จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 62 ราชาซากศพ
การต่อสู้ปะทุขึ้น
ฉินเทียนซ่อนตัวอยู่หลังซากปรักพังจับตาดูกลุ่มของหยางฮั่นอยู่ไม่ไกล มาวมาวหมอบลงข้างกายของเขา นัยน์ตาสีโลหิตกวาดมองโดยรอบอย่างตื่นตัว
ดูเหมือนว่ากลุ่มคนทั้งสองกลุ่มนี้จะมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน
ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะดูมีความแค้นต่อกันไม่น้อย เพียงสองสามท่าแรกก็ลงมืออย่างหนักหน่วงใส่กันแล้ว มองดูหยางฮั่นที่กำลังรุกไล่อีกฝ่าย ฉินเทียนก็คิดขึ้นในใจ ‘ขั้นกลั่นวิญญาณระดับห้า แข็งแกร่งไม่เบา เพียงการโจมตีสบายๆก็คล้ายจะโยกคลอนสวรรค์ได้แล้ว’
‘ดี สู้กันให้หนัก จะดีที่สุดหากสู้กันจนตายไปให้หมด’
ฉินเดทียนเฝ้ามองการต่อสู้โดยไม่คิดจะเผยตัวออกไป เขาหลบซ่อนอย่างมิดชิด จับตาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ไสหัวไปจากที่นี่เสีย มิเช่นนั้น….” หยางฮั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มิเช่นนั้น ก็อย่าได้ตำหนิข้าที่จะสังหารพวกเจ้าทีละคน….”
กล่าวจบ มันก็สะบัดพัดครั้งหนึ่ง เสื้อคลุมที่สวมพลันพลิ้วไหวจิตสังหารแผ่ซ่านอย่างเข้มข้น
เหล่าผู้ที่อยู่โดยรอบต่างสูดหายใจเข้าลึก
ศิษย์ของสำนักเทียนจี๋นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้สังหารศิษย์ร่วมสำนัก หากว่าเรื่องรู้ไปถึงหูหอคุมกฏแล้วล่ะก็ เช่นนั้นไม่ว่าผู้ลงมือจะมีศักดิ์ฐานะใดก็ยากจะรอดพ้นบทลงโทษไปได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหยางฮั่นจึงไม่กล้าสังหารคนเหล่านี้ทิ้งไปเมื่อมีโอกาสก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ภายในเทือกเขาคุนหลุนที่ชุกชุมไปด้วยสัตว์ปีศาจนั้นล้วนแล้วแต่มีอันตรายทุกหนแห่ง การที่จะมีคนตายบ้างก็นับเป็นเรื่องปกติ ทว่าตัวหยางฮั่นเองก็ไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะหนานกวนหยานจะหักหลังมันหรือไม่
มิเช่นนั้นมันคงโถมเข้าไปสังหารหลินหยานและคนอื่นๆไปแล้ว
หลินหยานเองก็ทราบกฏข้อนี้ของสำนัก จากท่าทีที่หยางฮั่นแสดงออกมาแล้ว มันก็ทราบว่าหยางฮั่นจะพูดจริงทำจริง ดังนั้นมันจึงเพิ่มความตื่นตัวขึ้นอีกส่วน
ไม่รอให้หลินหยานได้เอ่ยปาก ฉางเฟิงก็แค่นเสียง “เช่นนั้นจะรออะไรเล่า เข้ามาสิ! บิดาผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวเจ้า เป็นศิษย์สายในและมีกลุ่มฟ้าพิโรธหนุนหลังแล้วอย่างไร? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถใช้มือเดียวบังฟ้า”
“เข้ามาฆ่าพวกเราเลยสิ! ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนจะสามารถหลบรอดบทลงโทษจากหอคุมกฏได้”
ฟางขุยและเสวี่ยติงหานเริ่มรวบรวมพลังปราณเข้าสู่อาวุธคู่มือ หากว่าหยางฮั่นลงมือ พวกมันก็จะทุ่มความแข็งแกร่งทั้งหมดเข้าสู้ แม้ว่าจะต้องตาย พวกมันก็จะลากอีกฝ่ายไปด้วยให้จงได้
