ชายที่เป็นดั่งจอมจักรพรรดิแห่งสวรรค์ ได้ทิ้งข้อความไว้บนอนุสรณ์โบราณหน้าวังจอมจักรพรรดิ์อสูร
พละกําลังของเขานั้นมากล้นจนถึงกับทําให้ฟ้าดินยอมรับและจารึกลงไปด้วยกฏฟ้าดินหลังจากหลายล้านปีผ่านไปทั้งหมดนี้ก็ได้แสดงต่อหน้าจักรพรรดิทั้งหลายอีกครั้งในรูปแบบของภาพ
“ยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสาม ครั้งหนึ่งเคยยืนเคียงข้างและอยู่ร่วมโลกเดียวกันกัน !”
กระทิงทองคําตัวสั่นเทา ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสับสนอันเกินกว่าที่จะเชื่อได้
ก่อนหน้านี้ มันได้คลางแคลงเกี่ยวกับเนื้อหาที่ปรากฏบนอนุสรณ์โบราณแห่งแรก
ถึงกับคิดว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้ และทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาและสร้างขึ้นโดยบุคคลที่ทิ้งข้อความนี้ไว้
แต่ตอนนี้ หลังจากที่ได้เห็นอนุสรณ์โบราณแห่งที่สอง ความคลางแคลงทั้งหมดก็ได้ถูกลบล้างไป
กระทิงทองคํารู้ว่าในอดีตอันไกลโพ้น มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ สิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมกันในโลก และปรากฏตัวพร้อมกันเบื้องหน้าวิหารจอมจักรพรรดิอสูร !
เพราะกระแสพลังของประโยคนั้นเหนือธรรมชาติเกินไป มีแต่ผู้ที่มีระดับยุทธ์ในระดับสูงสุดเท่านั้นที่ทําเช่นนั้นได้
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ายังเป็นภาพที่เกิดจากการยอมรับจากฟ้าดิน และบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญ จอมจักรพรรดิอู่จื่อ และผู้ที่แข็งแกร่งดุจจอมจักรพรรดิแห่งสวรรค์ยืนอยู่หน้าวิหารจอมจักรพรรดิอสูร
เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อนจริงๆ ! มันไม่ใช่ของปลอม !
เมื่อได้ยินคําพูดที่เต็มไปด้วยความตกใจของกระทิงทอง ครั้งนี้แม้แต่ราชันโบราณทั้งหกก็ไม่ปฏิเสธ
หรืออาจจะเรียกได้ว่า พวกเขาไม่รู้จะตอบกลับเช่นใด
ข้อเท็จจริงที่หนักแน่นอยู่เบื้องหน้า และทุกอย่างล้วนเป็นความจริง
อนุสรณ์โบราณแห่งแรกน่าจะเป็นของสิ่งมีชีวิตต่างเมื่อหลายล้านปีก่อนหลังจากที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตสูงสุดทั้งสามมารวมตัวกันหน้าวิหารจักรพรรดิอสูรในเวลาเดียวกันนี่เป็นเพียงภาพสลักหลังฉากโบราณนี้
แต่ทว่าหลังจากยืนยันว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง ก็เกิดคําถามขึ้นในใจของจักรพรรดิทุกคนอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อหลายล้านปีก่อน ฟ้าดินนั้นต่างจากปัจจุบันจริงๆ งั้นรี และสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในคราเดียวกันได้ด้วยรี ?
หรือว่าทั้งสามคนนี้ได้ทําลายตํานานและไปถึงระดับที่สูงกว่าเขตแดนระดับสูงสุดจนกลายเป็นนิรันดร์อยู่อย่างผู้เป็นอมตะในโลกแล้วจริงๆ ?
นอกจากนี้ ทําไมทั้งสามคนนี้จึงมารวมกันที่หน้าวิหารจอมจักรพรรดิอสูร ?
พวกเขามาเยี่ยมจอมจักรพรรดิอสูรอย่างงั้นรี ?
