จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 76 หนึ่งตาย หนึ่งรอด
จิตสังหารทั้งสองขั้วพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง เปลี่ยนบรรยากาศทั่วบริเวณเป็นอึดอัด
ฉินเซี่ยงเทียนสืบเท้าออกด้วยใบหน้าหน้าโหดเหี้ยม ในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง ความเจ็บปวดจากการถูกสังหารบุตรชายได้วนเวียนกลับมากระแทกจิตใจอีกครั้ง ความโกรธในกายพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ค้อนไฟขยายใหญ่ขึ้นตามโทสะผู้เป็นนาย
พลังของผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณแข็งแกร่งยิ่ง
กลิ่นอายที่ฉินเซี่ยงเทียนปลดปล่อยออกมามีขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏ
เขาเกลียดชังฉินเทียนเข้ากระดูกดำ บุตรชายทั้งสองล้วนตกตายด้วยน้ำมือฉินเทียน ในเวลานี้เขาเพียงแค้นตัวเองที่ไม่อาจดื่มเลือดเฉือนกระดูกของฉินเทียนเพื่อระบายแค้น
เลือดย่อมต้องล้างด้วยเลือด!
สำหรับความโกรธแค้นที่ฉินเทียนมีต่อฉินเซี่ยงเทียน มันยังมากกว่าหลายพันหลายหมื่นเท่า แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฉินเทียนที่เป็นเจ้าของร่างคนเก่า แต่ความทรงจำที่ถูกข่มเหงรังแก เยาะเย้ยดูถูกยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจมาตลอดห้าปี ความทรงจำส่วนนี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเขา
เงาร่างของเมิ่งเล่ยยังคงปรากฏอยู่ในจิต ความเกลียดชังที่เขามีต่อฉินเซี่ยงมีเพียงความตายของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ชำระได้
ตอนนี้ฉินเทียนเพียงต้องการบดขยี้ฉินเซี่ยงเทียนในกระบวนท่าเดียว
ความเกลียดชังที่มีต่อฉินเซี่ยงเทียนกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว!
ฉินเทียนทะยานขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะพุ่งตัวออกเป็นเงาสายหนึ่งมุ่งไปทางลานฝึกฝีมือ….
“ต้องการหนี?”
“เอาไว้ชาติหน้าเถอะ!”
ฉินเซี่ยงเทียนแค่นเสียงก่อนจะเหยียบย่างขึ้นไปบนอากาศและหายลับไป ลมหอบหนึ่งพัดวูบไปทางลานฝึกฝีมือ
“ลานฝึกฝีมือ?”
“หรือพวกเขากำลังไปที่เวทีประลองเป็นตาย?”
“ไปดูกันเถอะ”
เวทีประลองเป็นตาย ความหมายเป็นดังชื่อ ตอนเข้าเข้าไปสอง ตอนออกออกเพียงหนึ่ง นี่ก็คือกฏของมัน
นี่เป็นวิธีเดียวที่ศิษย์ภายในตระกูลใช้สะสางบุญคุณความแค้น
เวทีประลองเป็นตายตั้งอยู่ใจกลางลานฝึกฝีมือ ขณะที่ศิษย์บางส่วนกำลังฝึกฝนกันอย่างหนัก พวกเขาก็เห็นเงาสองสายพุ่งผ่านไป ใบหน้าของศิษย์เหล่านั้นผุดเหงื่อเย็น พวกเขาหยุดการฝึกซ้อมก่อนจะรีบมุ่งไปยังเวทีประลองเป็นตาย
“เวทีประลองเป็นตาย? เหอะ” ฉินเซี่ยงเทียนแค่นเสียง “ในเมื่อเจ้าอยากตายที่นี่ บิดาก็จะสนองให้!”
ที่ฉินเทียนเลือกที่นี่ก็เพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นนินทาลับหลังว่าเขาต่อต้านผู้อาวุโส บนเวทีประลองเป็นตายแห่งนี้ จะรอดหรือตกตายขึ้นอยู่กับโชคชะตา เพื่อที่จะฆ่าฉินเซี่ยงเทียนแล้ว ฉินเทียนได้ใช้เวลาไม่กี่วินาทีวางแผนล่วงหน้าให้คุ้มค่าที่สุด
ตระกูลฉินจะต้องถูกปฏิรูป
เป็นการปฏิรูปผ่านการนองเลือด
“เจ้าเฒ่าบัดซบ เจ้าต้องการให้ข้าตายมาตลอด วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า แต่ยังไงก็เถอะ…..” ฉินเทียนแค่นเสียง “สามปีก่อนเจ้าอาจสังหารข้าได้ในกระบวนเดียว แต่น่าเสียดายนะที่ประมุขควบคุมเจ้าไว้ ทำให้เจ้าไม่อาจลงมือ วันนี้ ที่เวทีประลองเป็นตายนี้ ต่อให้ประมุขอยู่ที่นี่ข้าจะบดขยี้เจ้า!….”
“ในสายตาข้าเจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากคนตาย”
“เดิมทีข้าคิดให้เจ้ามีชีวิตต่อไปอีกสักสองสามวัน แต่เจ้าได้กระทำเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ เจ้าไม่ควรทำให้เมิ่งเล่ยตกหน้าผา!”
“เมื่อปีนั้น ข้าสังหารฉินคุนเอง มันสมควรตายแล้ว”
“ทั้งข้ายังได้ทำข้อตกลงกับมันไว้….”
“ข้าบอกไว้ว่าอีกไม่นาน เจ้าจะตามมันไป เมื่อเจ้าตกตาย มันก็ไม่ต้องเหงาแล้ว”
ทุกประโยคที่กล่าวจากปากของฉินเทียนคล้ายกับสายฟ้าผ่าลงมา จิตสังหารของฉินเทียนพุ่งสูงภายใต้เมฆดำครึ้ม ยามนี้กลิ่นอายของเขาบรรลุถึงขั้นน่าพรั่นพรึง อุณหภูมิภายในลานฝึฝีมือเริ่มลดลงจนหนาวเหน็บ
ได้ยินคำพูดของฉินเทียน ดวงตาของฉินเซี่ยงเทียนก็เบิกโพรงด้วยความโกรธ เขาสะบัดค้อนที่อยู่ในมือขณะตะโกนก้อง “ค้อนพิฆาตครองฟ้า!”
ในอากาศพลันปรากฏเงาค้อนขึ้นนับไม่ถ้วนจนราวกับท้องฟ้าแถบนั้นมีเปลวเพลิงลุกโชน หิมะที่อยู่ภายในลานฝึกฝีมือหลอมละลายกลายเป็นไอ เมื่อความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง เหล่าศิษย์ที่มีระดับฝึกปรือต่ำก็วิ่งเตลิดหนีราวกับหนู บ้างก็ล้มหมดสติทั้งยืน พวกเขาแบกรับแรงดันขุมนี้ไม่ไหว
“ทนไม่ได้แล้วหรือ?”
“ฮ่าๆ……”
ฉินเทียนเงยหน้าหัวเราะ ภายใต้การหนุนเสริมของเคล็ดมังกรพิสุทธิ์ พลังไร้ลักษณ์ก็ถูกปลดปล่อยออกมาโดยสมบูรณ์ เกราะปีศาจโลหิตสงครามปรากฏขึ้นคลุมร่าง
โฮก……..
เสียงกู่ร้องของมังกรดังทะลวงผ่านสวรรค์ทั้งเก้า พลังปราณพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง ถัดจากนั้นคือเสียงย่ำปฐพีของแสนคชสาร ฉินเทียนเวลานี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาหันไปมองเงาค้อนที่ลอยเกลื่อนฟ้าก่อนจะตะโกน “ทำลาย!”
เมื่อคำ ‘ทำลาย’ กล่าวออก ร่างของฉินเทียนก็เย็นเฉียบราวน้ำแข็ง พลังปราณของเขาประหนึ่งผุดขึ้นมาจากขุมนรก เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ครืน…………..
พลังสองขุมพุ่งเข้าปะทะกัน เกิดเป็นการระเบิดครั้งใหญ่
ตูม…………….
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง นี่ก็คือการต่อสู้กันของผู้บ่มเพาะที่มีพลังปราณแข็งแกร่ง
ความเร็วและอานุภาพของค้อนเพลิงยังมั่นคงไม่เสื่อมโทรม ฉินเทียนกำกระบี่กระดูกทั้งสองเล่มแนบแน่นพลางเพิ่มความเร็วก่อนจะโจมตีออก
เคร้ง เคร้ง…….
ชี่ ชี่ ชี่……
แกร๊ก……..
ฝุ่นควันปลิวตลบอบอวลเวที เวทีประลองที่หนักหลายหมื่นจินพลันแตกแยกออก
“ขั้นกลั่นวิญญาณเหนือกว่าขั้นรวบรวมวิญญาณมากจริงๆ….” ฉินเทียนรู้สึกหนักอึ้งในใจ ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาไม่ได้ผ่อนการป้องกันแม้แต่น้อย คู่ต่อสู้ของเขาคือู่บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณ ในขณะที่ตัวเขาเพียงอยู่ในระดับแปดขั้นรวมรวมวิญญาณเท่านั้น
ระหว่างขั้นรวบรวมวิญญาณและกลั่นวิญญาณนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่
หลังจากใช้ออกไปหนึ่งท่า เลือดลมในกายของฉินเทียนก็ปั่นป่วน และพลังปราณของเขาก็แตกกระจาย ความกดดันพลันเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตามทางฝั่งของฉินเซี่ยงเทียนกลับเผยใบหน้าที่เหนือคาด การโจมตีเมื่อครู่ ฉินเซี่ยงเทียนได้ทุ่มออกสุดกำลัง กระนั้นฉินเทียนกลับสามารถต้านทานรับไว้ ฉินเซี่ยงเทียนลอบคิดขึ้นในใจ ‘มันไปพบกับวาสนาเช่นใดมากันแน่ เป็นเพียงระดับแปดขั้นรวบรวมวิญญาณ ไฉนกลับต้านรับขั้นกลั่นวิญญาณที่ลงมือเต็มกำลังได้?’
‘ปล่อยมันไว้ไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ฆ่ามันในวันนี้ ภายหน้าต้องกลายเป็นเภทภัยไม่รู้จบ’
ฉินเซี่ยงเทียนทนต่อความเจ็บปวดที่ทรวงอกขณะคำราม “ค้อนพิฆาตครองฟ้า!”
ฉินเทียนแค่นเสียง “เพียงขั้นกลั่นวิญญาณผู้หนึ่ง….”
“ก็ได้แค่นี้ล่ะนะ……..”
“บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่ง!”
วิ๊ง
ภายในร่างกายของเขา คลื่นสีขาวพลันไหลกระจายไปทุกทิศทาง เวทีประลองเป็นตายที่ไม่อาจแบกรับต่อไปได้อีกพลันพังครืนลง
ทักษะศักดิ์สิทธิ์ บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่ง เพิ่มทุกค่าสถานะขึ้นสี่เท่า
ฉินเทียนเวลานี้เสมือนเทพมัจจุราชที่ปีนป่ายขึ้นมาจากขุมนรก เคียวในมือกำลังจะตวัดออกเพื่อพรากชีวิตผู้อื่น……