ทั้งสองเหลือบมองคนอื่นๆ ทันใดนั้นพวกมันก็พบว่ายี่เชียนหานนั้นหายตัวไปแล้ว
แกรกกๆ
ครืนนนนนน
ทันใดนั้นพื้นดินพลันสั่นไหว มีหมอกโลหิตลอยฟุ้งขึ้นมาจากรอยแยก กลิ่นซากศพลอยตามมาจนฉุนจมูก ไม่นานที่พื้นดินก็เกิดการยุบตัว ดูเหมือนที่ใต้ดินนั้นกำลังมีพลังขุมหนึ่งปะทุขึ้นมา ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะหลุดออกจากแหล่งจองจำ
“ไม่ดีแล้ว”
“ผู้ใดแตะต้องค่ายกล?” หยางฮั่นคำราม จากนั้นพลันถอยหนีออกไปราวสิบก้าว มันสูดหายใจเข้าลึกพลางจ้องมองไปที่รอยแตกบนพื้น
“เชียนหาน เชียนหาน…”
หลินหยานตะโกนอย่างวิตก มันสัมผัสได้ว่าพลังของค่ายกลกำลังอ่อนแอลง ราชาซากศพที่ถูกกักขังเอาไว้อาจปรากฏตัวขึ้นได้ทุกเวลา เมื่อไม่เห็นยีเชียนหานอยู่ที่นี่ ในฐานะผู้นำกลุ่มแล้ว มันก็อดจะวิตกกังวลไม่ได้
แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นภายในค่ายกลพร้อมกับทัศนียภาพที่กระจ่างชัดตา เงาร่างที่ปรากฏขึ้นกำลังจ้องมองฉินเทียนที่หลบซ่อนอยู่ ในแววตาของมันเต็มไปด้วยความต้องการฆ่า
เมื่อครู่ ตอนที่ยี่เชียนหานต้องการจะทำลายค่ายกลเพื่อปลดปล่อยราชาซากศพโดยไม่สะกิดความสนใจของผู้คนนั้น นางไม่คาดคิดว่าจะปรากฏรากไม้ขึ้นเกี่ยวรัดขาของนางเอาไว้ จนทำให้นางขยับไม่ได้ หมอกโลหิตที่ลอยวนเวียนอยู่รอบขานางอีกชั้นก็ทำให้นางแสดงความหวาดวิตกออกทางสีหน้า
“หมอกเหล่านี้ดูแปลกมาก”
ฉินเทียนก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวังพลางมองดูยี่เชียนหานที่ดิ้นรนสุดกำลัง “นี่ดูเหมือนจะเป็นพลังของปีศาจที่อยู่ข้างใต้ ต้องระวังแล้ว”
ร่างกายของมาวมาวสั่นเทิ้มขณะที่มันหลบอยู่ด้านหลังฉินเทียน สายตาของมันมองไปทางค่ายกลอย่างหวาดกลัว
“ช่วย…ช่วยข้าด้วย…”
ใบหน้าของยี่เชียนหานซีดเผือด นางรู้สึกได้ว่าโลหิตภายในร่างของนางกำลังหลั่งไหลไปที่ขาของนาง บริเวณเท้าของนางรู้สึกถึงการระเบิดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นความเจ็บที่ยากจะบรรยาย เมื่อมองเห็นฉินเทียน นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสละวางความถือดีเพื่อขอความช่วยเหลือ
หมอกโลหิตยังคงขยายตัวออกไป ในตอนนี้หมอกได้กลืนบริเวณซากโบราณสถานไปจนหมดสิ้นแล้ว การจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในหมอกนัั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากกลิ่นอายที่ทวีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆแล้ว ความอาฆาตมาดร้ายจากภายในหมอกเองก็ทวีความน่ากลัวขึ้นเช่นกัน
“ช่วยหรือไม่ช่วยดีนะ?”
ด้วยการใช้กลิ่นอายนักล่า ฉินเทียนสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกระแสเลือดของยี่เชียนหาน เขาสามารถสรุปได้ว่าตอนนี้ข้อเท้าของยี่เชียนหานกำลังถูกสูบโลหิตโดยสัตว์ปีศาจที่น่ากลัว
“รู้จักก็ไม่รู้จัก ใยจึงต้องช่วย?”
