ตอนที่ 54 การกลั่นแกล้งจากระบบ?
ตอนกลางคืน ภายในถ้ำที่มืดสลัว
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เสียงคำรามของสัตว์ปีศาจดังขึ้นให้ได้เป็นครั้งคราว ทำให้คืนนั้นกลายเป็นค่ำคืนที่ต้องหวาดระแวง
เฮยหยานนั่งยองๆอยู่ที่ปากถ้ำ สายตาสอดส่ายโดยรอบอย่างระแวดระวัง ทุกครั้งที่มันเข้าในเทือกเขาคุนหลุน มันไม่เคยสงบใจลงได้เลย มันมักจะคอยตื่นตัวอยู่ตลอด
เทือกเขาคุนหลุนเป็นสถานที่อันตราย เป็นที่ที่สามารถพบเจอันตรายได้ทุกเวลา เพียงชั่วพริบตาที่พลั้งเผลอ นั่นอาจหมายถึงชีวิตที่หลุดลอย
ฉินเทียนปิดตาลง พยายามจะข่มตาหลับ กระนั้นเขากลับนอนไม่หลับ เขาลืมตาขึ้นก่อนจะลุกเดินไปที่ปากถ้ำ “พี่เฮย ท่านไปพักเถอะ ข้าจะรับช่วงต่อเอง”
เฮยหยานหัวเราะเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด มันหันมามองฉินเทียนแล้วถามว่า “นอนไม่หลับหรือ?”
ฉินเทียนนั่งลงเอนหลังพิงกำผนังถ้ำและทอดมองท้องฟ้ายามราตรี หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถามออกมา “พี่ชาย ท่านจะไปแล้ว?”
เฮยหยานตกตะลึง มันมองดูฉินเทียน จากนั้นจึงเดินออกไปนอกถ้ำแล้วจึงตอบว่า “การฝึกเชิงยุทธ์ไม่มีคำว่าสิ้นสุด ข้าไม่ได้ตัดผ่านมานานมากแล้ว ในปีหน้า ข้าจะเข้าร่วมกับสำนักเมฆาล่องเพื่อค้นหาเขตแดนที่เหนือล้ำขึ้นไป”
“สำนักเมฆาล่อง?”
ฉินเทียนตกใจเล็กน้อย เขามีควมาเข้าใจต่อสำนักใหญ่ภายในทวีปอยู่บ้าง และทราบว่าสำนักเมฆาล่องเป็นหนึ่งในสำนักขนาดใหญ่ของทวีปเทียนหยวน สำนักนี้มีศิษย์อยู่นับหมื่น และผู้เชี่ยวชาญอีกนับไม่ถ้วน ในทุกๆปี ประตูสำนักจะเปิดอ้าออกรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์ และเฮยหยานก็ต้องการจะเข้าร่วม มันเป็นผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณ ดังนั้นการเข้าร่วมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าการทดสอบก็ต้องยากขึ้นเล็กน้อย
เทียบกับสำนักเมฆาล่องแล้ว สำนักเทียนจี๋ของคังเทียนจี๋ก็อยู่ในชั้นเดียวกัน การแข่งขันของสำนักเล็กๆที่ว่ายากเย็นมากแล้ว สำนักใหญ่ยิ่งไม่อาจจินตการออก ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกับสำนักใหญ่ จะต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างเหนือล้ำ
ฉินเทียนเองก็คิดจะเข้าร่วมกับสำนักเทียนจี๋ แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันแล้ว กระทั่งคุณสมบัติของเขายังไม่เพียงพอ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการจะได้รับเลือกหรือไม่
เขาต้องการจะเข้าสำนักเทียนจี๋เพื่อทำภารกิจ SSS ให้สำเร็จ เพื่อสังหารหลงเส้าเทียนและแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมา จากนั้นเขาก็จะสามารถครอบครองสมบัติทั้งหมดภายในแหวนของคังเทียนจี๋ ทุกครั้งที่เขาคิดถึงสิ่งของภายในแหวน หัวใจของเขาก็จะรู้สึกคล้ายถูกบีบรัด ทักษะตำรามากมาย เม็ดยามหาศาลที่จะสามารถสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองชิงเหอ ตอนนี้เขากลับไม่สามารถนำออกมาได้ มันทำให้เขารู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง
การเข้าร่วมกับสำนักอื่นนั้น ฉินเทียนไม่เคยคิดถึงมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เขาเก็บคำพูดของเฮยหยานเอาไว้ในใจ การฝึกเชิงยุทธ์ไม่มีคำว่าสิ้นสุด กระทั่งผู้ที่ไปถึงระดับสุดยอดแล้วก็ไม่นับเป็นอย่างไร มันยังคงมีเขตแดนที่เหนือล้ำขึ้นไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งสองต่างจมอยู่ในความเงียบ ไม่นานค่ำคืนนั้นก็เงียบสงบลง