ผู้ที่เป็นดั่งจอมจักรพรรดิแห่งสวรรค์นั้นคือใครกัน ?
ทําไมเขาถึงทิ้งข้อความเช่นนั้นไว้กับจอมจักรพรรดิอสูร ?
เฝ้าเส้นทางสู่ยมโลกเพียงลําพังสองชั่วชีวิต แบกรับความทุกข์ทนของผู้คนไว้บนบ่าชั่วนิรันดร์งั้นรี ?
เส้นทางสู่นรกที่ไหนกัน ทําไมถึงต้องให้จอมจักรพรรดิอสูรไปเฝ้าระวังและปกปักษ์ถึงสองชั่วชีวิต ?
มีค่าถามมากมายค้างคาอยู่ในใจของทุกคน
“ขอให้เทพเซียนคุ้มครอง นักพรตผู้นี้รู้สึกมาเสมอว่าครั้งนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ข้าต้องได้เห็นประวัติศาสตร์เมื่อหลายล้านปีก่อนและค้นพบเสี้ยวหนึ่งของความจริงให้จงได้”
หัวใจของตัวนหยุนเชิงเต้นอย่างแรง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
เหตุผลที่เขาชอบขุดสุสานนั้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้แค้นเผ่าพันธุ์โบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าเขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก่อนยุคแร้นแค้นเป็นอย่างมาก
ตัวนหยุนเชิงต้องการรู้ถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังด้วยกาลเวลา
เขาอยากรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เกิดความผิดพลาดอันในขึ้นในประวัติศาสตร์ทําไมประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดดูเหมือนจะถูกตัดขาดและไม่มีการบันทึกใดๆ เลย ?
และตอนนี้ เสี้ยวแห่งความจริงดูเหมือนจะค่อยๆ ถูกเปิดเผยต่อหน้าเขา
“ไปกัน ! ”
เหล่าจักรพรรดิที่ยืนนิ่งเงียบอยู่เบื้องหน้าอนุสรณ์โบราณทั้งสองมาสักพักหนึ่งในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งและเดินไปข้างหน้า
โลกใบเล็กนั้นกว้างใหญ่ ปราณฟ้าดินนั้นอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยหมอกสีสันต่างๆที่สดใส
ในระหว่างหมอกเหล่านั้นระเหยขึ้นไป ได้ควบแน่นกลายเป็นฝนอันเจิดจรัสเปี่ยมไปด้วยแสงสีต่างๆซึ่งได้ย้อมภูเขาและต้นไม่โบราณในสถานที่นี้ด้วยสีที่น่าพิศวง
ภูเขาที่นี่นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ทิวทัศน์ของภูเขาอันงดงาม ต้นไม้ใบหญ้าก็แข็งแรงและน้ำตกก็งดงามดั่งเงินราวกับแดนสวรรค์
เพียงแต่ว่าเหล่าจักรพรรดิก็ไม่ละเลยที่ระมัดระวังตัว แม้ว่าสถานที่นี้ผิวเผินแล้วจะดูเงียบสงบแต่มันก็เกี่ยวข้องกับอดีตจอมจักรพรรดิอสูร ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังและไม่ควร ประมาท
นอกจากนี้ยังมียุทธภัณฑ์วิเศษ ซึ่งจอมจักรพรรดิโบราณทั้งหลายที่บรรลุเส้นทางสูงสุดได้สละตนเพื่อหลอมสร้างยุทธภัณฑ์วิเศษของราชันบรรพบุรุษลอยอยู่เหนือพวกเขาเพื่อดูแลความปลอดภัย
