ฟางเหยียนฟังคำพูดนี้จบ กำลังรอคำพูดตามมาของต่งโป๋เหวินอยู่ตลอด แต่ทว่ารอมาหนึ่งนาทียังไม่เห็นต่งโป๋เหวินจะพูดอะไรอีก
“ไม่มีแล้วหรือ?” ฟางเหยียนถามอย่างสงสัย
ต่งโป๋เหวินแบมือทั้งสองออกแล้วพูดด้วยความจำใจ “แน่นอนว่าไม่มีแล้ว ถึงผมรู้อะไรมากขนาดนั้น แต่นี่คือหินทิพย์นะ ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะรู้อะไรมากขนาดนั้นได้ที่ไหน ที่รู้มาขนาดนี้ เพราะผมเคยได้ยินศาสตราจารย์ที่ศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ประเทศหวาและตำนานโบราณคนหนึ่งพูดไว้ ตอนนั้นฟังมาไม่ชัดเท่าไร และไม่เข้าใจมากนักว่าหินทิพย์นี้สรุปแล้วใช้ทำอะไรกัน”
“ศาสตราจารย์?” ฟางเหยียนพูดคำสำคัญคำหนึ่งนี้ซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
ต่งโป๋เหวินพูดขึ้น “ใช่ ศาสตราจารย์คนหนึ่งที่คณะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซีหนาน ผู้คนล้วนเรียกเขาว่าศาสตราจารย์เพี้ยน เขาแซ่โจว! ความคิดของเขาไม่ค่อยเหมือนกับความคิดของคนสมัยนี้ คำที่เขาพูด คนทั่วไปยังฟังเข้าใจยากมาก หากไม่มีเรื่องอะไร คนธรรมดาคงไม่มีใครไปหาเขา บางทีคุณสามารถไปถามเขาดูได้ เขาน่าจะรู้จักของสิ่งนี้”
ฟางเหยียนพยักหน้านิดหนึ่ง จากนั้นตอบว่า “งั้นขอบคุณท่านต่งแล้วนะครับ!”
ขณะกำลังพูดอยู่เขาก็ลุกขึ้น แต่เพิ่งลุกขึ้นยืน กลับถูกต่งโป๋เหวินดึงเอาไว้แล้ว
“คุณฟาง เรื่องเมื่อกี้นี้ คุณต้องพิจารณาดูดีๆ ขอเพียงคุณกับลูกสาวผมแต่งงานกัน ไม่ว่าหล่อนจะเป็นเมียหลวงหรือว่าเป็นเมียน้อย ผมจะยกของทั้งหมดของตนเองให้คุณแน่ อย่ามองว่าที่นี่ของผมโกโรโกโสนะ ของด้านในล้วนเป็นของที่ประเมินราคาไม่ได้ ผมมีเพียงลูกสาวคนเดียว คุณน่าจะรู้ว่าจะมีการตอบแทนอย่างไร”
ฟางเหยียนกระแอมสองทีแบบไม่สะดวกใจ พูดว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ! และหวังว่าท่านต่งจะสามารถโทรศัพท์ไปบอกกับศาสตราจารย์โจวให้ทราบไว้ด้วย ทางนี้ผมจะได้เข้าไปหาเขาได้โดยตรงครับ”
ต่งโป๋เหวินตกตะลึงแล้วตอบว่า “ได้ คุณวางใจได้ ผมจะบอกเขาให้ว่าคุณคือลูกเขยผม”
ถึงแม้ว่าจะพูดฟังยากอยู่บ้าง แต่ยังถือว่าต่งโป๋เหวินคนนี้กระตือรือร้นดี
ฟางเหยียนเดินออกจากร้านของเก่าต่งซื่อ จากนั้นส่ายหน้าอย่างจำใจ
หลังจากที่เห็นว่าฟางเหยียนเดินออกไปแล้ว ต่งยู่ก็เดินออกมาจากห้องด้านใน เธอมองต่งโป๋เหวินด้วยหน้าตาตำหนิพลางพูดว่า “พ่อ ทำไมพ่อถึงพูดไปแบบนั้นกัน คนอื่นเขาเป็นคนที่มีเมียแล้วนะ พ่อจะให้ลูกสาวของตัวเองไปเป็นเมียน้อยของคนอื่นได้อย่างไรกัน”
ต่งโป๋เหวินถลึงตาโตตอบว่า “นี่ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ด้วยสถานะของเขา มีเมียน้อยไว้จะเป็นอะไรไปล่ะ?”
“พ่อรู้หรือว่าเขามีสถานะอะไร?” ต่งยู่ถามอย่างสงสัย ความจริงต่งยู่อยากรู้มากว่าฟางเหยียนมีสถานะอะไร เธอมักรู้สึกว่าคนคนนี้แปลกประหลาดมาก ที่ครุ่นคิดถึงฟางเหยียนขนาดนั้น หนึ่งในนั้นมีมากมาย แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสงสัยสถานะของเขา
ต่งโป๋เหวินบอกว่า “พูดตามตรงพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ศาสตราจารย์โจวเคยพูดไว้ว่าหินทิพย์ประเภทนั้นไม่ใช่คนบนโลกนี้จะสามารถครอบครองได้ ถึงแม้มีอยู่ นั่นก็เป็นของเสีย ของเสียที่ว่าก็คือของที่ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ เหมือนกับของพวกนั้นที่ฉันสะสมไว้”
“แต่ก้อนนั้นของเขาไม่เหมือนกัน สีสันสดใสงดงาม โดยเฉพาะยังมีกลิ่นที่พิเศษอย่างหนึ่ง ฉันคิดว่าสองก้อนที่อยู่ในมือของเขานั้นเป็นหินทิพย์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ หินทิพย์ที่เพียงพอจะสามารถมีพลังเหนือธรรมชาติได้ นี่ยังเป็นคนทั่วไปอีกเหรอ?”
ต่งยู่ฟังจนมึนงง ไม่ได้เข้าใจคำพูดของต่งโป๋เหวินมากนัก
ทว่าเธอกลับร้องโอ๊ยขึ้นมาแล้วพูดว่า “งั้นหนูก็ไปเป็นเมียน้อยของคนอื่นเขาได้เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้แต่งงานซ้ำผิดกฎหมายหรอก นี่ถ้าถูกลือออกไป หน้าตาของพ่อคงไม่เหลือแน่ๆ”
ต่งโป๋เหวินพูดแบบไม่เป็นไร “แกคิดว่าพ่อของแกเป็นคนที่รักหน้าตามากประเภทนั้นเหรอ? จะว่าไปแล้ว กฎหมายที่พวกเราปฏิบัติตามไม่ใช่เขาคนแบบนี้”
“แกบอกฉันมาคำเดียว แกชอบฟางเหยียนหรือไม่ล่ะ?” ต่งโป๋เหวินถามแบบแทงใจดำ
ต่งยู่ร้องโอ๊ยทีหนึ่ง อายจนหน้าแดงเต็มที่พลางพูดว่า “ขี้เกียจยุ่งกับพ่อแล้ว!”
พูดจบเธอวิ่งหน้าแดงออกไปเลย ต่งโป๋เหวินมองภาพเงาของลูกสาว หัวเราะฮาๆ “ยัยลูกโง่”
เขาเข้าใจลูกสาวของตนเองดีเหลือเกิน ลูกสาวคนนี้ชอบผู้ชายที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งเข้าจริงๆ แต่แล้วอย่างไรกันล่ะ เขาต่งโป๋เหวินที่มีชื่อเสียงบนโลกนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะตนเองกับคนอื่นมีความคิดไม่เหมือนกัน
เพิ่งเดินมาถึงหน้าปากซอย ยังมีเสียงเรียกของต่งยู่ลอยมาจากด้านหลัง “ฟางเหยียน!”
ฟางเหยียนหยุดฝีเท้านิ่ง มองทางต่งยู่ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาตนเอง
เมื่อมาถึงตรงหน้าฟางเหยียน เธอก้มหน้าหายใจหอบ พูดขึ้นว่า “คือว่าที่พ่อฉันพูดเมื่อกี้นี้ นายอย่าใส่ใจไปเลยนะ เขาคนนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบล้อเล่น”
“ไม่เป็นไร!” ฟางเหยียนพ่นสามคำนั้นออกมานิ่งๆ ฟังความรู้สึกไม่ออกเลยสักนิด เขาไม่อยากให้หญิงสาวคนนี้เหลือภาพฝันอะไรไว้ โดยเฉพาะเขาเป็นคนที่มีเมียแล้ว
ได้ยินสามคำนี้ที่หนาวเย็นขนาดนั้น ในใจต่งยู่ยังไม่ดีใจเท่าไรนัก หรือว่าตนเองแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ? คนที่ตามจีบตนเองข้างนอกนั้นเรียงแถวกันมายาวเหยียด
แต่ฟางเหยียนยิ่งเย็นยะเยือกแบบนี้ ยิ่งดึงดูดเธอเพิ่มขึ้น
“คือว่า!” เธอเงียบสักครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นมา “คือว่านายยังจะกลับมาอีกไหม?”
แน่นอนว่าเธอหมายถึงบ้านของเธอ ฟางเหยียนมองไปทางซอยนั้นแวบหนึ่ง พยักหน้าตอบแบบครุ่นคิด “แล้วแต่วาสนาละกัน!”
พอต่งยู่ได้ยินคำนี้ ทำแบบขอไปทีที่พูดไม่ออก เธอสบถทีหนึ่ง
จากนั้นพูดว่า “ถ้านายกลับมา ต้องอย่าลืมโทรศัพท์หาฉันก่อนนะ ครั้งนี้ห้ามลืมโทรศัพท์หาฉันอีกนะ” เธอพูด พลางหยิบปากกาด้ามหนึ่งออกมา จากนั้นจับแขนของฟางเหยียนไว้ เขียนวิธีการติดต่อของตนเองลงไปบนมือเขา
หลังเขียนเสร็จ เธอเผยรอยยิ้มที่ความหมายล้ำลึกพอที่จะทำให้คนสังเกตได้ออกมา หมุนตัวแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ต้องจำเบอร์โทรของฉันไว้ดีๆ นะ”
ฟางเหยียนมองหมายเลขโทรศัพท์นั้น หัวเราะแบบขมขื่น จากนั้นหมุนตัวออกไป
ต่งยู่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นหยุดฝีเท้าลง พูดเสียงต่ำเหมือนกำลังพูดกับตนเอง “ความจริงแล้ว เมื่อกี้ที่พ่อฉันพูด นายสามารถพิจารณาดีๆ สักหน่อย”
แต่ทว่าตอนที่เธอหมุนตัวกลับเข้าไป กลับไม่เห็นฟางเหยียนแล้ว
“เชี้ย! อะไรวะเนี่ย!” ต่งยู่กระทืบเท้า กลับบ้านไปด้วยความโกรธพอสมควร
มหาวิทยาลัยซีหนาน เป็นสถานศึกษาระดับหนึ่งของเขตซีหนาน ทั่วทั้งเขตซีหนานและประเทศหวาล้วนเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
ฟางเหยียนเดินเข้าไปมหาวิทยาลัยซีหนานอย่างไม่ได้สนใจสักนิด ความจริงในชีวิตนี้เขาไม่เคยเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนแรกเขาสามารถเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่เขากลับเลือกที่จะไปเป็นทหาร แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งในนั้นมีเย่ชิงหยู่คอยยุยง
ตอนนั้นเย่ชิงหยู่ไม่ค่อยชอบเขาเท่าไรนัก โดยเฉพาะหลังจากที่ทั้งสองคนแต่งงานกัน เย่ชิงหยู่ยิ่งไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเขา บางทีอาจเป็นเพราะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เลยยอมรับเรื่องที่เขามาเป็นสามีของตนเองไม่ได้ในช่วงสั้นๆ ดังนั้นเธอจึงยุยงให้ฟางเหยียนไปเป็นทหารแล้ว
ต่อมายังมีเรื่องราวชุดนั้นที่ตอนหลังฟางเหยียนมาพบเจอเข้า
เมื่อเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยซีหนาน ฟางเหยียนมองเห็นนักศึกษาที่วิ่งกันอย่างอิสระ และไม่สนใจโลกเหล่านั้น อดแสยะรอยยิ้มที่อิจฉานิดๆ ออกมาไม่ได้ ถ้าตอนนั้นเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ลักษณะแบบนี้หรอกมั้ง
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็มาถึงห้องทำงานของคณะประวัติศาสตร์
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตู ยังได้ยินบทสนทนาของอาจารย์สองคนเข้า
“ศาสตราจารย์โจวคนนี้ทำแบบนี้ ไม่เห็นคนอื่นในสายตาไปหน่อยมั้ง แม้แต่ผู้อำนวยการยังไม่เห็นอยู่สายตาด้วยเหรอ?”