ยามเช้าในวันถัดมา
การล่ารอบใหม่ได้เปิดฉากขึ้น เฮยหยานจะเลือกสัตว์ปีศาจที่ฉินเทียนไม่เคยพบมาก่อนเป็นเป้า มันจะกล่าวอธิบายไปพลาง สาธิตพลางชี้จุดอ่อนให้เห็น ก่อนจะลงมือสังหารในที่สุด ฉินเทียนล้วนจดจำจนขึ้นใจ
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนสัตว์ปีศาจที่พวกเขาสังหารก็มีไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัว แน่นอนว่าสัตว์ปีศาจทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเฮยหยาน
ในเดือนนั้น พวกเขาโชคดีอย่างมากที่ไม่พบเจอกับสัตว์ปีศาจระดับห้าที่มีแก่น
ในเดือนถัดมา เฮยหยานก็ไม่ได้ลงมือเองอีกต่อไป แต่ให้ฉินเทียนได้ลองมือด้วยตนเอง ขณะที่มันจะคอยชี้แนะอยู่ด้านข้าง
สัตว์ปีศาจทุกตัวที่อยู่ภายในเทือกเขาคุนหลุนล้วนเคยผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน พวกสัตว์ปีศาจระดับสี่ที่รอดมาได้ก็ต้องผ่านการต่อสู้อย่างน้อยหลายร้อยครั้ง ได้รับบาดเจ็บมานับครั้งไม่ถ้วน ในการสู้กับฉินเทียนที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากแล้ว ฉินเทียนก็เผชิญกับความยากลำบากหลังจากได้ปะทะเพียงไม่กี่ครั้ง
ในเช้าวันนั้น เขาได้สังหารสัตว์ปีศาจระดับสี่ไปหนึ่งตัว และได้รับบาดแผลมามากมาย โชคดีที่ไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก เม็ดยาที่มีอยู่ก็ไม่น้อย หลังจากกลืนเม็ดยาบางส่วนไป บาดแผลทั้งหมดก็ดีขึ้น
กระทั่งตอนที่ฉินเทียนตกเป็นรองสัตว์ปีศาจอยู่มาก เฮยหยานก็ไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลือแต่อย่างใด นี่เป็นสิ่งที่ฉินเทียนต้องสัมผัสด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่เขาต้องพบเจอเมื่อต้องอยู่ตามลำพัง มันจะเกิดขึ้นถี่กว่านี้ และเขาจำต้องเรียนรู้วิธีที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เกี่ยวกับความตั้งใจของเฮยหยาน ฉินเทียนย่อมต้องทราบดี
และด้วยเหตุนั้น แม้ว่าเขาจะเผชิญกับสถานกาณณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย เขาก็จะไม่ร้องขอความช่วยเหลือ
ในเดือนที่สอง เวลาที่ฉินเทียนใช้เวลาสังหารสัตว์ปีศาจก็ลดน้อยลงกว่าครึ่ง บาดแผลที่ได้รับก็ลดน้อยลงกว่าเก่า เห็นเช่นนั้นเฮยหยานก็ยินดีกับฉินเทียน
พัฒนาการของฉินเทียนในเวลาเพียงไม่กี่เดือนทำให้มันรู้สึกทึ่งอย่างมาก มันคิดว่านี่เป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของฉินเทียน มันเชื่อว่าสักวันหนึ่งฉินเทียนจะต้องกลายเป็นผู้นำที่ทรงพลังที่สามารถตัดผ่านไปยังขอบเขตอันเหลือเชื่อและกลายเป็นตัวตนที่สั่นสะเทือนไปทั้งทวีป
นอกจากการล่าสัตว์ปีศาจแล้ว ฉินเทียนก็ยังทำการรวบรวมหญ้าวิญญาณไปด้วย
การปรุงยาก็จำต้องฝึกฝนเช่นกัน แม้ว่าแก่นปีศาจจะสามารถเติมเต็มพลังปราณให้เขาได้ กระนั้นมันก็ยังมีวันหมด เขาจึงต้องการเก็บมันไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
เขาเคยมีประสบการในการเผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้าที่น่าหวาดหวั่นมาแล้ว และการจะได้รับแก่นของสัตว์ปีศาจตัวอื่นมา มันยากดุจเดียวกับการปีนป่ายขึ้นสวรรค์
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของหญ้าวิญญาณระดับต่ำภายในเทือกเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่เพียงพอเพิ่มระดับทักษะปรุงยา การปรุงยานั้นไม่มีทางลัด ดังนั้นเขาจึงได้แต่ฝึกฝนและเพิ่มความชำนาญไปทีละขั้น ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถปรุงเม็ดยาระดับที่สูงขึ้น สำหรับหญ้าวิญญาณระดับสูงนั้น ฉินเทียนจะเก็บพวกมันไว้ใช้ในอนาคตเพื่อสร้างเม็ดยาระดับสูง
