จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 105
“อ้ากกกกก…”
เสียงคํารามแห่งความเดือดดาลดังกึกก้องทั่วเมืองขอบนภา กลิ่นอายอันแข็งกร้าวสาดกระจายออกโดยรอบ
หยางคุน บุตรชายคนที่สี่ของหยางฮงสิ้นชีพแล้ว
ซึ่งหยางฮงก็รับรู้ได้ในทันที เพียงแต่ตัวเขาในตอนนี้อยู่ในห้วงเวลาสําคัญไม่อาจปลีกตัวไปได้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่ทําเพียงแค่กู่ร้อง หากแต่จะพุ่งออกไปบดขยี้ฉินเทียนในบัดดล
“ไม่ดีแล้ว” ฉินเหลียนสะท้านขึ้นคราหนึ่งก่อนขมวดคิ้วมั่น “หยางฮงกําลังจะฝืนทะลวงไปขั้นสู่สวรรค์!”
ฟังจากเสียงร้องนั่นแล้ว ฉินเหลียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่กําลังจะทะลวงผ่าน จากกลิ่นอายอันรุนแรงนี้ก็ทราบได้แล้วว่าเป็นหยางฮง จากระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณกําลังจะทะลวงผ่านไปขั้นสู่สวรรค์ ซึ่งหากประสบผลสําเร็จ ผลที่ตามมาคงเลวร้ายยิ่ง
“เทียนน้อย เข้าไปที่เขตพระราชวังก่อน ที่นี่ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” ฉินเหลียนหันไปกล่าวกับฉินเทียน
หยางฮงพยายามจะทะลวงผ่านขั้นสู่สวรรค์โดยใช้ประโยชน์จากปราณมังกรที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินในการเปลี่ยนแปลงชะตา เป็นการฝืนทะลวงผ่านด่าน
หยางฮงอยู่ห่างจากขั้นสู่สวรรค์อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น กระนั้น แม้เวลาจะผ่านมากว่าห้าปีแล้ว เขาก็ยังคงติดอยู่ในเขตขั้นเดิม
กองทัพของอาณาจักรต้าหลี่ใกล้เข้ามาแล้ว และครั้งนี้ กระทั่งผู้พิทักษ์ที่อยู่ในขั้นสู่สวรรค์ก็ยังถูกส่งมาถึงสองคน หากหยางฮงทะลวงผ่านไปขั้นสู่สวรรค์ไม่ได้ ก็เป็นไปได้สูงว่าเขาคงไม่อาจต่อกรกับผู้คุมทัพทั้งสอง
ส่วนฉินเทียนนั้น ตัวเขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา
เมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของหยางคุนจางหายไป หยางฮงก็ร้องออกมาด้วยความโกรธแค้น ร่างกายของเขาหลังเหงือจนชุ่มโชก ทั้งร่างร้อนผ่าวด้วยเพลิงโทสะ
“ท่านพ่อโปรดสงบใจ” หยางหลินขมวดคิ้ว หากแต่โทสะก็คุกรุ่นขึ้นมาเช่นกัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เวลานี้พวกเขาทั้งคู่ซึ่งกําลังอยู่ในช่วงเวลาสําคัญไม่อาจปลีกแยกสมาธิโดยเด็ดขาด หากจิตใจปั่นป่วนยุ่งเหยิงขึ้นมา ผลที่ตามมาคงเลวร้ายสุดคาดคิด
ที่ด้านข้างยังมีอวิ๋นม่านที่ตอนนี้กําลังนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบด้วยแววตาว่างเปล่า รัศมีที่ท้าทายสวรรค์ของนางกําลังดูกลืนพลังจากฟ้าดินเข้ามาในค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ที่กึ่งกลางของค่ายกล ควันสีขาวกําลังโซยออกมาจากเตาหลอมและลอยเข้าสู่ร่างของหยางฮงผ่านทางจมูกไปสู่จุดตันเถียน
หยางฮงเองก็ทราบดีว่าตอนนี้ตัวเขาไม่อาจวอกแวกเด็ดขาด
ความรู้สึกที่ต้องมาสูญเสียบุตรชายไปนั้นยากเกินจะทน ความโกรธเกลียดที่มีต่อฉินเทียนยิ่งทวีความลึกล้ําหนักกว่าเก่า
เมื่อได้ยินคําพูดของฉินเหลียน ฉินเทียนก็ตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจขยับเคลื่อนไหวและทําได้เพียงจ้องมองหยางเปียวอย่างสับสน แม้จะไม่ทราบว่าการฝืนทะลวงนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าหยางฮงกําลังโกรธเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น และหากหยางฮงโกรธ จิตใจของเขาก็จะปั่นป่วนว้าวุ่น
แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง[1]
[1] แม้จะไม่เคยประสบสิ่งนั้นมาด้วยตนเอง แต่เคยได้ยินหรือได้เห็นมาก่อน
ในภาพยนตร์กําลังภายในจากโลกเดิมของเขานั้น เมื่อใดก็ตามที่ตัวละครกําลังอยู่ในช่วงเวลาสําคัญ พวกเขาจะฟุ้งซ่านวอกแวกไม่ได้เด็ดขาด จิตจะต้องว่างเปล่าใจจะต้องสงบผ่อนคลาย ไม่อาจให้สิ่งเร้าภายนอกมาเบี่ยงเบนความสนใจใด ซึ่งฟังจากเสียงร้องก็ทราบได้แล้วว่าหยางฮงกําลังว้าวุ่นใจ
บุตรชายตายทั้งคน ในฐานะบิดาแล้ว มีหรือที่เขาจะเสียใจ?