ยุทธภัณฑ์วิเศษส่องแสงสดใส แสงของมันส่องเจิดจ้า ปกป้องราชันบรรพบุรุษทั้งหลายที่อยู่ภายใต้มันทําให้จักรพรรดิอสูรทั้งสามถึงกับรู้สึกอิจฉาอยู่ครู่หนึ่ง
แม้แต่จีต้าวชูเองก็ยังอิจฉาเป็นอย่างมาก
เผ่าอสูรไม่เชี่ยวชาญในการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ ดังนั้นแม้แต่จักรพรรดิโบราณของเผ่าอสูรก็ไม่ค่อยมียุทธภัณฑ์วิเศษที่เหมาะสมกับพวกเขา
สําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นเพราะวัตถุดิบและสมบัติวิเศษที่ใช้ในการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์วิเศษนั้นล้ําค่าเกินไปและหาได้ยากเป็นอย่างยิ่งดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จักรพรรดิโบราณที่จะมี ยุทธภัณฑ์วิเศษเป็นของตัวเอง
แต่ทว่า ชนเผ่าโบราณนั้นแตกต่างออกไป พวกเขามีทรัพยากรมากมาย และมีความเชี่ยวชาญในวิชาการหลอมสร้าง
ดังนั้นราชันหมื่นเซียนเกือบทุกคนจึงมียุทธภัณฑ์วิเศษของตัวเอง
เหล่าจักรพรรดิก้าวไปข้างหน้า และในขณะที่พวกมันเคลื่อนที่ ก็เผชิญกับร่องรอยของกระแสพลังจอมจักรพรรดิระดับสูงสุดซึ่งแทรกซึมอยู่ในความว่างเปล่า
ในที่สุด เหล่าจักรพรรดิก็ราวกับชนเข้ากับภูเขาเซียนและหยุดลงในที่สุด
เบื้องหน้าพวกเขา มีแท่นบูชาโบราณอันงดงามตั้งตระหง่านอยู่เงียบๆ ท่ามกลางฟ้าดิน
แท่นบูชางดงามเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจอธิบายได้ ราวกับเป็นภูเขาเซียนอันเป็นนิรันดร์
และที่ด้านบนของแท่นบูชา มีความแสงสี่ถึงห้าดวงห้อมล้อบยุทธภัณฑ์บางอย่างลอยเรียงกันอยู่อย่างเงียบๆ บนแท่นบูชา
แสงทุกดวงนั้นเจิดจรัส เปล่งประกายความสง่างามอันเป็นนิรันดร์แห่งเซียน และยังมีกระแสพลังระดับสูงสุดวนเวียนอยู่ด้วย !
“นี่…นี่คือยุทธภัณฑ์จักรพรรดิระดับสูงสุดงั้นรึ ?”
วิหคเพลิงสวรรค์กระพือปีกและมองไปที่แสงสี่ถึงห้าดวงที่อยู่ด้านบนแท่นบูชาน้ำเสียงของมันสั่นเครือเปี่ยมไปด้วยความไม่เชื่อ
แสงส์ถึงห้าดวง แต่ละดวงมีกระแสพลังจักรพรรดิระดับสูงสุดซึ่งน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
สถานที่แห่งนี้มียุทธภัณฑ์จักรพรรดิระดับสูงสุดอยู่ถึงห้าหรือหกชิ้น !
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง มันก็เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ !
“ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ไปเอาสมบัติก่อนแล้วค่อยพูดกัน ! ”
ราชันโบราณเผ่าวิหคทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบออกตัวไปก่อนและมุ่งหน้าไปที่แท่นบูชา
เขาเตรียมยุทธภัณฑ์วิเศษขึ้นเหนือหัวด้วยอย่างสุดกําลังเพื่อปกป้องตนเองและในขณะเดียวกันเขาก็พยายามหยิบเอายุทธภัณฑ์บนแท่นบูชา
แต่ทว่าวินาทีต่อมา สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น
“อัก-!”
