบงันครู่หนึ่ง คลำหาหินสีแดงและเขียวสองก้อนนั้นออกมาก่อนจะยื่นให้ต่งโป๋เหวินโดยตรง จากนั้นพูดว่า “ท่านต่งรู้หรือเปล่าครับว่านี่คือของอะไร?”
“หินทิพย์!” ชั่วขณะที่ต่งโป๋เหวินมองเห็นก้อนหินนั้น ก็พูดสองคำนี้ออกมาแล้ว
เป็นอย่างที่คาดคิด ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ได้หลอกตนเอง ต่งโป๋เหวินรู้ว่านี่คือของอะไร
ต่งโป๋เหวินลุกขึ้นยืน ถือหินที่สีสันต่างกันไว้จากนั้นเริ่มศึกษาขึ้นมาแล้ว หลังจากดูไปสักพักหนึ่ง เขาร้องโอ๊ยขึ้นมาทีหนึ่งแล้วบอกว่า “นี่เป็นของดีจริงๆ ด้วย! คุณรอเดี๋ยวนะ”
พูดจบเขาเดินไปหยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งและแว่นขยายอันหนึ่งที่อยู่บนเคาน์เตอร์ เริ่มศึกษาบนก้อนหินขึ้นมาไม่หยุด ตลอดกระบวนการนั้น ฟางเหยียนไม่ได้รบกวน เพียงแค่ยืนดูต่งโป๋เหวินคนนี้อยู่ด้านข้างเงียบๆ
หลังจากวางเครื่องมือลง ต่งโป๋เหวินเคาะหินทิพย์ดูสักหน่อย ก่อนจะเอามาไว้ที่ข้างหูของตนเองแล้วฟังเสียง ทำแบบนี้สลับกันไปมาอยู่ครึ่งชั่วโมงได้ เขาถึงวางหินทิพย์ลงและพูดว่า “นี่เหมือนว่าจะเป็นหินทิพย์ที่นานหลายปีแล้วมั้ง เป็นของหายากในโลก”