ความเจ็บปวดทํานองนั้น ตัวฉินเทียนไม่อาจเข้าใจได้ แต่เขามั่นใจว่ามันคงยากเกินจะทนไหว โดยเฉพาะตัวหยางฮงในเวลาเช่นนี้ เขากําลังพยายามฝืนทะลวงผ่านระดับขั้น แต่อีกใจก็กังวลต่อความปลอดภัยของบุตรชาย หากไม่มีพลังใจมากเพียงพอ สุดท้ายเขาก็จะล้มเหลวและบาดเจ็บหนัก
หากว่าบุตรคนโตของตระกูลหยางตกตายอีกคน เป็นไปได้อย่างมากว่าหยางฮงจะเสียสมาธิจนไม่อาจทะลวงผ่านระดับไปได้
คิดถึงตรงนี้ ฉินเทียนก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ท่านน้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ยอมให้หยางฮงสมมาดปรารถนาแน่นอน”
“มาวมาว คมเขี้ยวสายลมแบบจัดเต็ม”
มาวมาวกระโดถอยหลังออกมา จากนั้นจึงสะบัดอุ้งเท้าฟาดไปด้าหน้าจนก่อเป็นสายลมกรรโชกสาดซัดออกไป
ครืด……………………
หยางเปียวที่เห็นดังนั้นก็หมุนตัวออกวิ่งเพื่อหนีการโจมตีนี้ทันที แม้ว่าสายตาของเขาจะยังแดงก่ำด้วยโทสะก็ตาม
เมื่อพายุระลอกแรกถูกปล่อยออกไป พายุอีกสองลูกก็ถูกปล่อยออกไปทางที่หยางเปียวหลบหนี้ ฉินเทียนใช้จังหวะนี้พุ่งเข้าหาหยางเปียวพลางหัวเราะเสียงเย็น “น้องชายเจ้ากําลังรอเจ้าอยู่ในนรก ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ไปพบน้องชายแล้ว”
“ฉินเทียน ไอ้บัดซบ! คืนน้องชายข้ามา!” หยางเปียวคํารามอย่างดุร้าย กระดูกทั่วร่างดังเกรียวกราวอีกหน ครึ่งลมหายใจต่อมา ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นยักษ์ เป็นยักษ์สูงห้ามเมตรที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
“ยักษ์?” ฉินเทียนโพล่งออกมาอย่างตกตะลึง โลกนี้บ้าไปแล้ว ถึงกับเต็มไปด้วยทักษะความสามารถแปลกประหลาดมากมาย
นักรบวัชระปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหยางเปียวอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ร่างกายกลับใหญ่โตมโหฬารกว่าครั้งก่อนจนครอบคลุมผืนฟ้า และครั้งนี้ประคําโลหิตที่อยู่ในมือนั้นก็ยังดูมีมนต์ขลังกว่าครั้งก่อน
” ท่านน้าหลบไปก่อน” ฉุนเทียนเก็บมาวมาวเข้าแหวนมิติพลางบอกฉินเหลียน กลิ่นอายของหยางเปียวเวลานี้แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนไม่เบา
หยางเปียวฝึกฝนในเต๋แห่งการฆ่า ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าเขากําลังคิดจะใช้ท่าที่มีพลังทําลายล้างมหาศาล
ฉินเหลียนล่าถอยออกไปกว่าพันลั้งพลางโคจรพลังปราณเพื่อเตรียมพร้อม
เมื่อฉินเหลียนถอยไปแล้ว ฉินเทียนก็หมดกังวล เคล็ดวิชามังกรฟ้าภายในจุดตันเถียนพลันปะทุออกและมอบพลังอันแข็งแกร่งให้กับฉินเทียน ฉินเทียนในตอนนี้ไม่ได้อ่อนแอกว่าหยางเปียวที่อยู่ในร่างยักษ์เลย เทพดุร้ายโบราณของเขาเองก็ขยายขนาดร่างกายขึ้น เคียวที่อยู่ในมือเปล่งประกายออกขณะที่สายตาของเทพดุร้ายจ้องมองศัตรูเขม็ง
“ฟู่ ฟู่ ฟู่….”
ผิวกายของหยางเบียวแดง…จากการถูกพลังอันมหาศาลภายในร่างเผาไหม้ ถึงขีดสุด ในสายตาของหยางเปียวแล้ว ฉินเทียนนับเป็นคนตายไปแล้วกึ่งหนึ่ง
นี่เป็นทักษะระดับอมตะของสํานักคลั่งสังหาร เรียกว่ายักษาทําลายล้าง
อย่างเปียวต้องตรากตรําฝึกฝนกว่าสิบปีจึงจะสําเร็จได้รับทักษะท่านี้มา ความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้เหนือกว่ายามปกติถึงสี่เท่า รับรู้ถึงพลังปราณที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย รับรู้ถึงพละกําลังมหาศาลที่ครอบครอง หยางเปียวในตอนนี้รู้สึกราวกับตนเองเป็นโอรสที่จุติลงมาจากสวรรค์ เป็นโอรสซึ่งครอบครองพลังที่จะเหยียบย่ำสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำไว้แทบเท้า
นักรบวัชระสะบัดมือคราหนึ่ง เม็ดประคําสีแดงก็ยิงพุ่งออกไปล้อมฉินเทียนเอาไว้
นักรบวัชระในตอนนี้นับว่ามีพลังแข็งแกร่งจนน่าสะพรึง
หากแต่ฉินเทียนกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย
พลังไร้ลักษณ์ไหลหลั่งออกจากร่าง เผชิญหน้ากับหยางเปียวที่กลายเป็นยักษ์สูงห้ามเมตร ประกายฆ่าฟันวูบผ่านแววตาของฉินเทียนขณะที่ร่างของเขาพุ่งตัวต่อยไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
บึ้ม บึ้ม บึ้ม
เม็ดประคําระเบิดออกและบ่นทําลายอาคารบ้านเรือนที่อยู่บริเวณนั้นไปจนสิ้น กลายเป็นฝุ่นผงบินคละคลุ้งทั่วอากาศ
ตึก…..
ฉินเทียนหยั่งพักเท้า “คิดไม่ถึงว่าหยางเปียวจะมีพลังทําลายล้างสูงแบบนี้”
ฉินเทียนหยุดยั้งไม่ถึงอึดใจก็พุ่งตัวไปต่อ
แววตาของหยางเปียวฉายแววตกตะลึง ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณอย่างฉินเทียนถึงกับต้านทานทักษะยักษาทําลายล้างของเขาได้ หยางเปียวรีบสงบสติอารมณ์ก่อนจะที่ฝ่ามือจะรวบรวมพลังไว้อีกครั้ง
ครืด…………
เกิดเสียงพังทลายจากการปะทะของทั้งสองขึ้นอีกคราหนึ่ง
ฉินเทียนไม่แม้แต่จะหยุดชะงัก เขายังคงมุ่งปล่อยหมัดออกปะทะโดยตรง
ครืด……………….
บ้านเรือนพังพินาศไปอีกแถบหนึ่ง แต่ฉินเทียนก็ยังพุ่งตรงต่อไปอย่างแน่วแน่ พลังไร้ลักษณ์ถูกรวมรั้งไว้ที่สองมือมากยิ่งขึ้นทุกขณะ
ครื่ด..
เสียงพังทลายดังขึ้นเป็นหนที่สาม แรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการปะทะทําให้หยา งเปิยวต้องก้าวถอยหลัง ใบหน้าของเขาขาวซีดและรู้สึกจนปวดจนไม่อาจบรรยาย หยางเปียวขบฟันแน่นก่อนจะฝืนความเจ็บปวดโจมตีออกไปอีกหน
“ตายซะ!”
ฉินเทียนคํารามขณะที่พลังถูกรวบรวมไว้ที่กําปั้นถึงขีดสุด พลังของกําปั้นที่ต่อยออกไปครั้งนี้ ยังทรงพลังยิ่งกว่าสามหมัดที่เขาต่อยออกไปก่อนหน้าเสียอีก…
ครื่ด…………………
หยางเปียวไม่อาจฝืนทนได้อีกและหงายหลังล้มไปกับพื้น ใบหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วก็ยิ่งซีดหนักกว่าเก่า ลมหายใจที่ระบายออกมีเสียงดังราวกับโคถูกตัวหนึ่ง ความแข็งแกร่งของฉันเทียนในวันนี้ ช่างอยู่เหนือจินตนาการของผู้คนนัก นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาพ่ายแพ้ในการปะทะซึ่งหน้ากับผู้อื่น
หยางเปียวพลันรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ค่า
ฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบย่ําลงบนอกของหยางเปียว ก่อนที่เสียงของฉันเทียนจะดังขึ้น “หยางฮง ไอ้โจรเฒ่า ไสหัวออกมา! ”