ขณะที่ฉินเทียนกำลังจะจากไปนั้น มาวมาวก็งับที่ขากางเกงก่อนจะเห่าเบาๆ ฉินเทียนย่อมเข้าใจความต้องการของมัน
มันต้องการให้เขาช่วยเหลือหญิงสาวนางนี้
“ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แต่เจ้ายังต้องการให้ข้าไปช่วยนางอีกหรือ? หากว่าเจ้าสามารถ เช่นนั้นก็ไปช่ว…”
กลิ่นอายนักล่าของเขาไม่อาจสัมผัสถึงสัตว์ปีศาจใต้ดินนัั้นได้อีก นี่แสดงให้เห็นว่าสัตว์ปีศาจตนนั้นมีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถต่อต้านการตรวจสอบตัวตนได้ ผุ้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณระดับสี่เช่นเขายังจะสามารถช่วยนางได้อีกหรือ?
ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
มาวมาวจ้องฉินเทียนอย่างดุดันอยู่อึดใจ ก่อนที่มันจะวิ่งออกไป….
ก่อนหน้ายังหวาดกลัวจนหลุบหาง มาตอนนี้กลับกลายเป็นกล้าหาญเสียอย่างนั้น นี่คงเพราะหลงเสน่ห์ความงามของหญิงสาวเบื้องหน้า กลับกระทำตัวเป็นอัศวินพิทักษ์บุปผา หรือไม่ก็อาจเพราะความสงสาร? ฉินเทียนรู้สึกงุนงง
“เจ้าบ้าเอ๊ย! สัตว์ปีศาจกระจอกอย่างเจ้ากลับมาแสดงความสงสารในเวลานี้เนี่ยนะ?”
“บัดซบ สักวันหนึ่งเจ้าคงนำหายนะมาให้ข้าจริงๆ”
ฉินเทียนกัดฟันกรอดพลางสืบเท้าออกไป ด้วยกลิ่นอายนักล่า เขาก็สามารถมาถึงข้างกายยี่เชียนหานได้อย่างง่ายดาย เมื่อมาถึงมาวมาวก็กระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอย่างขลาดเขลาอีกครั้ง ฉินเทียนจึงสบถด่าบรรพบุรุษของมันอยู่ในใจ
ความกล้าหาญกลับเป็นความกล้าจอมปลอม
ฉินเทียนเรียกใช้ทักษะมังกรฟ้า แว่วเสียงมังกรดังขึ้นอยู่ภายใน การปรากฏขึ้นของคชสารบรรพกาลได้สะกดข่มสัตว์ปีศาจที่น่ากลัวนั้นเอาไว้ ควบคู่ไปกับเสียงมังกรคำรามและเสียงย่ำเท้าของคชสาร หมอกโลหิตที่อยู่รอบข้างเริ่มถูกดันออกไป
ฉินเทียนโคจรพลังปราณไปที่ฝ่ามือทั้งสอง เขาใช้พลังของมังกรและคชสารยื่นฝ่ามือไปที่เท้าของยี่เชียนหาน พลังของสองสัตวืบรรพกาลได้ชำแรกไปที่รากที่รัดแน่นนั้น หมอกโลหิตที่เข้ามาวนเวียนอยู่รอบเท้าของยี่เชียนหานเองก็สลายหายไป ฉินเทียนไม่รอช้า เขาอุ้มยี่เชียนหานขึ้นก่อนจะเร่งหลบหนีออกจากที่นี่อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เปรี๊ยะ…”
เมื่อฉินเทียนยื่นมือช่วยยี่เชียนหานจากรากน่ากลัวนั้น มันก็เป็นการทำลายดวงตาของค่ายกล ค่ายกลที่แสดงผลพลันสลายไป ราชาซากศพที่ถูกจองจำอยู่ใต้พื้นดินก็โผล่ขึ้นมา
เสียงครางต่ำดังขึ้น และหมอกโลหิตที่ปกคลุมโบราณสถานก็ถูกสูบเข้าหาราชาซากศพอย่างรวดเร็ว
ร่างของราชาซากศพสว่างวูบด้วยแสงสีดำและแดง จากนั้นร่างกายของมันจึงระเบิดพลังอันเปี่ยมล้นออกมา
เมื่อฉินเทียนหนีไปได้ราวร้อยกว่าเมตร เขาก็หันกลับมามองก่อนจะสบถออกมา “มารดามันเถอะ! อย่างที่คิดเอาไว้เลย มันเป็นบอส!”