เวลาไหลผ่านไปวันแล้ววันเล่า ฉินเทียนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เฮยหยานที่ก่อนหน้านี้ตีหน้าเคร่งขรึมก็มีรอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า
ครึ่งปีผ่านไป ฉินเทียนสามารถสังหารสัตว์ปีศาจระดับสี่ได้ราวกับปลอกกล้วยเข้าปาก ในหนึ่งวันมีสัตว์ปีศาจหลายร้อยตัวที่ตกตายด้วยน้ำมือของเขา โดยที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้อัตราความก้าวหน้าของเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นมาก ในเวลาเพียงครึ่งปี เขาได้มาถึงระดับที่เก้าของขั้นก่อตั้งวิญญาณแล้ว ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถตัดผ่านไปยังขั้นรวบรวมวิญญาณ
แต่หลายวันมานี้ ฉินเทียนก็ตระหนักได้ว่าค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับมันลดน้อยลงมาก เขาติดอยู่ระดับที่เก้ามามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และด้วยประสบการณ์ที่เขาสะสมเอาไว้ มันสมควรจะตัดผ่านในเร็ววัน
ทว่าจู่ๆค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับก็ลดน้อยลงโดยไม่อาจสาเหตุของมันได้
“อย่าบอกนะว่า เพียงสัตว์ปีศาจระดับสี่ยังไม่อาจทำให้หลอดค่าประสบการณ์พอใจ?”
“เวรเอ๊ย! เพ้ย เพ้ย…”
ฉินเทียนหงุดหงิดอย่างมาก เขาร้องเพ้ยอยู่หลายครั้งก่อนจะเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมา มองดูแถบค่าประสบการณ์ที่เต็มไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถึงกับงุนงงที่ไม่อาจเลื่อนระดับขึ้นได้ เกิดอะไรขึ้น? หรือระบบจงใจเพิ่มความยากในการเลื่อนขั้นงั้นหรือ?
แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น ปกติแล้วระบบก็ตรงไปตรงมาดี หรือระบบกำลังกลั่นแกล้งเขางั้นหรือ?
คงไม่ใช่…
หลังจากขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาก็ยังไม่อาจหาสาเหตุของความผิดปกตินี้
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่เพิ่มระดับที่หุบเขาหมาป่าแล้ว หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านก่อนจะสบถออกมาไม่หยุด “บัดซบ! อย่าบอกนะว่าจะข้าไปสังหารสัตว์ปีศาจระดับห้า?”
ในตอนที่เขาตัดผ่านมาขั้นก่อตั้งวิญญาณที่หุบเขาหมาป่า เขาก็พบเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ แต่เพราะพวกมันมีจำนวนมกามาย เขาจึงไม่ได้เอะใจและลงมือสังหารต่อไป ตอนนี้เมื่อคิดถึงมันแล้ว ตอนนั้นที่เขาตัดผ่านมาได้ก็เพราะสังหารจ่าฝูงหมาป่าเขี้ยวเขียวไป
และตอนนี้ เพื่อที่จะตัดผ่านไปยังขั้นรวบรวมวิญญาณแล้ว เขาจำต้องสังหารสัตว์ปีศาจระดับห้า มิเช่นนั้นเขาก็จะไม่อาจตัดผ่านไปขั้นรวบรวมวิญญาณได้
ฉินเทียนสมองว่างเปล่า ในใจของเขาก่นด่าสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของระบบไปเรียบร้อย ไฉนระบบจึงต้องสร้างปัญหาให้กับการตัดผ่านของเขา? การเพิ่มระดับเพียงแค่เก็บสะสมค่าประสบการณ์ก็พอแล้ว ตอนนี้เมื่อมาถึงจุดสำคัญ เขากลับต้องมาสังหารสัตว์ปีศาจที่มีระดับเหนือกว่าเขาขึ้นไปอีก “นี่ไม่ใช่เอาชีวิตไปทิ้งหรือ?”
หลังจากบ่นเป็นหมีกินผึ้งไปตอลดช่วงเช้า ระบบก็ยังคงไม่ตอบแต่อย่างใด
สุดท้ายเขาก็เข้าใจแล้วว่า ระบบก็เป็นเพียงโปรแกรมตัวหนึ่ง การที่จะตอบโต้ดั่งใจนึกนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“สัตว์ปีศาจระดับห้า…ระดับที่ห้า…”
เมื่อนึกถึงความน่ากลัวของกอลิล่าดุร้ายแล้ว เขาก็พลันสั่นสะท้าน “บัดซบเอ๊ย! บิดาผู้นี้จะลองสักตั้ง!”