ตอนที่ 29 ลูกไม้ในแขนเสื้อ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทุกสายตาภายในลานต่างจับจ้องไปที่ศีรษะอันใหญ่โตนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าหายใจโดยแรง นิ่งงันคล้ายถูกฟ้าผ่า
เสียงซุบซิบที่เคยมีประปรายในช่วงก่อนหน้าพลันเงียบสงัด ตอนนี้กระทั่งต่อให้มีเสียงเข็มตกกระทบพื้นก็ยังสามารถได้ยินโดยทั่วกัน
ฉินเทียนเกาศีรษะก่อนจะเดินไปหาผู้ทำหน้าที่นับคะแนนและถามออกมาอย่างใสซื่อ “ศีรษะหัวนี้มีคะแนนเท่าใดหรือ?”
ศิษย์ผู้ทำหน้าที่นับคะแนนพลันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากขณะที่ริมฝีปากของมันสั่นสะท้าน มันใช้เวลาอยู่นานก่อนจะตอบอย่างตะกุกตะกัก “ห้า…สัตว์ปีศาจระดับห้า…มี…มีค่า…หนึ่งพันแต้ม….”
เปรี๊ยะ
เสียงของผู้นับคะแนนคล้ายกับเป็นเสียงปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์ ทั่วทั้งลานฝึกพลันอึกทึกไปด้วยเสียงพูดคุย
เสียงฮือฮาดังกลบสรรพเสียงใดๆ ไม่มีผู้ใดสามารถทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น
สัตว์ปีศาจระดับห้า! กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขั้นกลั่นวิญญาณก็ยังไม่มีความมั่นใจที่จะปะทะกับมันเพียงลำพัง! ฉินเทียนแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?
ตื่นตะลึง ทุกคนต่างนิ่งตะลึงงันกันถ้วนหน้า
ไม่อยากจะเชื่อเลย….
“สัตว์ปีศาจระดับห้า?”
ร่างของฉินซานเทียนพลันวูบหายไปก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าศีรษะของกอลิล่าดุร้าย ร่างของมันปลดปล่อยพลังปราณที่เข้มแข็งออกมา คล้ายกับเทพสงครามจุติประทับร่าง พลังปราณอันเข้มข้นที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของมันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ฉินเทียนพลันรู้สึกราวกับร่างกายกำลังถูกกดทับด้วยพลังมหาศาล ที่หน้าผากของเขาเริ่มปรากฏเหงื่อเย็นไหลออกมา
“บัดซบ ขั้นกลั่นวิญญาณจะแน่สักเพียงใดเชียว?”
“รอกระทั่งข้าแข็งแกร่งขึ้นก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงให้ดู”
ฉินเทียนลอบก่นด่าอยู่ในใจ เมื่อฉินซานเทียนรับรู้ได้ว่าเผลอปลดปล่อยกลิ่นอายออกไปอย่างลืมตัวแล้ว มันก็รั้งรวบพลังปราณและสลายกลิ่นอายไป มันกวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะหันมามองฉินเทียน “เจ้าเป็นผู้สังหารมัน?”
“หากว่าข้ากล่าวว่าใช่ ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่?”
ฉินเทียนยิ้มจางๆ เขาตัดสินใจได้แล้ว
ฉินซานเทียนเลิกคิ้วขึ้น จ้องมองแววตาของฉินเทียนราวกับกำลังค้นหาลึกไปถึงแก่นวิญญาณ สุดท้ายฉินซานเทียนก็ส่ายศีรษะ “ข้าย่อมไม่เชื่อ”
“ฮ่า…ฮ่า..”
ฉินเทียนหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวว่า “สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นกลั่นวิญญาณ ข้าจะไม่โกหกต่อท่าน”
“เมื่อสองคืนก่อน ผู้เข้มแข็งกลุ่มหนึ่งได้ไล่ล่าสัตว์ปีศาจตัวนี้จนกระทั่งมาถึงชายแดนเทือกเขาคุนหลุน แต่ข้าจะแข็งแกร่งพอสังหารมันได้อย่างไร? ก่อนที่ข้าจะหาที่ซ่อนตัวนั้น ข้าก็ได้เห็นศิษย์ตระกูลฉินมากมายตกตายภายใต้เงื้อมมือมัน ในเวลานั้นข้าโกรธแค้นอย่างมากจนแทบจะคลุ้มคลั่ง ข้าโกรธตนเองที่ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ มิเช่นนั้นมันจะไม่อาจรังแกเหล่าพี่น้องของข้าได้โดยง่าย”
ฉินเทียนเผยให้เห็นสีหน้าที่เจ็บแค้นเมื่อกล่าวถึงเหล่าพี่น้องในตระกูลที่ตกตายไป แววตาทั้งสองของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “กลุ่มผู้เข้มแข็งนั้นได้ไล่ล่ามันทั้งกลางวันและกลางคืน กระทั่งสามารถสังหารมันได้ในท้ายที่สุด โชคดีที่ข้าอยู่แถวนั้นพอดี เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นเดินจากไปไกลแล้ว ข้าก็ตัดสินใจวิ่งไปที่ศพของมัน และในเมื่อกฏไม่ได้บอกว่าห้ามนำศีรษะที่ผู้อื่นสังหารมานับรวมด้วย ข้าก็ตัดสินใจนำมันออกมา”
“ท่านประมุข ท่านจะนับมันด้วยหรือไม่?”
ฉินเทียนเล่าเรื่องราวเสียยืดยาวก่อนจะเน้นย้ำไปกฏ นี่ทำให้ผู้คนมากมายต่างไขว้เขวจนตามไม่ทัน
ฉินซานเทียนประเมินฉินเทียนอย่างละเอียด ขณะที่พิจารณาได้ว่าสิ่งที่ฉินทียนกล่าวออกมาก็มีโอกาสเป็นไปได้ มันก็ต้องลอบประหลาดใจขึ้นมา ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน ฉินเทียนกลับสามารถมาจนถึงจุดนี้ได้ ฉินคุน ฉินหยางและศิษย์อีกหลายคนกลับไม่อาจรอดชีวิตกลับมา….หรือคนเหล่านั้นจะตายในเงื้อมมือของมัน? หรือเป็นดังเช่นที่มันอธิบาย ตายด้วยเงื้อมมือสัตว์ปีศาจระดับห้า?
อย่างไรเสียกฏของการแข่งขันก็เป็นเพียงของตาย คนจึงเป็นสิ่งสำคัญกว่า ฉินเซี่ยงเทียนไม่อาจรับรองได้ว่ามันจะไม่กระทำสิ่งใด แม้ว่าฉินคุนจะตกตายในเงื้อมมือสัตว์ปีศาจจริงๆมันก็ยังจะมุ่งเป้าโทสะไปที่ฉินเทียน
กระนั้นสถานการณ์ของตระกูลฉินตอนนี้ก็ยังไม่สู้ดีนัก พวกมันมีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเพียงไม่กี่คน และตอนนี้ฉินเทียนก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลในตอนนี้ และอีกประการ การชุมนุมของสี่ตระกูลใหญ่จะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งเดือน ดังนั้นตระกูลฉินในตอนนี้จึงไม่อาจรับความสูญเสียได้อีก
ขณะที่มันครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว มันก็ลอบตรวจสอบฉินเทียนไปด้วย
ฉินซานเทียนวางมือบนบ่าของฉินเทียนและกล่าวอย่างสงบ “ย่อมแน่นอน มันจะถูกนับรวมไปด้วย”
ฉินเทียนใจหายวาบ ขุมพลังปราณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพลันส่งผ่านไปทั่วร่างของเขาผ่านฝ่ามือนั้น ฉินเทียนลอบสบถในใจ “มารดามันเถอะ! มันกำลังทดสอบข้า?”
ในเวลาเดียวกัน ฉินเทียนก็สะกดพลังปราณและไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด ปล่อยให้ฉินซานเทียนใช้พลังปราณกวาดผ่านไปทั่วร่าง
ฉินซานเทียนกำลังตรวจสอบ มันกำลังหาแก่นปีศาจ
คำพูดของฉินเทียน ฉินซานเทียนคิดว่ามันยากที่จะทำใจเชื่อได้ เมื่อได้เห็นบาดแผลที่ศีรษะของกอลิล่าดุร้ายแล้ว มันก็ทราบทันทีว่าผู้ที่ดึงแก่นปีศาจออกไปไม่ได้มีฝีมือมากนัก รูบนศีรษะนั่น….คล้ายกับถูกงัดแงะอยู่หลายครั้งก่อนที่จะดึงมันออกไปได้
ดังนั้นมันจึงไม่ได้เชื่อฉินเทียน พลังปราณของมันไหลเวียนอยู่รอบจุดตันเถียนของฉินเทียนครู่หนึ่งและไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด มันดึงพลังปราณกลับ มันปรับสภาพจิตใจและประกาศออกไป “ข้าขอประกาศว่าผู้ชนะเลิศในเทศกาลล่าสัตว์ในครั้งนี้คือฉินเทียน!”
เสียงอื้ออึงพลันโหมกระหน่ำขึ้นจากฝูงชน
ฉินเทียนยิ้ม แต่ลึกลงไปแล้วเขาคิดขึ้นว่า “พยายามหาแก่นงั้นรึ? พี่ใหญ่เฮยหยานพูดถูก การฝากแก่นไว้ที่มันนับว่าเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ตระกูลฉินนี้ล้วนไม่มีตัวดี”
“คิดว่าข้ากลืนแก่นปีศาจไปงั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า โชคดีที่ข้าไม่ทำเช่นนั้น”
………………………………………………
ผลการแข่งขันของเทศกาลล่าสัตว์ทำให้ชื่อของฉินเทียนกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่วทั้งเมืองชิงเหอ
เพียงไม่กี่วันฉินเทียนก็กลับมาเป็นดาวรุ่งของเมืองชิงเหออีกครั้ง
เรื่องนี้ทำให้ตระกูลเสี่ยวจุกอกจนพูดไม่ออก
ตอนนี้ฉินคุนก็ตายแล้ว เสี่ยวหยูเชียนต้องกลายเป็นแม่ม่ายตั้งแต่ยังไม่ทันแต่งเข้าตระกูลฉิน
เสี่ยวเลี่ยเดินไปมาอยู่ภายในห้องโถง รอยย่นสายหนึ่งปรากฏอยู่ที่หน้าผาก มันกำลังคิดหาวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับฉินเทียน หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่ง มันก็ตัดสินใจได้ว่า เหลือเพียงทางออกเดียวคือการใช้บุตรตรีของมัน เสี่ยวหยูเชียน
เมื่อนึกถึงครั้งอดีตที่ฉินเทียนแสดงออกต่อเสี่ยวหยูเชียน ใบหน้าของมันก็เผยรอยยิ้มเย็น มันพลันเรียกตัวเสี่ยวหยูเชียน….
…………………………………………..
เหลาอาหารฟุหลง
“เจ้าอ้วน ข้ากลับมาแล้ว!”
ฉินเทียนเดนเข้าเหลาอาหารด้วยความตื่นเต้น จางต้าฟู่สั่นสะท้านขึ้นมา ใบหน้าของมันปรากฏรอยยิ้มเฝื่อน มันเข้ารับหน้าฉินเทียน “ขอแสดงความยินดีต่อนายน้อยที่ได้ลำดับหนึ่งในเทศกาลล่าสัตว์ นายน้อยเป็นเฉกเช่นมังกรในหมู่มวลมนุษย์….”
“พอแล้ว หยุดประจบข้าเสียที เจ้าอ้วนอยู่ที่ใด?” ฉินเทียนโบกมือ เหลาอาหารนี้ก็ใกล้จะปิดแล้ว แต่เจ้าอ้วนกลับหายไปไหน?
“นายท่านเมิ่งอยู่ภายในห้องอาหารส่วนตัวกำลังดื่มกับบุรุษผู้หนึ่งขอรับ” จางต้าฟู่ก้าวเข้ามากระซิบที่ข้างหูฉินเทียน “บุรุษผู้นั้น ข้าเกรงว่ามันจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นกลั่นวิญญาณขอรับ!”
ฉินเทียนยิ้มและไปยังห้องอาหารนั้น เมิ่งเล่ยและเฮยหยานต่างหน้าแดงก่ำ ขณะในมือถือจอกสุราเอาไว้ ทั้งสองต่างไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้กับอีกฝ่ายแต่อย่างใด
เมื่อเมิ่งเล่ยเห็นฉินเทียนเดินเข้ามา มันก็รีบตะโกนออกมา “นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว!”
“ตอนนี้เจ้ากลับกลายเป็นนายท่านเมิ่งเสียแล้ว หากว่าเจ้ายังไม่กลับมาสู่โลกความจริงอีก เจ้าคงคิดว่าตนเองอยู่เหนือสวรรค์แล้ว!” ฉินเทียนหัวเราะออกมาก่อนจะโค้งตัวลงอย่างเคารพต่อเฮยหยาน “พี่เฮย สหายของข้าคงไม่สร้างความยุ่งยากต่อท่านกระมัง?”
เมิ่งเล่ยลุกขึ้นไปยืนด้านข้างและหัวเราะอย่างโง่งม ตั้งแต่ที่ฉินเทียนไปเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ จางต้าฟู่ก็เริ่มเรียกหามันว่านายท่านเมิ่ง แม้ว่านายท่านเมิ่งจะรู้สึกขัดหูในคราแรก แต่หลังจากนั้นมันก็ชอบฟังยิ่ง
เฮยหยานหัวเราะและกล่าวว่า “มันยอดเยี่ยมยิ่ง! นานแล้วที่ข้าไม่ได้พบผู้ใดที่สามารถดื่มได้เช่นมัน”
“ดื่มกันสักไหหรือไม่?”
“ผู้ใดเกรงกลัว? มาสิ!”
ด้วยเหตุนั้นฉินเทียนจึงร่วมดื่มกับเฮยหยาน
…………………………………………….
ดาราในท้องฟ้ายามราตรีส่องแสงห่างไกล อวิ๋นม่านยืนอยู่ข้างหน้าต่างเหม่อมองไปยังดวงจันทร์ที่ประดับอยู่กลางท้องฟ้า คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
พักหนึ่งนางก็ส่งเสียงคิกคัก ใบหน้าของนางพลันเติมเต็มไปด้วยความสุขหลังจากส่งเสียงหัวเราะออกมา……