บทที่ 102 สถาบันเซนต์แมเรียนถูกภาคีกวาดล้าง
บทที่ 102 สถาบันเซนต์แมเรียนถูกภาคีกวาดล้าง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น
และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ
…
ค้างคาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมปราสาท พลันกลายเป็นเป้าหมายของนักเรียน
ไม่ว่าจะเป็นค้างคาวที่ถูกปล่อยออกมาโดยแวมไพร์ หรือค้างคาวที่แต่เดิมก็มีอยู่ในปราสาทแล้ว
แม้แต่รุกกี้เดวิมอนที่ดูคล้ายค้างคาวก็เกือบจะกลายเป็นเป้าหมายไปด้วย
ดาร์กแวะหยิบถุงขนมออกจากห้องเรียน ก่อนจะเดินตามทางที่ค้างคาวบินหนีไป
เนื่องจากในถุงขนมมีขนมน้อยลง เขาจึงสามารถหาค้างคาวได้สองสามตัว
แต่หลังจากที่ค้างคาวถูกกำจัดออกไปแล้ว มันก็ไม่ได้ดรอปอะไร
“ดูเหมือนว่าโชคของฉันจะไม่ดีอย่างที่คิด?”
เมื่อเข็มนาฬิกาย่างเข้าสี่ทุ่ม ดาร์กก็ถอยจากชั้นแปดลงไปที่ชั้นเจ็ด
จากนั้นอีกยี่สิบนาทีต่อมา เขาก็ถอยจากชั้นที่เจ็ดไปยังชั้นที่หก
และอีกยี่สิบนาทีถัดไป ดาร์กก็ลงมาถึงชั้นที่ห้า
เกือบชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่เคานต์แวมไพร์ระเบิดตัวเอง ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครพบ ‘ค้างคาวพิเศษ’ เลยสักคนเดียว
มันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายได้ เมื่อทุกอย่างตกอยู่ภายใต้การค้นหาอย่างเอาเป็นเอาตายของเหล่านักเรียน
“เป็นไปได้ไหมว่ามันหนีไปทางลับ?” ดาร์กอดพึมพำไม่ได้
…
การเคลื่อนไหวของภาคีดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบ
นอกจากปลาหมึกและปลาปักเป้าที่ยังคงเร่ร่อนไปมา สมาชิกอีกสิบสี่คนของภาคีก็ได้ผลงานกลับมาบ้างแล้ว
แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะจับคู่รักสามคู่ได้สำเร็จ แต่อันที่จริงเป้าหมายนี้ก็เป็นแค่หลักประกัน
เพราะสำหรับเครื่องสังเวยในงานเลี้ยงของนักบุญ พวกเขาต้องการเพียงเจ็ดคู่เท่านั้น
ส่วนคู่อื่น ๆ ก็แค่ตัวสำรองเผื่อไว้
อารมณ์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และเข้าใจยาก
ไม่มีใครรู้ว่าคนสองคนที่มอบความจริงใจให้กันตั้งแต่แรกเริ่ม จะมีความจริงใจน้อยลงในสักวันหรือไม่
หรือความรู้สึกที่ดูเหมือนจริงใจนั้นจะเป็นเพียงการแสดง?
สมาชิกของภาคีไม่สามารถเสี่ยงกับเรื่องนี้ได้
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งเป้าหมายมากกว่าเดิมสามเท่า โดยพยายามลดโอกาสที่จะล้มเหลวด้วยจำนวน
การปรากฏตัวของ ‘สมบัติแวมไพร์’ ทำให้พวกเขาทั้งสะดวกและลำบากในเวลาเดียวกัน
เพราะนี่หมายถึงเริ่มมีผู้คนมากมายปรากฏตัวที่ทางเข้าห้องลับมากขึ้นทุกที
แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นได้สำเร็จ และในที่สุดก็ส่งคู่รักที่ถูกจับเข้ามาในวิหารได้
เวลาห้าทุ่มตรง
สมาชิกทุกคนยกเว้นปลาหมึกและปลาปักเป้ากลับมายังวิหาร
มีคู่รักทั้งหมดสิบหกคู่ที่ถูกจับได้ ซึ่งมากกว่าจำนวนเป้าหมายที่แท้จริงถึงสองเท่า
คู่รักเหล่านี้ถูกผูกติดกันเป็นคู่ ๆ
กระเป๋าใส่การ์ดทั้งหมดของพวกเขาถูกตรวจค้น และการ์ดคัดสรรที่จะเปิดเผยตำแหน่งของพวกเขาก็ถูกโยนออกไปนอกทางลับ
ภาคีไม่ได้ปิดปากพวกเขา แต่ทุกคู่ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าการสาปแช่งนั้นไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่มีใครกรีดร้องออกมา
สิบหกคู่ รวมเป็นสามสิบสองคน
พวกเขาถูกทิ้งไว้ที่มุม ๆ หนึ่งของวิหารชั่วคราว และทุกสายตาสามารถเห็นรูปปั้นเทพธิดาสีขาวในวิหารที่ดูเหมือนคนมีชีวิตได้ แทบจะในทันที ผู้คนจำนวนมากถูกดึงดูดโดยรูปปั้น และกลายเป็นคนไร้ชีวิตราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาถูกดึงออกไป
หากมีเพียงรูปปั้นนั้นอยู่ที่นี่ มันก็คงให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้คน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าภาคีถอดเสื้อคลุมสีดำออกเผยให้ชุดอาหารทะเลข้างใน บรรยากาศโดยรอบก็พลันดูแปลกประหลาดไปเสียหมด และความรู้สึกชั่วร้ายบางอย่างก็เริ่มเข้ามาแทนที่
เด็กสาวที่ดูมีสติสัมปชัญญะอดไม่ได้ที่จะถามผู้หญิงคนเดียวในภาคี นั่นคือคุณมอเรย์ นี่เพราะเสียงของคุณมอเรย์ฟังดูคุ้นเคยสำหรับเธอ
“นี่ฉันขอถามหน่อย เธอจับพวกเรามาทำไม?”
“เพราะพวกเจ้าจะกลายเป็นเครื่องบูชายัญยังไงละ!”
เสียงของคุณมอเรย์เปลี่ยนไปเป็นเสียงของแม่มดแก่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
แต่จู่ ๆ เด็กสาวก็เบิกตากว้าง “เบ็ตตี้ นั่นเธอจริง ๆ ด้วย!”
“ใครคือเบ็ตตี้? เจ้าจำคนผิดแล้ว” คุณมอเรย์พูดอย่างเฉยเมย
เด็กสาวที่ชื่อ ‘เจนนี่’ ทรุดตัวลงทันทีและพูดว่า “เบ็ตตี้ เธอทำแบบนี้กับฉันไม่ได้! เราเป็นเพื่อนกันนะ!”
คุณมอเรย์ยังคงพูดอย่างเฉยเมยว่า “ทำไมจะไม่ได้ ก็ในเมื่อโลกนี้มันยังมีผู้หญิงที่กล้าขโมยผู้ชายของคนอื่นไปอยู่”
สีหน้าของเจนนี่เริ่มแข็งทื่อ เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่เธอจะพูดสักประโยคออกมา “แต่เขาก็ชอบฉันเหมือนกัน”
“ใช่” คุณมอเรย์ยิ้มอย่างน่ากลัว “ฉันก็เลยจับพวกแกทั้งคู่มายังไงล่ะ!”
“ฮิ ๆ ทุกอย่างมันจบแล้ว เจนนี่!”
“ไม่!”
…
ด้านนอกทางลับ
ปลาหมึกและปลาปักเป้าที่ประสบกับความล้มเหลวหลายครั้ง เริ่มรู้สึกท้อแท้อย่างอดไม่ได้
เพราะจับไม่ได้แม้แต่คู่เดียว พวกเขาจึงละอายใจที่จะกลับไปยังวิหาร เพราะงั้น แม้จะถึงเวลาที่พวกเขาต้องกลับแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังเดินเตร่อยู่ข้างนอกอยู่ดี
คนทั้งคู่ดูเหมือนกับชายวัยกลางคนนั่งเอ้อระเหยอยู่ในสวนเพื่อฆ่าเวลา และแสร้งทำเป็นว่ายังมีงานทำหลังถูกไล่ออกจากองค์กร
ทันใดนั้น ปลาหมึกก็คว้าแขนปลาปักเป้าแล้วดึงเขาไปหลบที่มุมหนึ่ง
ขณะที่ปลาปักเป้ายังคงสับสน นักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง สองคนก็ปรากฏตัวขึ้นนอกทางลับ
ราวกับว่าในที่สุดเวอร์เธอร์ก็ตัดสินใจได้ เขาพาโรเบิร์ตมาที่นี่และบอกความลับของเขาว่า “โรเบิร์ต อันที่จริงแล้ว ฉันมีความลับกับนาย!”
โรเบิร์ตชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันรู้ เพราะฉันก็มีเรื่องหนึ่งที่ฉันปกปิดนายไว้เช่นกัน!”
“อะไรนะ?” เวอร์เธอร์รู้สึกสับสน
โรเบิร์ตกล่าวต่อ “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะไม่ปิดบังมันจากฉัน! เราเป็นเพื่อนซี้กันนี่นา นายบอกฉันมาก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกเรื่องของฉันบ้าง!”
เวอร์เธอร์ “อ้อ เอ่อ บางทีนายอยากจะบอกฉันก่อนไหม?”
โรเบิร์ต “ไม่ นายพูดก่อนเลย ความลับของฉันขึ้นอยู่กับความลับของนาย”
เวอร์เธอร์พูดอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นฉันจะสารภาพก่อนแล้วกัน อันที่จริง ฉันเจอทางลับที่นี่ นายเห็นไหมว่าไม่มีใครเจอค้างคาวพิเศษนั่นเลย หลังจากเวลาผ่านมานานขนาดนี้ ฉันเลยสงสัยว่ามันน่าจะเข้าไปในเส้นทางลับแล้ว”
หลังจากรอสักพัก โรเบิร์ตก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “แค่เส้นทางลับเหรอ?”
เวอร์เธอร์ประหลาดใจ “นายหมายความว่ายังไง แค่เส้นทางลับ นี่คือความลับที่ใหญ่ที่สุดของฉันเลยนะ แล้วของนายล่ะ?”
โรเบิร์ต “อ่า เอ่อ ที่จริงแล้วฉันไม่มีความลับ”
เวอร์เธอร์ชะงัก “…ช่างเถอะ งั้นนายคิดว่าเราควรเข้าไปทางลับเพื่อตามหามันไหม? ฉันอยากจะก้าวข้ามดาร์กให้ได้จริง ๆ นะ!”
โรเบิร์ต “แน่นอน ฉันจะช่วยนายเอง!”
…
ปลาหมึกผู้แอบซ่อนอยู่ในมุมเริ่มมีสีหน้าที่ดูมืดมน
ทันใดนั้นเขาก็กระซิบกับปลาปักเป้าว่า “ดูสิ ทั้งคู่เหมาะกันไหม?”
ปลาปักเป้าดูสับสน “เหมาะอะไร?”
น้ำเสียงของปลาหมึกมีทั้งความเศร้าโศกและความยินดี “ไปจับพวกมันกันเถอะ ความรู้สึกที่พวกมันมีต่อกันจะต้องเป็นของจริงแน่ ๆ!”
…
ควันพวยพุ่งออกมาอย่างเงียบ ๆ
เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตยังคงคุยกันอยู่ โดยไม่รู้ว่ากำลังมีบางอย่างคืบคลานเข้ามา
ทั้งสองคนให้ความสนใจกับคำว่า ‘ความลับ’ มากเกินไป จนไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ เลย
ในตอนนั้นเอง พวกเขาค่อย ๆ สูดควันเหล่านั้นเข้าไปทีละนิด
สิบวินาทีต่อมา โรเบิร์ตก็เกาะกับผนังและถามอย่างงง ๆ ว่า “ทำไมฉันถึงรู้สึกเวียนหัวล่ะเนี่ย”
เวอร์เธอร์ก็นวดหน้าผากของเขาอย่างแรงเช่นกัน “ฉันก็รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย เป็นเพราะเราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า?”