ทันใดนั้น ดวงแสงพุ่งมาจากแท่นบูชา แพรวพราวพร่างพรายจนเกือบกลายเป็นหนึ่งเดียวในพิภพนี้ทําให้ทุกสิ่งในพิภพสูญเสียความแวววาวไป
มันเร็วจนเกินความเข้าใจของเหล่าจักรพรรดิ เหมือนล่าแสงเซียน ที่ทะลุทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมดได้
“อ๊าา
ราชันโบราณแห่งเผ่าวิหคพยายามพยุงร่างของตน ดวงตาของเขาเผยให้เห็นตื่นตกใจอย่างสุดขีดจากนั้นก็ร่วงหล่นลงมาเลือดพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งและก่อนที่ร่างของเขาจะตกถึงพื้นก็กลายเป็นฝนแห่งแสงที่ส่องประกายระยิบระยับกระจายหายไประหว่างฟ้าดิน
สําหรับยุทธภัณฑ์วิเศษที่อยู่เหนือศีรษะของเขา มันได้สลายกลายเป็นเถ้าธุลี ไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
ดวงแสงที่ลุกโชติช่วงพุ่งมาจากแท่นบูชา และสังหารราชันโบราณอย่างง่ายดาย
ฉากนี้ทําให้เหล่าจักรพรรดิที่เหลือตกตะลึงอยู่ในหัวใจทันที ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ เกรงว่าจะลงเอยเช่นเดียวกับราชันโบราณเผ่าวิหค
ราชันโบราณเผ่าวิหคสิ้นลม ดวงแสงกลับไปยังด้านบนแท่นบูชา และค่อยๆ หรี่ลง เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้แสงอย่างแท้จริง
“มันไม่ใช่ยุทธภัณฑ์จักรพรรดิทั้งหมด แต่เป็นเศษเสี้ยวของยุทธภัณฑ์จักรพรรดิ !”
จีต้าวชูมองไปที่ด้านบนของแท่นบูชา ดวงตาของเขาเป็นประกายและเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เขาเห็นว่าบนแท่นบูชานั้น มีเศษเสี้ยวของยุทธภัณฑ์โบราณที่แตกหักเป็นชิ้นๆ และพวกมันก็ถูกนํามาเก็บไว้ที่นั่นอย่างสงบ
“ยุทธภัณฑ์โบราณที่แตกหักนี้…ดูเหมือนจะเป็นยุทธภัณฑ์จักรพรรดิระดับสูงสุดของจอมจักรพรรดิอสูร บรรทัดจักรพรรดิอสูร !”
กระทิงทองเปิดปากพูดออกมา น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความตกใจ
และเหล่าชิ้นส่วนยุทธภัณฑ์โบราณที่แตกหักเหล่านี้ก็ได้รวมตัวกัน เกือบจะเหมือนกับบรรทัดจักรพรรดิอสูรที่ถือครองโดยจอมจักรพรรดิอสูรที่ถูกบันทึกไว้ในแผ่นอนุสรณ์ก่อนหน้านี้ !
ยุทธภัณฑ์จักรพรรดิระดับสูงสุดของจอมจักรพรรดิอสูร ยุทธภัณฑ์วิเศษได้แตกหักและถูกเก็บไว้ ณ ที่แห่งนี้อย่างแท้จริง !
“ไม่ นั่นไม่ใช่บรรทัดจักรพรรดิอสูรที่สมบูรณ์ มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น !”
จีต้าว+กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ชิ้นส่วนของบรรทัดจักรพรรดิอสูรที่อยู่เหนือแท่นบูชา เมื่อประกอบกันแล้ว มันไม่ใช่บรรทัดจักรพรรดิอสูรที่สมบูรณ์และมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น !
สิ่งที่เรียกว่ายุทธภัณฑ์วิเศษระดับสูงสุดที่อยู่ยงคงกระพันกลับแตกหักเป็นชิ้นๆและถูกเก็บอยู่ที่นี่และยังมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ทําไมบรรทัดจักรพรรดิอสูรถึงแตกหัก ?
บรรทัดจักรพรรดิอสูรที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน ?
เมื่อมองไปที่เศษเสี้ยวของบรรทัดจักรพรรดิอสูรบนแท่นบูชา บรรดาจักรพรรดิก็เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงและสงสัย !