บทที่ 137 วีรบุรุษผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ
บทที่ 137 วีรบุรุษผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ
วิชาปรุงยาในช่วงบ่ายสอนโดยศาสตราจารย์ทอมป์สัน
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับนักเรียนในคาบนี้ ไม่ใช่การบรรยายเรื่องน้ำยาของศาสตราจารย์ทอมป์สัน แต่เป็นการที่โรเบิร์ตกลับมาที่ห้องเรียน
โรเบิร์ตผู้ซึ่งถูกโกนหัวโดยซิสเตอร์คาไลด์ รู้สึกราวกับว่าเขากำลังนอนเปลือยกายอยู่บนหิมะโดยไม่มีที่หลบซ่อน
จนกระทั่งคาบเรียนปรุงยาสิ้นสุดลง นักเรียนก็ไม่มีอารมณ์จะหัวเราะเยาะโรเบิร์ตอีกต่อไป เพราะการบ้านของวิชาปรุงยานั้นเพิ่มเป็นสามเท่าของปกติ!
บวกกับต้องทำการ์ดตราเวทมนตร์ที่ต้องทำให้เสร็จ ก่อนคาบวิชาเวทมนตร์พื้นฐานครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้น…
นักเรียนชั้นปีหนึ่งพบว่าตนเองได้สูญเสียอิสระไปอย่างสมบูรณ์
…
เนื่องจากการบ้านเยอะมาก แม้แต่ดาร์กก็ได้รับผลกระทบจากมัน
เขาต้องหยุดแผนสร้างการ์ดเวทมนตร์ชั่วคราว และสิงอยู่ในห้องสมุดจนดึกดื่น
นอกเหนือจากการดึง [ราคะ] หนึ่งหยดมาเก็บไว้ในขวดแห่งความคิดที่หอพัก เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย
จนกระทั่งสองทุ่ม ดาร์กถึงได้บอกลาไดแอนนาและโรสที่ยังคงง่วนอยู่กับหนังสือ ก่อนจะกลับไปที่หอพัก
จากนั้นเขาก็เริ่มสร้างคาถา [สกัดกั้น] และคาถา [พรางตา]
การสร้างคาถา [สกัดกั้น] ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เขาได้รับการ์ดเวทมนตร์ [สกัดกั้น] สองใบ
แต่ในขณะที่สร้างคาถา [พรางตา] เขาก็เจอความยากลำบากและต้องเริ่มตรวจสอบสมุดจดของตัวเอง จากที่การทดลองแรกล้มเหลว
แม้ว่าคาถา [พรางตา] จะไม่ค่อยได้ใช้ในการประลอง แต่มันเป็นการ์ดเวทมนตร์ที่มีประโยชน์มาก
เมื่อใช้คาถา [พรางตา] จอมเวทจะค่อย ๆ ล่องหนได้ภายในครึ่งวินาที และระยะเวลาของสถานะล่องหนคือห้าวินาที
แม้ว่าระยะเวลาจะไม่นาน แต่ก็เป็นคาถาลอบเร้นที่หายากและสามารถเชี่ยวชาญได้ในระยะแรก
ที่สำคัญกว่านั้น การ์ดเวทมนตร์ใบนี้สามารถใช้กับผู้อื่นได้
อย่างไรก็ตาม ดาร์กกลับไม่พบวิธีแก้ปัญหาในตำราเรียน ท้ายที่สุดเขาก็ฝึกฝน ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
…
วันถัดมา
เพื่อแก้ปัญหาการสร้างคาถา [พรางตา] ดาร์กได้ไปหาศาสตราจารย์เคเซอร์เป็นพิเศษ หลังจากจบสองคาบเรียนในช่วงเช้า
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยินดีที่จะแก้ปัญหาให้กับเขา
ดาร์กผู้ได้คำตอบแล้ว ก็ได้ทำการ์ดเวทมนตร์คาถา [พรางตา] สำเร็จในตอนเที่ยงของวันนั้น
ด้วยเหตุนี้ก็เหลือเพียงคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] อันสุดท้ายเท่านั้น
ความยากของคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นแตกต่างจากการ์ดตราเวทมนตร์ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ดาร์กไม่มีความมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จในครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวรอจนกว่าเขาจะเรียนรู้ ‘ภาษาเวทมนตร์’ ได้ในระดับหนึ่งก่อนที่จะลองขัดเกลา
“[กระสุนเวทมนตร์] สองใบ [ผลักออก] หนึ่งใบ [สกัดกั้น] สองใบ และคาถา [พรางตา] หนึ่งใบ รวมเป็นการ์ดหกใบ”
จู่ ๆ ดาร์กก็พบว่าเขามีการ์ดเวทมนตร์สิบแปดใบแล้ว!
ราวกับว่าแค่เพียงชั่วพริบตา การ์ดสำรับพื้นฐานก็ดูจะรวมได้ครบยี่สิบใบแล้ว?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจำได้ว่าชมรมประลองในเทอมที่สองของปีหน้าจะรับสมัครนักเรียนใหม่ ดังนั้นบางทีเขาอาจจะไปลองดูก็ได้
เป็นเรื่องยากที่จะหาคะแนนมากมาย หลังวันฮัลโลวีนในปีแรก และการเข้าร่วมชมรมประลองก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการหาคะแนน
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในเทอมที่สอง
เมื่อใกล้หมดเวลา เขาก็เก็บข้าวของแล้วมาที่ห้องเรียนประวัติศาสตร์เวทมนตร์
มีคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์เพียงคาบเดียวในบ่ายวันอังคาร
แตกต่างจากวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยน่าเบื่อ ประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์ที่สอนโดยอาจารย์ใหญ่อาร์เต้นั้นน่าสนใจมาก และเหล่าจอมเวทฝึกหัดต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ
ดาร์กก็เป็นหนึ่งในนั้น
ท้ายที่สุดแล้ว โอกาสได้ฟัง ‘เรื่องราวอบอุ่นใจ’ ในชั้นเรียนนั้นหาได้ยากมากจริง ๆ
เขาถึงกับอยากเอาป๊อบคอร์นมาที่ชั้นเรียนด้วยซ้ำ
เขาไม่รู้ว่าอาจารย์ใหญ่ในวันนี้จะเป็นตัวจริงหรือไม่?
แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก
ท้ายที่สุด ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ใช่ตัวจริง
เหง่งหง่าง!
เมื่อเสียงระฆังบอกคาบเรียนดังขึ้น นักเรียนของบ้านทั้งสี่ก็หันความสนใจไปที่ประตู
ทว่ากลับมีแสงวูบวาบที่หน้าชั้นเรียนแทน จากนั้นอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังแท่น
ราวกับว่าเธอไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งภายนอกเลยสักนิด ดวงหน้านั้นดูเรียบเฉยมาก
“ฉันมีความสุขมากที่ได้ใช้คาบเรียนที่สองกับพวกเธอ เอาล่ะ วันนี้เราจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของวีรบุรุษต่อ คาบเรียนที่แล้วเราได้พูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้กล้าในช่วงสมัยวัยเรียนของเขาไปแล้ว แต่เราทุกคนรู้ว่าในอาณาจักรแห่งนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งที่โด่งดังพอ ๆ กับวีรบุรุษ ใครบอกชื่อของเธอได้บ้าง?”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้เข้าสู่สถานะการสอนในไม่ช้า
นักเรียนยกมือขึ้นเมื่อเผชิญกับคำถามง่าย ๆ นี้
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้มองไปรอบ ๆ สักครู่ และในที่สุดก็ถามเอ็มม่าที่นั่งอยู่กลางแถวแรก
แก้มของเอ็มม่าขึ้นสีเล็กน้อย เธอตอบอย่างตื่นเต้นว่า “หนึ่งในดาบคู่แห่งอาณาจักร วัลคีรี อัลเวตต์ เซนต์ เดม่อน!”
เมื่อออกเสียงคำว่า ‘เซนต์’ เธอก็ขึ้นเสียง
เพราะคำว่า ‘เซนต์’ เป็นสัญลักษณ์ของผู้ปลุกสายเลือดเทพให้ตื่นขึ้น
บุคคลประเภทนี้จะถูกเรียกว่า ‘เซนต์’ และพวกเขาล้วนเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงซึ่งยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของยุคนั้น
วัลคีรีก็เหมือนกับอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ เธอเป็นตัวแทนของสตรีในอาณาจักร ซึ่งเป็นบุคคลที่น่าชื่นชมมากที่สุดในฐานะสตรีที่เข้มแข็งและมีอิสระ
เอ็มม่าจึงกลายเป็นแฟนตัวยงของวัลคีรีโดยปริยาย
“ห้าคะแนนให้มอร์ติส”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงแล้วพูดเบา ๆ ว่า “อัลเวตต์เป็นเด็กที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา ตลอดช่วงชีวิตของการอยู่ในฐานะอาจารย์ใหญ่ ฉันมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเธอ แต่เธอค่อนข้างขี้อาย และไม่ชอบให้ฉันเที่ยวเล่าเรื่องราวของเธอให้คนอื่นฟัง ดังนั้น วันนี้เราจะไม่ได้ฟังเรื่องราวของเธอ แต่เป็น ‘สหาย’ ของเธอกับผู้กล้าไบรต์––วีรบุรุษจอมเวทปีเตอร์”
ปีเตอร์ เชลด์วิช วีรบุรุษผู้มีบทบาทบนสมรภูมิรบในฐานะ ‘จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่’
แม้ว่าชื่อของเขาจะไม่โด่งดังเท่าผู้กล้าและวัลคีรี แต่นามของเขาก็ที่ประจักษ์แจ้งเช่นกัน
ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าปีเตอร์ไม่ใช่มนุษย์บริสุทธิ์ เขาเป็นลูกผสมระหว่างมนุษย์กับภูต มีหูที่ยาวกว่าหูมนุษย์เล็กน้อย และมีผมสีฟ้าใสราวกับผืนนภายามเช้า
ขณะที่ผู้กล้าไบรต์กับวัลคีรีอัลเวตต์กำลังเรียนอยู่ที่เซนต์แมเรียน พวกเขาเป็นขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์ที่อยู่ในบ้านขุนนาง แต่ปีเตอร์เป็นสามัญชนและได้รับเลือกให้อยู่บ้านคนเขลา
นักเรียนบ้านคนเขลาเป็นเพื่อนกับนักเรียนบ้านขุนนางทั้งสองคนได้อย่างไร?
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงอีกคนจากบ้านนักปราชญ์
แต่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ใหญ่อาร์เต้จะไม่เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของบุคคล เธอจะเล่าอย่างไม่ล้ำเส้น และจะเล่าในส่วนเรื่องที่เจ้าของเรื่องไม่รังเกียจที่จะบอกคนอื่น
ปีเตอร์ เชลด์วิช เป็นคนที่เข้ากับปรัชญาของบ้านคนเขลาได้เป็นอย่างดี
สติปัญญาของเขาถูกเก็บซ่อนลึกอยู่ภายใน จิตใจก็บริสุทธิ์และไร้เดียงสา อีกทั้งเขายังมีศักยภาพสูงสุดอีกด้วย
ในฐานะภูตเลือดผสม เขาจึงไม่ได้มีความซุกซนและกระตือรือร้นเหมือนกับภูต แต่กลับกลายเป็นคนเงียบ ๆ ที่แตกต่างจากคนในวัยเดียวกัน
เขาเป็นเพชรที่ดีที่สุด รวมไปถึงมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเปล่งประกายได้มากกว่าไบรต์และอัลเวตต์เสียอีกเมื่อเวลาผ่านไป
ทว่าเขาไม่สามารถอยู่ได้จนถึงตอนนั้น
ปีเตอร์ เชลด์วิช เสียชีวิตลงในสนามรบ!