ตอนที่ 162 มีผีจริงๆ
ที่แท้หลังจากที่ซูซินเหลียนเป็นบ้า ฉู่จิ่งเหยาได้ให้หมอมาตรวจอาการนางหลายครั้งแล้ว แต่ทุกคนก็พูดกันไปแทบทุกอย่าง บางคนบอกว่าซูซินเหลียนแกล้งป่วย บางคนบอกว่าถูกผีสิง เดิมทีนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่สองสามวันนี้นางอาละวาดอีกแล้ว บอกว่าในห้องมีผีสาวตัวหนึ่ง คอยร้องไห้อยู่ข้างหูนาง
ถังเฉียนได้ยินเรื่องที่เหลวไหลเช่นนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ หรือนางคิดว่าเสียงร้องไห้ของถังเวยเป็นเสียงผีร้องไห้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างที่นางคิดหรือไม่ ถังเฉียนก็ถูกเชิญให้ไปตรวจรักษาอาการป่วยของซูซินเหลียนอีกครั้ง เสี่ยวจินพักผ่อนอยู่ในกล่องหยกหิมะ ครั้งนี้ซูซินเหลียนไม่ได้สร้างความลำบากให้ถังเฉียน ดูเหมือนนางจะป่วยจริงๆ ใบหน้าขาวซีด ร่างกายผอมโซ ท่าทางเหมือนป่วยหนัก
ถังเฉียนแปลกใจมาก เหตุใดคนที่มาขอให้นางช่วยกลับเป็นเจิ้งจยาเฉิง ไม่ใช่จื่อเย่ว์ เรื่องในเรือนในนั้นจื่อเย่ว์คอยจัดการตลอดมาไม่ใช่หรือ
เจิ้งจยาเฉิงไม่ได้อธิบายสิ่งใด เมื่อพาคนมาส่งแล้วก็ผละไป
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้าบอกพวกเขาว่าในห้องนี้มีผี แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ข้าไม่อยากพักที่นี่แล้ว ให้ข้าไปอาศัยอยู่กับเจ้าได้หรือไม่”
ถังเฉียนฟังที่นางพูดแล้วมองดูถังเวยซึ่งอยู่ข้างๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“คืนนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าคืนหนึ่ง ดูว่ามีผีจริงอย่างที่ว่าหรือไม่ เจ้าไม่ต้องกลัว หากมีผีจริง ข้าจะช่วยเจ้าจับผีเอง”
ถังเฉียนพูดจบ ก็กวักมือเรียกถังเวย แล้วบอกว่า
“คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
เดิมถังเวยเห็นถังเฉียนมาที่นี่ก็คอยหลบอยู่ห่างๆ พอเห็นนางกวักมือเรียกก็วิ่งหนีหายไป ถังเฉียนจนปัญญา ได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นก็พูดคุยกับซูซินเหลียน แล้วบอกอาห่าวให้ไปเอาหนังสือมาให้ นางจึงนั่งอ่านหนังสือที่นี่ รอการมาถึงของค่ำคืนอย่างเงียบๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือต้นหลิ่ว แสงเทียนวูบไหวไปมา ถังเฉียนรู้สึกปวดตาเล็กน้อย จึงปิดหนังสือลง แล้วมองดูซูซินเหลียนที่นั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว ถังเฉียนจึงลุกขึ้น เดินมาใกล้ๆ นาง หมายจะพูดปลอบนาง แต่ชั่วพริบตานั่นเองแสงเทียนเล่มสุดท้ายก็ถูกลมพัดดับลง อ่างน้ำเล็กๆ หน้าห้องรองรับ แสงพระจันทร์สาดส่องสะท้อนเข้ามาในห้อง แสงนวลเย็นตา
“เจ้าดูสิ นางมาแล้ว นางมาแล้ว อย่าฆ่าข้านะ”
ถังเฉียนมองดูรอบๆ เมื่อครู่มีลมพัดมาจริง น่าแปลก นางยื่นมือไปล้วงแท่งเชื้อไฟ เป่าเบาๆ ให้ไฟติด แล้วจุดเทียนใหม่ ใช้ผ่ามือป้องเปลวเทียนไว้ แล้วค่อยๆ เดิมมาหาซูซินเหลียน
“ไม่ต้องกลัว ก็แค่ลมพัดเทียนดับ ข้าจุดใหม่ให้แล้ว”
ถังเฉียนตั้งเทียนไขไว้ระหว่างนางกับซูซินเหลียน นั่งลงในห้องกับนาง ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ถังเฉียนยื่นมือไปแตะนางพลางพูดปลอบ
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก”
ซูซินเหลียนเห็นท่าทางสงบนิ่งของถังเฉียนก็ถอนหายใจยาว แล้วเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น มีรอยยิ้มที่มุมปากถังเฉียน นางถอดหน้ากากออก แต่ยังมีผ้าแพรคลุมใบหน้า นางไม่อยากเผชิญหน้ากับถังเวยตรงๆ เวลานี้ทำเช่นนี้ก็คงไม่ทำให้นางตกใจ
ถังเฉียนเพิ่งพูดจบ เทียนตรงหน้าถูกเป่าดับโดยตรง ถังเฉียนรู้สึกว่ารอบๆ เย็นยะเยือกลง นางหันมามองพบว่ามีเงาดำค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ซูซินเหลียนซบศีรษเข้าในอ้อมอกถังเฉียน หวีดร้องจนถังเฉียนแสบแก้วหู
“หรือว่าโลกนี้จะมีผีจริงๆ”
ถังเฉียนดึงซูซินเหลียนแล้วยืนขึ้นพูดว่า
“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดู…”
ถังเฉียนเตรียมจะเดินไป แต่ซูซินเหลียนดึงรั้งแขนนางไว้แน่น จนสลัดไม่หลุด จึงจำเป็นต้องลากนางไปด้วย แต่ซูซินเหลียนให้ตายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน เอาแต่ตะโกนเสียงดังว่ามีผี ถังเฉียนเห็นเงาดำนั่นเดินผ่านหน้าประตูไป จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังแว่วมา เสียงโหยหวนโศกเศร้า ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนฟังดูน่ากลัวจริงๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางรับพรศักดิ์สิทธิ์จากเถิงเฟิงหรือไม่ นางกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวอย่างเมื่อก่อน เหมือนคำกล่าวที่ว่าถ้าเป็นคนตรงก็ไม่กลัวผีสาง
ตอนที่ 163 จับผี
ลำบากแทบแย่กว่าที่ถังเฉียนจะดึงซูซินเหลียนออกมาจากห้องได้เสียงร้องไห้ข้างนอกยังดังอยู่ ลมพัดผ่านกิ่งไม้ เงาของต้นไม้สั่นไหว
“ที่นี่ดูน่ากลัวเสียจริง เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
ถังเฉียนได้ยินซูซินเหลียนพูด เพียงแต่จับชายเสื้อของนางไว้ แล้วพานางไปตามทิศทางของเสียงร้องไห้
“ไปจากที่นี่น่ะง่ายหรอก แต่เราจะจับผีได้อย่างไร”
ซูซินเหลียนได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนแทบลมจับ พวกนางมีฝีมืออะไรที่จะไปจับผีกัน
“จับผี ไม่ไม่ ไม่ไหว ข้าทำไม่ได้”
ถังเฉียนกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับนาง จึงให้นางอยู่ข้างๆ ตนเองจะปลอดภัยกว่า จึงฝืนลากนางไปด้วย พร้อมกับพูดเตือนว่า
“หากเจ้าไม่ไปกับข้า ก็จะทิ้งให้อยู่ที่ตามลำพัง แต่อยู่ที่นี่จะเจออะไรบ้างข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ”
แม้ซูซินเหวียนจะหวาดกลัว แต่จะกลัวยิ่งกว่าหากต้องอยู่คนเดียวในสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องตามถังเฉียนไป เรือนหลังนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่มีภูเขาเทียม มีศาลาเล็ก ถังเฉียนถือโคมไฟเดินตามโถงทางเดินตรงไปข้างหน้า
“ดูนั่นสิ!”
ซูซินเหลียนชี้ไปข้างหน้าพลางร้องออกมา แล้วดึงตัวถังเฉียน หลบมาอยู่ข้างๆ นางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นตรงนั้นมีเงาสีขาววาบผ่านไป
นั่นคนหรือผีกันแน่ นางอยากจะจับมาดูให้รู้แน่ชัด แต่เมื่อหนีคน ก็แสดงว่ากลัวพวกนาง
ถังเฉียนรู้สึกว่าการพานางมาด้วยนั้นเป็นภาระมาก แต่หากวันนี้ไม่จัดการเรื่องนี้ให้จบ วันหลังนางก็คงยังหวาดวิตกเช่นนี้อีก เดิมทีร่างกายนางก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว หากเกิดต้องเสียชีวิตเพราะเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
“อย่ากลัว ข้าเห็นเงาสีขาวนั่นแล้ว แต่มันหลบเราไป แสดงว่ามันกลัวเรา ไป เราไปดูโฉมหน้าที่แท้จริงของมันกันว่าเป็นอย่างไร”
คำพูดถังเฉียนทำให้ซูซินเหลียนใจกล้าขึ้นบ้าง นางเกาะมือถังเฉียนแน่น และตามนางไป ค่อยๆ ขยับเข้าหาเงาสีขาวนั่น ถังเฉียนกวาดตาดูรอบๆ เงาสีขาวนั่นเป็นแค่ผ้าขาวผืนหนึ่ง ในเวลากลางคืนถูกแสงไฟจะดูน่ากลัว
“ดูสิ ก็แค่ผ้าผืนหนึ่งเท่านั้น”
ถังเฉียนหยิบผ้าผืนนั้นยื่นให้ซูซินเหลียน นางดูผ้าผืนนั้น แล้วจู่ๆ ก็เชิดหน้าขึ้น
“หึ ที่แท้ก็วางแผนปลอมเป็นผีหลอกคนนั่นเอง ข้าเคยดูละครย้อนยุคชิงดีชิงเด่นในวังหลวง ไม่ถึงพันเรื่องก็แปดร้อยเรื่องแหละ ยังจะกลัวคนโบราณอย่างพวกเจ้าหรือ”
ถังเฉียนไม่รู้ว่าจู่ๆ เหตุใดนางจึงพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าโรคเก่ากำเริบหรือไร แต่ก็มีข้อดี เพราะนางเป็นฝ่ายบอกให้ถังเฉียนซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่ง นางจะวิ่งออกไปล่อ ให้ถังเฉียนคอยจับผีจากข้างหลัง
“เจ้าไม่กลัวแล้วหรือ”
ถังเฉียนแปลกใจ เหตุใดนางเปลี่ยนไปเร็วนัก หรือว่าสมองนางจะมีปัญหาจริงๆ มีคนบอกว่าคนบ้านั้นไม่กลัวแม้แต่ความตาย
“จะกลัวอะไร อุบายตื้นๆ เช่นนี้ มีแต่ละครย้อนยุคที่เก่ามากถึงจะเขียนแบบนี้”
“เอาเถอะ เอาเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ขอเพียงเจ้าไม่กลัวแล้ว เราก็ลงมือทำตามแผนต่อ”
ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด แต่เห็นนางสติชัดเจนเช่นนี้ก็น่าเชื่อถือ ทั้งสองจึงลงมือ ถังเฉียนไปซ่อนอยู่หลังภูเขาเทียม แล้วเห็นซูซินเหลียนแกล้งทำท่าหวาดกลัววิ่งออกไป แล้วทำเป็นสะดุดล้มลงบนพื้น แล้วเป็นไปตามคาด เงาสีขาวนั้นวิ่งผ่านปลายสุดของโถงทางเดิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงผีร้องไห้เป็นพักๆ นางมองดูซูซินเหลียนที่แกล้งทำเป็นเซ่อซ่า ส่วนนางค่อยๆ ขยับไปที่ปลายสุดของโถงทางเดิน
“เฮ้ย!”
ถังเฉียนอยู่หลังเสาสีแดง เห็นคนใส่หน้ากากผี จึงยื่นมือออกไปแตะไหล่คนผู้นั้นเบาๆ พอเขาหันมาก็ชกใส่จนล้มลงหมดสติ ถังเฉียนตรงเข้ามาถอดหน้ากากออก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นนาง