จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 119
พลังปราณอยู่ที่ระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณ เหนือกว่าระดับบ่มเพาะซึ่งอยู่ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณ
เป็นดั่งตัวตนที่ท้าทายสวรรค์
ชายชราเบิกตาค้าง เขาเคยรับหน้าที่รับสมัครศิษย์ใหม่มามากกว่าสิบปี และเขาไม่เคยพบเห็นกรณีที่พลังปราณล้ำหน้าระดับบ่มเพาะมาก่อน “เป็นของขวัญจากสวรรค์โดยแท้ สักวันเจ้าหนุ่มนี้จะต้องยิ่งใหญ่เหนือใครๆ”
ทัศนคติแปรเปลี่ยนฉับพลัน บนใบหน้าปั้นรอยยิ้มดูใจพลางเดินเข้าฉินเทียน “น้องชายท่านนี้พลังปราณของเจ้านับว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินยิ่งนัก”
ฉินเทียนเผยรอยยิ้มสุภาพนอบน้อม หากแต่ในใจกลับคิดขึ้นว่า เป็นรอยยิ้มที่ทุเรศลูกกะตาจริงๆ หาดีไม่ได้เลย
เมื่อทราบท่าทีของอีกฝ่าย ฉินเทียนก็มีวิธีรับมือ รอยยิ้มอันขัดตาของชายชราผู้นี้นับว่าไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ยิ้มเขาฉีกยิ้มกว้างมากเท่าไรฉินเทียนก็ยิ่งต้องระวังให้มากขึ้น
“น้องชายรู้เรื่องเกี่ยวกับประตูเทียนหรือไม่? ประตูเทียน ประตูเตอ ประตูซวน ประตูหวง ในหมู่ประตูเหล่านี้ ประตูเทียนนับเป็นกลุ่มที่มีคุณสมบัติจะเข้าเป็นศิษย์สายในได้รวดเร็วที่สุดน้องชายสงสัยหรือไม่ว่าทําไมอวี้เฉิงถึงได้รับเลือกให้เข้าประตูเทียน?”
ไม่รอให้ฉินเทียนกล่าวตอบ ชายชราก็เดินวนรอบตัวฉินเทียนก่อนจะกล่าวออกมา “เป็นเพราะเขาเต็มใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มชิงเทียน”
“กลุ่มชิงเทียน?!” ฉินเทียนพึมพําอย่างตกตะลึงและพลันคิดไปถึงตระกูลหยาง ดูเหมือนว่าคนตระกูลหยางอย่าง หยางฮั่นและหนานกงเอี๋ยนก็มาจากกลุ่มชิงเทียน อีกทั้งหนานกงเอี๋ยนยังเป็นถึงประมุขน้อยของกลุ่ม
ในตอนนั้นขณะที่กําลังอยู่ภายในเทือกเขาคุนหลุน หลินหยานและคนอื่นๆในกลุ่มได้เล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขากับหยางฮั่นอย่างคร่าวๆ เมื่อได้ยินชายชราพูดถึง “กลุ่มชิงเทียน” ฉินเทียนก็นึกถึงหยางฮั่นขึ้นมา
คิดได้แค่วูบเดียวก็เลิกสนใจ ตัวเขาในตอนนี้ไม่เห็นหยางฮั่นอยู่ในสายตาอีกแล้ว
ภายในเมืองขอบนภา ไม่เพียงแต่หยางฮั่น กระทั่งหยางหลินก็ยังไม่ปรากฏตัว
“หยางฮั่นคงกลับมาที่สํานักเทียนจี๋ หากเราเข้าร่วมกลุ่มชิงเทียน ก็คงโดนเจ้านั่นเล่นงานจนแย่แน่” หลังจากใคร่ครวญดูหลายรอบ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ “ความหวังดีของผู้อาวุโสนั้น ฉินเทียนขอน้อมรับ แต่สําหรับการเข้าร่วมกลุ่มชิงเทียน ผู้เยาว์ยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอเวลาให้ผู้เยาว์ได้ใคร่ครวญดูสักหลายวันได้หรือไม่?”
“ใคร่ครวญดู?” ชายชราเปลี่ยนสีหน้าพลางแค่นเสียง เขาเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้พลางมองฉินเทียนอย่างดูถูก ”คิดว่ามีพลังปราณระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณแล้วยอดเยี่ยมนักหรือ? คนอย่างเจ้ามีอยู่เกลื่อนกลาดในสํานักเทียนจี๋แห่งนี้ อย่างได้ประเมินตนผิดไป ในสายตาของข้าแล้ว ตัวเจ้าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมูลสุนัข!”
ฉินเทียนก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวพลางโค้งตัวลงอย่างมีมารยาท ”ผู้เยาว์ทราบดีว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งอะไร ดังนั้นผู้เยาว์จะฝึกฝนอย่างหนัก ไม่ให้เรื่องอื่นมารบกวนสมาธิ
ฉินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังนอบน้อมราวกับชายหนุ่มผู้อ่อนน้อมถ่อมตน นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฉินเทียนแสดงท่าทีเช่นนี้กับผู้อื่น เพราะเขาทราบดีว่ามันจะเป็นการดีกว่าหากไม่ไปล่วงเกินบุคคลจิตใจชั่วร้ายเช่นคนผู้นี้
เขาเพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่สํานักเทียนจี๋ ยังไม่มีพลังพอจะกระทําสิ่งใด การเดินจึงต้องเดินด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว การตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจชักนําปัญหาไม่รู้จบเข้ามาใส่ตัว
ฐานะในกลุ่มชิงเทียนของหยางฮั่นมั่นคงอย่างยิ่ง เขาว่าเขาเข้าร่วมกลุ่มชิงเทียน เขาก็ต้องประมือกับหยางฮั่น เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาถึงไม่หลบมุมพลาฝึกฝนไปอย่างเงียบๆกันล่ะ? รอจนกระทั่งเขาทะลวงผ่านไปยังขั้นสวรรค์ ถึงตอนนั้นต่อให้ไม่คิดเป็นจุดสนใจก็ยังต้องเป็นจุดสนใจ
เมื่อถึงตอนนั้นแม้หยางฮั่นจะทราบเรื่องว่าเขาได้มาถึงสํานักที่เยนจ์แล้ว หยางฮั่นก็จะไม่อาจลงมือต่อฉินเทียนได้ตรงๆ
น้ำเสียงและท่าที่อันสุภาพนอบน้อมของฉินเทียนทําให้ชายชราต้องเก็บรั้งความดูถูกดูหมิ่นกลับไป แต่นั่นกลับยิ่งทําให้ชายชรารู้สึกโกรธเคืองยิ่งกว่าเดิม เขาขมวดคิ้วพลางจ้องฉินเทียนอย่างเย็นชา “เจ้าทราบถึงผลของการปฏิเสธนี้หรือไม่?”
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสคุมการรับสมัครศิษย์สายนอกแล้ว ชายชราแน่นอนว่าย่อมมีความสามารถที่จะประเมินให้ผ่านหรือไม่ผ่าน
สําหรับเขาแล้วการจะทําให้ผู้เข้าสมัครคนหนึ่งไม่ผ่านเกณฑ์นั้นง่ายดายยิ่ง
ชายชรามองประเมินฉินเทียนเขม็ง เขาไม่เชื่อว่าฉินเทียนจะไม่รับข้อเสนอของเขา เพราะการล่วงเกินเขาย่อมไม่มีผลที่ดี
“ขอผู้อาวุโสโปรดใจกว้างให้เวลาผู้เยาว์ได้ทบทวนดูได้หรือไม่? หากผู้เยาว์ตัดสินใจได้แล้ว ผู้เยาว์ย่อมต้องให้คําตอบที่น่าพึงพอใจต่อผู้อาวุโส” ฉินเทียนโค้งตัวลงอย่างสุภาพอีกหน หากแต่ในใจคุกรุ่นไปด้วยไฟโทสะ
ตัวเขาต้องยอมให้แล้วยอมให้อีกจนแทบจะถึงเส้นที่ขีดแบ่งเอาไว้
นอกจากนี้ชายชรายังใช้สายตามองดูเขาราวกับมองดูสุนัขข้างถนนตัวหนึ่งที่ไร้ค่า
ถ้าหากฉินเทียนปฏิเสธมันก็จะเป็นการล่วงเกินกลุ่มชิงเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย กลุ่มชิงเทียนนี้นับว่ามีอํานาจอิทธิพลอยู่ภายในสนักเทียนจี๋ไม่น้อย ว่ากันว่าในศิษย์หนึ่งร้อยอันดับแรก ผู้ที่สังกัดกลุ่มชิงเทียนก็มีเกินกว่าครึ่งเข้าไปแล้ว และหลิวชวงหานที่เป็นผู้นํากลุ่มยังมีระดับบ่มเพาะที่ยากแท้หยั่งถึง
คําพูดดูถูกเหยียดหยามของชายชราทําให้ฉินเทียนไม่พอใจมาก
กลุ่มชิงเทียนแล้วอย่างไร?
อย่าได้ตอแยบิดาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะเป็นกลุ่มชิงเทียน เตอเทียนอะไรก็แล้วแต่บิดาจะฟาดหวดพวกเจ้าจนหางจุกกันเลยคอยดู!
ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นมืดครึมขณะที่โทสะถูกปลดปล่อยออกมาลางๆ “ช่างเป็นผู้ที่ไม่รู้สถานการณ์เอาเสียเลย”
ขณะที่เขากําลังจะยกมือฉีกใบสมัครของฉินเทียน เสียงของเมิ่งฝานอีก็ดังเข้ามาภายในห้อง “ผู้อาวุโสเฉิง…”
เฉิงลี่หยุดชะงัก ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปขณะที่รีบลุกขึ้นโค้งคํานับอย่างยินดี “น้องเมิ่งสบายดี?”
หากแต่ในใจกลับไม่ได้ยินดีเหมือนกับที่แสดงออก “ไฉนกลับมาแล้ว? ไม่ใช่ว่าเขายังคงไล่ตอมดอกไม้ดอกนั้นอยู่ที่นิกายจิงซินหรอกหรือ?”
เมิ่งฝานชําเลืองมองฉินเทียนพลางบอกใบ้ให้วางใจได้ เมื่อครู่นี้เขาได้เฝ้าสังเกตห้องทดสอ บมาตลอด กระทั่งอเฉิงที่อยู่ระดับสามขั้นกลั่นวิญญาณยังผ่านเข้าประตูเทียนได้อย่างรวดเร็ว จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ยินคําสนทนาภายในห้องอย่างชัดถ้อยชัดคํา
สิ่งที่ทําให้เขาตกตะลึงอยู่บ้างก็คือการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มชิงเทียน ตอนนี้แม้แต่ผู้อาวุโสที่ทําหน้าที่คอยรับศิษย์ก็ยังถูกซื้อตัวไปแล้ว
“ดูเหมือนหลิวชวงหานจะทะเยอทะยานไม่น้อย เมิ่งฝานอีครุ่นคิดขณะที่ก้าวเดินเข้าไปในห้องทดสอบ
เฉิงลี่แน่นอนว่าย่อมต้องรู้จักเมิ่งฝานอี อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงศิษย์ในห้าสิบอันดับแรกของสํานัก เป็นศิษย์ที่มีอนาคตก้าวไกล
นอกจากนี้ฐานะของศิษย์สายในก็ยังสูงส่งกว่าเขา เฉิงลี่ค้อมกายลงพลางเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าน้องเมิ่งมีธุระอะไรหรือไม่?”
เมิ่งฝานอียิ้มก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ”เขาเป็นคนที่ข้าเชิญมาเข้าร่วมสํานักเทียนหวังว่าผู้อาวุโสจะไม่สร้างความลําบากให้กับเขา”
เฉิงลี่พลันยิ้มเจื่อน “น้องเมิ่ง ท่านก็รู้จักกลุ่มชิงเทียนดี หวังว่าท่านจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรี่องนี้ การล่วงเกินกลุ่มชิงเทียน ท่านก็ทราบว่า….”
ชายชรายังไม่เห็นเมิ่งฝานอีอยู่ในสายตา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้อาวุโสสายนอก แต่เขาก็ยังมีกลุ่มชิงเทียนคอยหนุนหลังอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าล่วงเกินเขาง่ายๆ
ตอลดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ส่งมอบศิษย์ที่มีความสามารถให้กลุ่มชิงเทียนไปมากมายจนได้รับความสําคัญขึ้นมา เขาปะทะสายตากับเมิ่งฝานอีอย่างไม่กลัวเกรง ราวกับว่าตัวเขาเป็นราชาของที่แห่งนี้ ฉินเทียนขมวดคิ้วขณะที่จิตสังหารเริ่มก่อตัว
แต่ในวินาทีถัดมาจิตสังหารก็สลายหายไป
“อย่าได้ลืมเลือนว่าที่นี่คือสํานักเทียนจี๋ ไม่ใช่สานักชิงเทียน ไม่ว่ากลุ่มชิงเทียนของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด ท้ายที่สุดก็ยังอยู่ภายใต้ชื่อสํานักเทียนจี๋ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากนําเรื่องนี้ไปแจ้งต่อหอคุมกฏ?” เมิ่งฝานอีหุบยิ้มพลางกล่าวเสียงเรียบ
เคราบนใบหน้าเฉิงลี่กระตุกสองสามครั้ง เขาแค่นเสียงอย่างโมโห “ฉินเทียน ประตูหวง!”
“เฉิงลี่ เจ้ากล้า!” เมิ่งฝานอีคํารามอย่างมีโทสะ ขณะที่กําลังจะมอบบทเรียนให้กับอีกฝ่าย เขาก็ถูกฉินเทียนหยุดเอาไว้เสียก่อน
“ช่างเถอะพี่เมิ่ง” ฉินเทียนฉุดดึงเมิ่งฝานอีไว้ก่อนที่สายตาจะหันไปมองเฉิงลี่อย่างเย็นชา…………..