ตอนที่ 146 ข้าต่างจากเจ้า
เมื่อฮว่าเหยียนได้ฟังเช่นนี้ก็ยืนขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“หลานสาวเจ้าสี่วง แล้วจะอย่างไร ลูกสาวข้าได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากผู้บวงสรวง เวลานี้ก็มีพลังทิพย์สี่วงแล้ว โลกนี้ไม่ใช่มีแต่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด การเสริมหลังจากเกิดก็ไม่ได้ด้อยอะไร…หลานสาวเจ้าเป็นชายาเผ่าอินทรีก็ดีมากแล้ว อย่าโลภเกินไปนัก นางกับท่านไม่ได้มีวาสนาเช่นนั้น”
คำพูดฮว่าเหยียนเกือบทำให้จีหมิงเป็นลม ส่วนคนอื่นต่างแปลกใจกับเรื่องพรศักดิ์สิทธิ์
“บังอาจถามหมอผีฮว่าเหยียน เป็นผู้บวงสรวงท่านใดของเผ่าพีส่า”
ฮว่าเหยียนยิ้ม
“จะเป็นใครไปอย่างนั้นหรือ ลูกสาวข้าอายุสิบสี่ ย่อมเป็นผู้ที่เยาว์วัยที่สุด”
คำพูดฮว่าเหยียนเหมือนฟ้าผ่าลงกลางวันแสกๆ ทำให้ทุกคนตกตะลึง เถิงเสวี่ยมีสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อถังเฉียนมองดูผู้คนรอบๆ สายตาที่มองดูตนดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิมแล้ว
“นางมีอะไรพิเศษหรือ ท่าทางก็ดูธรรมดา เหตุใดจึงเข้าตาของคุณชายเถิงเฟิงเล่า”
“ใครจะรู้ นางอาจรู้จักวิชายั่วยวน น่าเสียดายจริงๆ”
“อย่างนางน่ะหรือ”
เสียงพูดทำนองนี้ดังก้องไปทั่วห้อง แต่ทุกคนยังคงรอให้เถิงเสวี่ยยืนยัน ไม่มีการเอะอะโวยวายใดๆ แต่คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ก็เข้าหูถังเฉียน นางมองฮว่าเหยียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“การประชุมที่ไร้สาระเช่นนี้ ปล่อยให้คนพวกนี้ค่อยๆ ประชุมไปเถอะ ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เราสกุลฮว่ายังมีหมอผีบุปผาดำห้าดอกอีกเจ็ดคนรอให้ท่านเรียกใช้ หากคนพวกนี้ไม่ยินดีจะเข้าร่วม พวกเรายินดีรับงานทั้งหมด ฮว่าเหยียนขอกลับไปที่ห้องก่อน ข้าจะรอข่าวจากท่าน”
เมื่อเถิงเสวี่ยฟังที่ฮว่าเหยียนพูด ในที่สุดก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วเพียงผงกศีรษะเล็กน้อยให้ ฮว่าเหยียน มองส่งนางจากไป ฮว่าเหยียนเดินไปสองก้าว แล้วหยุดมองถังเฉียนพลางพูดว่า
“ลูกแม่ ยังไม่ไปอีกหรือ แม่ไม่อยู่ เจ้าไม่กลัวถูกยายแก่พวกนี้รุมทึ้งหรือ แม่จะกลับไปต้มยาให้เจ้ากิน ยังไม่ได้กินใช่หรือไม่”
ถังเฉียนฟังที่นางพูด ก้มหน้ามองไปที่ฮว่าเหยียนว่าหมายความว่าอย่างไร ที่จริงการที่นางยืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อหาประสบการณ์ แต่เมื่อพูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ขืนอยู่ต่อนางก็จะตกเป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ เถิงเสวี่ยพยักหน้าให้นาง ถังเฉียนจึงตามฮว่าเหยียนไปทันที
ถังเฉียนกับฮว่าเหยียนจึงเดินตามกันไปในสภาพเช่นนี้ เมื่อเดินมาถึงมุมของสวนดอกไม้ จู่ๆ ฮว่าเหยียนก็หยุด ใช้ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือเคาะศีรษะนางแล้วพูดว่า
“เจ้าอ่อนแอเยี่ยงนี้ วันหลังหากไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถูกคนรังแกตายหรือ เวลานี้ต่อหน้าคนพวกนั้นหากเจ้าไม่อวดอำนาจออกมา วันนี้พวกเขาข่มเหงเจ้าได้ครั้งหนึ่ง วันหน้าใครจะยอมนับถือเจ้า ถ้าเจ้าต้องการให้พวกนั้นทำสิ่งใด คงต้องอ้อนวอน เจ้าต้องแสดงอำนาจเยี่ยงนายหญิงออกมา”
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งฮว่าเหยียนจะพูดเช่นนี้กับนาง ราวกับว่าได้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนจะต่างออกไปตั้งแต่ที่รู้ว่านางได้รับพรศักดิ์สิทธิ์
“ข้าต่างจากเจ้า”
ถังเฉียนยังคงเชิดมุมปากขึ้น ไม่ยอมยืนอยู่กับนาง แต่ฮว่าเหยียนไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ แล้วพูดเปิดโปงการแสแสร้งของนางอย่างรุนแรง
“เมื่อครู่ตอนที่เจ้าแอบยิ้ม ข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าแตกต่างจากข้าตรงไหน ล้วนอยากสั่งสอนยายแก่พวกนั้นที่ต่อรองเอาประโยชน์ใส่ตัว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถอยหลัง บังอาจต่อรองผลประโยชน์ซึ่งหน้า ทำให้หมอผีอย่างข้าต้องเสียเวลาเถียงกับคนพวกนั้น”
ถังเฉียนฟังที่ฮว่าเหยียนพูด สีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจก็เห็นพ้องด้วย เป็นอย่างนั้นจริงและที่นางพูดก็ช่วยระบายความอึดอัดใจได้
ฮว่าเหยียนวางมือข้างหนึ่งบนแขนถังเฉียน ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“แม้เจ้าจะไม่ยอมรับข้า แต่ข้าถือเจ้าเป็นลูกจริงๆ อย่าคอยแต่ทำตัวเซ่อซ่าให้คนอื่นมารังแก หากเรื่องแพร่ออกไปจะทำให้หมอผีสมุนไพรอย่างเราขายหน้า เจ้าจะไม่ทำเพื่อหมอผีสมุนไพรอย่างเราบ้างหรือ เป็นผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้พวกนั้นไม่กล้าดูถูกหมอผีสมุนไพรอีกต่อไป”
ตอนที่ 147 ต้องมีสติตลอดเวลา
ถังเฉียนยังคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใด จู่ๆฮว่าเหยียนถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ น้ำเสียงที่พูดกับนางก็พลอยอ่อนโยนไปด้วย แม้นางจะไม่สามารถให้อภัยฮว่าเหยียนได้ แต่สุดท้ายจีหมิงกับหมอผีศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็ตกลงยอมร่วมมือ เงื่อนเหล่านั้นจึงเป็นโมฆะ
ถังเฉียนไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดพวกนางต้องก่อเรื่องขึ้นในเวลาเช่นนี้ ในที่สุดพิธีอัญเชิญเทพจะเริ่มขึ้นในยามไฮ่สือ[1] คืนนี้ บนเขามีไฟสว่างไสว ถังเฉียนและถงถงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างหลังเถิงเสวี่ย วันนี้พวกนางสวมชุดที่ต่างไปจากเดิม เป็นชุดพิธีที่เตรียมสำหรับพิธีบวงสรวงโดยเฉพาะ
หน้าที่ของถังเฉียนคือการอยู่กับเครื่องสังเวย หนึ่งคือฉู่จิ่งเหยา อีกหนึ่งคือต้าฝู ขณะนี้ขบวนพิธีค่อยๆ กระจายออก ขณะนี้ที่ตีนเขามีทหารองครักษ์แห่งจวนจินซิวอ๋อง แน่นอนว่ารวมทั้งยอดฝีมือจากเผ่าหมอผี เผ่าพีส่าและเผ่าอินทรีเงินรักษาการณ์อยู่
“ต้าฝูจ๋า คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายของพวกเราแล้ว อย่าเสียใจนักล่ะ หลังจากนี้เจ้าคงจำข้าไม่ได้แล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากเจ้ายังเกิดใหม่เป็นงูมังกรต้องจำไว้นะ มาเล่นกับข้าอีก เจ้าดื่มเลือดข้าไปมากขนาดนั้น ข้าไม่จับเจ้าตุ๋นก็ถือว่าเมตตามากแล้ว”
ถังเฉียนกับฉู่จิ่งเหยานั่งบนจานกลมข้างหลังแท่นพิธี อาจารย์สั่งว่าคืนนี้ทั้งสองคนต้องอยู่ในห้องเล็กที่ทั้งมืดและแคบนี้ จะออกไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
“อาหรูน่า เจ้าทำเช่นนี้จะทำให้มันตกใจกลัว ที่นี่มีแค่คนสองคนกับงูหนึ่งตัว ถ้าเจ้าทำให้มันตกใจกลัว เราสองคนคงอยู่ไม่สงบแน่”
นางอยากออกไปดูว่าอาจารย์กับพวกทำอะไรอยู่ แต่นางไปไหนไม่ได้ เพราะนางเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสังเวย
“ท่านอ๋อง ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าข้างนอกกำลังทำสิ่งใดอยู่”
พอนางถามจบ ฉู่จิ่งเหยาก็ย้ายเทียนไขที่อยู่ข้างหน้าไปไว้ข้างหลัง มองดูนางด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพูดว่า
“น้อยมากที่จะมีโอกาสเช่นนี้ นอนไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ทำได้เพียงพูดคุยกับคนข้างๆ เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือไม่”
ถังเฉียนฟังที่เขาพูดแล้วมองดูซ้ายขวา ค่ำคืนที่ยาวนาน มีกันเพียงสองคนกับงูหนึ่งตัว ความรู้สึกเช่นนี้และโอกาสแบบนี้คงหายาก ถังเฉียนครุ่นคิด แล้วมองดู คำพูดมากมายมาถึงปากแต่กลับกลืนลงไป
“หากมีสุราสักกาก็ดีหรอก บางทีข้าอาจใจกล้าขึ้นบ้าง แล้วพูดทั้งที่ควรพูดและที่ไม่ควรพูดออกมาให้หมด น่าเสียดายที่ไม่มีสุรา เพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้ความลับยังคงเป็นความลับต่อไปเถอะ ข้าเองไม่มั่นใจว่าพูดออกไปแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร”
ฉู่จิ่งเหยาชูแขนขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายตนแข็งเกร็ง เขาพยายามเหยียดตัว จึงฝืนนั่งขึ้นมาได้
“ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไป”
ฉู่จิ่งเหยารู้สึกเหมือนร่างตนเองถูกดูดจนว่างเปล่า จากนั้นก็ล้มลงนอนบนพื้น ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานราวกับกลับไปสู่สนามรบ ฆ่าฟันและหลั่งเลือด โดยเฉพาะความรู้สึกที่ถูกแทงทะลุทรวงอก ราวกับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง ถังเฉียนรีบถอดหน้ากากตัวเองออกแล้วร้องเรียกฉู่จิ่งเหยา
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ฟื้นสิ อาจารย์บอกว่า ท่านคือเทพสงครามย่อมเอาชนะตัวเองได้ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”
ถังเฉียนร้อนใจมากเมื่อเห็นฉู่จิ่งเหยาล้มลงบนพื้น อาจารย์เคยบอกว่าพิธีบวงสรวงครั้งนี้ฉู่จิ่งเหยาจึงจะเป็นตัวหลัก พวกเขาเพียงชักนำพลังเทพ ให้ลงมาบนร่างเทพมังกรและฉู่จิ่งเหยา ส่วนเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากผลร้ายที่เกิดจากคาถา สงครามและการฆ่าฟันจะปรากฏตรงหน้าเขา ที่ถังเฉียนต้องทำคือช่วยให้เขามีสติตลอดเวลา
——
[1] ยามไฮ่สือ ช่วงเวลาระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม