ตอนที่ 39 กฏของตระกูลฉินน่ะหรือ? ช่างหัวมันสิ!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เดิมทีแล้ว ฉินเทียนไม่ได้กังวลต่องานชุมนุมสี่ตระกูลใหญ่มากนัก การทะลวงไปขั้นก่อตั้งวิญญาณและรับเอาเม็ดยาทั้งห้าสิบม็ดมานั่นล่ะที่สำคัญกว่า สำหรับงานชุมนุมนั้น เพียงเข้าร่วมพอเป็นพิธีก็พอ แม้ว่าอาวุธวิญญาณระดับกลางจะล่อตาล่อใจมิใช่น้อย แต่เขาก็ยังไม่จำเป็นต้องเร่งรีบมีมันในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าแม้ตอนนี้ฉินซานเทียนจะเปลี่ยนใจไม่มอบรางวัลใดๆแก่เขา เขาก็ยังคงจะเข้าร่วมและทุ่มเทเต็มร้อย
กลิ่นอายที่เสี่ยวหยูเฟิงปลดปล่อยออกมานั้นทำให้เขาโมโหจนแทบคลั่ง
ในเมื่อเขาเคยเอาชนะเสี่ยวหยูเฟิงเมื่อห้าปีก่อนได้ ผลลัพธ์ของห้าปีต่อมาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
การพ่ายแพ้นั้นถือเป็นความอัปยศ และอาจถึงขั้นต้องสูญเสียชีวิต
จากความรู้สึกที่สัมผัสได้จากเสี่ยวหยูเฟิงแล้ว พวกเขาทั้งสองจะต้องได้พบกันอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น จะมีเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่รอด
“ข้าจะให้เจ้าได้สิ่งที่เจ้าต้องการ” ฉินเทียนคิดขึ้นในใจอย่างเกลียดชัง
มีเพียงผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะเป็นที่ยำเกรง มันคือกฏแห่งป่า ฉินเทียนเข้าใจเรื่องนี้ดี
เมื่อเขากลับไปที่เหลาฟุหลง เฮยหยานและเมิ่งเล่ยก็กลับมาถึงก่อนแล้ว
เฮยหยานนั้นนั่งดื่มอยู่ในห้องคนเดียว ขณะที่เจ้าอ้วนนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงราวกับหมาตายซาก วันนี้มันได้เข้ารับการฝึกที่เรียกได้ว่าเป็นการฝึกนรก มันไม่ใช่การฝึกที่มนุษย์ทั่วไปจะทนทานรับได้
“พี่ใหญ่เฮยหยาน”
ฉินเทียนเข้ามาภายในห้องก่อนจะนั่งลง เขายกไหสุรารินใส่จอกใบเล็ก แม้ว่าเขาจะไม่ชอบดื่มของมึนเมา หากแต่เขาก็กระดกลงไปอึกใหญ่ หลังจากดื่มมันเข้าไปแล้ว กระเพาะของเขาก็ร้อนผ่าวราวถูกเผา มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย หากแต่มันก็สามารถขับไล่โทสะในใจไปได้บ้าง
เฮยหยานหัวเราะและตบหลังฉินเทียน “น้องชาย สุรานี้แรงนัก กระทั่งข้าก็ยังไม่กล้าดื่มรวดเดียว”
ฉินเทียนยิ้มเฝื่อนและถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านเคยท่องเที่ยวอยู่ในเทือกเขาคุนหลุนมาหลายปีและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ที่นั่นมีสถานที่ที่สัตว์ปีศาจมารวมตัวกันมากๆหรือไม่?”
“ต้องการจะไปล่าพวกมันหรือ?” เฮยหยานคว้าถั่วในจานขึ้นมาโยนเข้าปากทีละเม็ด หลังจากเคี้ยวเสร็จ เขาก็หัวเราะอย่างขมขื่นและถามว่า “น้องชาย มีเรื่องอะไรงั้นหรือ? บอกต่อพี่ใหญ่ได้ ข้าจะช่วยจัดการให้”
“มิมีอะไร” ฉินเทียนรินสุราให้เฮยหยาน เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาจัดการปัญหาให้ หากว่ากระทั่งเสี่ยวหยูเฟิงเขายังไม่อาจจัดการได้ เช่นนั้นเรื่องล้างแค้นหลงเทียนจี๋และสำนักเทียนจี๋ก็ไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว
ปัญหาเหล่านั้นฉินเทียนจะต้องเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง
เฮยหยานมองฉินเทียนและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจและกล่าวว่า “สามสิบกิโลเมตรจากในที่ที่พวกเราพบกันครั้งก่อน ที่นั่นมีหุบเขาที่รู้จักกันในนามหุบเขาหมาป่า ที่นั่นมีหมาป่าเขี้ยวเขียวอาศัยอยู่ พวกมันมักเดินทางด้วยกันเป็นฝูง ดังนั้นการพบกับพวกมันจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนั้นที่นั่นจึงไม่มีผู้ใดต้องการเข้าไป”
“เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นที่แปด มันไม่เหมาะที่จะเขาไปยังสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่?” เฮยหยานถามอย่างเป็นห่วง
หุบเขาหมาป่า แม้ว่ามันจะไม่ได้กินพื้นที่มากนัก หากแต่มันก็เต็มไปด้วยหมาป่า พวกมันออกล่าเหยื่อด้วยกันเป็นฝูง พวกมันทั้งดุร้ายและแข็งแกร่งมาก
การพบเจอกับหมาป่าทั้งฝูงนั้นเป็นเรื่องที่น่าขนพอง เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งอย่างที่สุด มิเช่นนั้นก็คงจะถูกพวกมันรุมทึ้งซากศพไป
ฉินเทียนยิ้ม เขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาหยิบเอาตำราทักษะ “เพลงหมัดราชันย์ลั่วหาน” ออกมาและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ โปรดส่งมอบสิ่งนี้ให้กับเมิ่งเล่ยด้วย”
เฮยหยานจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลอบตกตะลึง “เพลงหมัดราชันย์ลั่วหาน มันเป็นทักษะระดับสูงที่เหมาะกับเมิ่งเล่ยอย่างยิ่ง”
สำหรับความใจกว้างที่มีต่อผู้ติดตามนี้ มันทำให้เฮยหยานรู้สึกดีต่อฉินเทียนอย่างมาก
เมิ่งเล่ยนั้นเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่มีพลังแฝงอยู่มหาศาล ตอนนี้มันก็คล้ายกับหยกที่ยังไม่ถูกเจียระไน แต่หลังจกาที่ผ่านการเจียระไนแล้ว มันก็จะกลายเป็นหยกทรงค่า เฮยหยานไม่ได้เตรียมจะสอนทักษะให้กับเมิ่งเล่ยมากไปกว่าพื้นฐาน เพราะตัวมันรู้สึกว่ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสั่งสอนและเกรงว่าตนจะพลั้งพลาดทำให้พลังของเมิ่งเล่ยกลายเป็นเสียของไป
ในใจของมันทราบว่า โอกาสของเมิ่งเล่ยยังมาไม่ถึง และเมื่อมันมาถึง เมิ่งเล่ยก็จะมีความสำเร็จในระดับที่ไม่มีผู้ใดจินตนาการถึง เป็นความแข็งแกร่งที่กระทั่งทำให้เลือดในกายของมันต้องเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น
โอกาสของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้ เฮยหยานจึงตัดสินใจที่จะไม่บอกสถานการณ์ตอนนี้ของเมิ่งเล่ยออกไป
“ตำราเล่มนี้ข้าได้เลือกสรรให้กับมันเป็นพิเศษ มันสมควรกลบลบจุดอ่อนให้กับเจ้าอ้วนได้” ฉินเทียนยิ้ม เมื่อยามที่เขาได้พบเห็นตำราเล่มนี้ เขาก็พลันนึกถึงความแข็งแกร่งของเมิ่งเล่ย มันคล้ายกับบุรุษเพียงคนเดียวที่สามารถกำราบมังกร ลั่วหาน
หลังจากรับตำราทักษะ “เพลงหมัดราชันย์ลั่วหาน” เอาไว้แล้ว เฮยหยานก็กล่าวว่า “ในวันพรุ่งข้าจะให้มันฝึกฝนสิ่งนี้”
“พี่ใหญ่ วันนี้ท่านเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถอะ”
“อย่าบอกข้านะว่าเจ้าจะเข้าไปยังหุบเขาหมาป่าในตอนนี้?”
ฉินเทียนยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำ
เฮยหยานหัวเราะแห้งๆก่อนจะยิ้มออกมา “รักษาตัวด้วย”
จบคำมันก็รินสุราลงจนเต็มจอกก่อนจะกระดกลงไป กระเพาะของมันก็คล้ายกับถูกเพลิงอเวจีกวาดผ่าน มันร้อนรุ่มไปด้วยเพลิง หากแต่บนใบหน้าของมันก็ยังมีรอยยิ้มอันขมขื่น
………………………………….
เมื่อฉินเทียนออกจากเหลาฟุหลง เขาก็พบเข้ากับอวิ๋นม่าน
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทันทีที่นางเห็นฉินเทียนเดินออกมาจากเหลาฟุหลง นางก็รีบฉุดดึงเขาไปที่มุมหนึ่งและนำตำราทักษะ ‘หงส์เพลิงแปลงเก้าสวรรค์’ ออกมา นางพลันถามออกมาด้วยใบหน้าขาวซีด “เจ้าขโมยมันมาใส่ไว้ในบ้านของข้าหรือ?”
ฉินเทียนประหลาด เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของอวิ๋นม่านแล้ว เขาก็เกาศีรษะและกล่าวว่า “ข้าเลือกมันมาให้เจ้าตอนที่ข้าได้ไปที่หอตำราวันนี้ ตำราเล่มนั้นเป็นทักษะระดับสูง มันเหมาะกับเจ้า”
แท้ที่จริงแล้ว ฉินเทียนเพียงต้องการเห็นนางร่ายรำอยู่ในอากาศ คล้ายกับเทพธิดาที่จุติลงมากลางสนามรบ
อวิ๋นม่านสั่นสะท้านและสองตาของนางก็เริ่มมีหยดน้ำตา นางรู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทั้งหมดที่ฉินเทียนมอบให้ แต่ตำราทักษะนี้ นางไม่กล้าศึกษามัน
เมื่อนานมาแล้วนางทราบว่ามีตำราทักษะเช่นนี้อยู่ในหอตำราของตระกูลฉิน มันนานมากเสียจนนางลืมเลือนไป
แต่ตอนนี้ฉินเทียนกลับมอบตำราทัก ษะนี้ให้กับนาง นางไม่กล้ารับมันเอาไว้
มันไม่ใช่เพราะฉินเทียน แต่เป็นเพราะน่าเกรงกลัวกฏอันเข้มงวดของตระกูลฉิน
‘หงส์เพลิงแปลงเก้าสวรรค์’ เป็นตำราที่ฉินเทียนได้รับมาเนื่องเพราะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขัน ดังนั้นตำราเล่มนี้จึงมอบให้เพียงเขา ผู้อื่นจะไม่มีสิทธิ์ได้ฝึกฝนโดยปราศจากคำอนุญาติของประมุขตระกูล
การลอบฝึกฝนทักษะที่ไม่ได้รับอนุญาติถือเป็นการละเมิดกฏของตระกูลอย่างร้ายแรง หากว่าถูกจับได้ล่ะก็ กระทั่งตัวเขาก็ยังมีผลลัพธ์ที่น่าเวทนา
แน่นอนว่าอวิ๋นม่านก็ไม่ได้อยากจะปลอ่ยตำราให้หลุดลอยไป แต่นี่เกี่ยวพันถึงชีวิตของฉินเทียน นางย่อมไม่กล้าเสี่ยงเดิมพัน และเพราะเช่นนั้น นางจึงไม่กล้าแม้แต่จะแง้มดู
นางส่งคืนตำรา ‘หงส์เพลิงแปลงเก้าสวรรค์’ ให้กับฉินเทียนและกล่าวออกมาด้วยความวิตกกังวล “ข้าไม่ต้องการจะละเมิดกฏของตระกูล”
“กฏของตระกูลฉินงั้นหรือ?” ฉินเทียนแค่นเสียง “ช่างกฏมันเถอะ”
พวกกฏข้อห้ามของตระกูลฉินน่ะหรือ? ฉินเทียนไม่เคยเอามันมาใส่ใจแม้แต่น้อย ฉินหยางยังสามารถฝึกฝนทักษะระดับสูงของตระกูลได้ แล้วคนอื่นจะทำบ้างไม่ได้งั้นหรือ น่าขันสิ้นดี
มันก็เป็นเพียงกฏ ต่อให้มันมีอยู่ มันก็คงหย่อนยานไปเนิ่นนานแล้ว
และด้วยเหตุนั้น เขาจึงยัดตำราใส่มืออวิ๋นม่านอย่างแน่วแน่ “สงบใจลงแล้วฝึกฝนมันซะ ภายในครึ่งเดือน เจ้าจำเป็นจะต้องฝึกมันให้ชำนาญ หากว่าเจ้าหวั่นเกรงต่อกฏของตระกูล เช่นนั้นก็ฝึกมันในที่ลับและใช้มันเมื่อจวนตัวเท่านั้น”
“แต่เจ้า…” อวิ๋นม่านกังวลยิ่ง ไม่ใช่ตัวนางเอง หากแต่เป็นฉินเทียน
“ไม่มีแต่ จงทำใจให้สบายและขยันฝึกฝนมัน”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็อดบีบจมูกอันน่ารักของนางอย่างนุ่มนวลไม่ได้ ยามเมื่อมองดูนาง ความเกลียดชังและโทสะภายในใจก็ค่อยๆบรรเทาลง
อวิ๋นม่านได้ยืนกรานอย่างหนักแน่นอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายนางจะรับมันเอาไว้
ขณะที่นางมองไปที่ฉินเทียน หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและหวานชื่น…
หลังจกาทั้งสองบอกลากันแล้ว ฉินเทียนก็เดินทางมาถึงทิศเหนือของเมือง เขาขึ้นขี่ม้าและมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหมาป่า
ในเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน มันเป็นเวลาที่กดดันอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาจำเป็นจะต้องทะลวงผ่านไปยังขั้นก่อตั้งวิญญาณและเก็บสะสมค่าพลังปราณเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ส่วนเรื่องแรงกดดันจากเสี่ยวหยูเฟิงนั้น แน่นอนว่ามันจะต้องจ่ายคืนอย่างสาสม!