ตอนที่ 172 สามคำถามใต้แสงจันทร์
ผ่านเหตุการณ์ลอบสังหารเมื่อกลางวัน ทหารของจวนจินซิวอ๋องบาดเจ็บล้มตายหลายนาย คนของเขาศักดิ์สิทธิ์ของเค่ออี้ก็บาดเจ็บไม่น้อย ถือโอกาสตอนกลางคืนสามารถพักในเมือง จวนจินซิวอ๋องมีการโยกย้ายกำลังพล ทางเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ฟื้นฟูกำลัง ทิ้งให้คนที่อยู่ว่างอย่างถังเฉียนและฉู่จิ่งเหยาเฝ้ายาม
ฉู่จิ่งเหยาชวนถังเฉียนขึ้นไปบนหลังคา เมื่อถึงสารทฤดูจึงทำให้ไอพิษสลายไปบ้างแล้ว บางครั้งก็ยังสามารถเห็นดวงดาวเกลื่อนฟ้า
“น่าเสียดายจริงๆ ที่นี่มองไม่เห็นดาวเต็มท้องฟ้า ไม่เห็นทางช้างเผือกระยิบระยับ”
ถังเฉียนขยับตัวอย่างระมัดระวัง แผ่นกระเบื้องใต้เท้าส่งเสียงแกรกกราก นางมีฝีมือไม่เท่าฉู่จิ่งเหยา คราวก่อนที่ปีนกำแพงก็เกือบจะคร่าชีวิตนาง เวลานี้ยังรู้สึกใจสั่นอยู่ จึงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเรื่องดวงดาวอย่างเขา
“ท่านอ๋อง เราคงไม่ตกลงไปหรอกนะ”
หัวใจดวงน้อยของถังเฉียนไม่อาจทนต่อการความตื่นเต้นเช่นนี้ สายตานางจับจ้องที่กระเบื้องสองสามแผ่นข้างตัว กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะเหยียบมันแตกแล้วร่วงลงไปด้านล่าง ถังเฉียนมีสีหน้าเหมือนพร้อมที่จะตาย ทำให้ฉู่จิ่งเหยารู้สึกน่าขำ แล้วได้ยินเขาพูดว่า
“เป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าหน้าตาข้าน่ากลัวอย่างนั้นหรือ”
ถังเฉียนสั่นศีรษะ ฉู่จิ่งเหยาล้วงขลุ่ยออกมาจากอกเสื้อ มองหน้านาง ยิ้มแล้วว่า
“ข้ามีคำถามสามข้ออยากถามเจ้า คืนนี้เจ้าตอบได้หรือไม่”
นางคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉู่จิ่งเหยาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที จึงหันมาจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
“ท่านอ๋องมีเรื่องสำคัญสิ่งใดจึงต้องถามเช่นนี้ หากท่านถาม อาหรูน่าย่อมต้องตอบ”
ฉู่จิ่งเหยายกขลุ่ยขึ้น เป่าทำนองเพลงยามราตรี ถังเฉียนมองดูจนดวงตาทอประกายเจิดจ้า พลางเม้นริมปากแน่น ไม่กล้าพูดโดยพลการ เขาเห็นท่าทางเครียดของนาง ก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วเก็บขลุ่ยลง
“เจ้าว่าเพลงนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
ถังเฉียนแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ที่บอกอย่างขึงขังว่าจะถามคำถามสามข้อ นี่นับเป็นข้อแรกหรือไม่ นางคิดเช่นนี้ สีหน้าก็แสดงความรู้สึกออกมา ฉู่จิ่งเหยาย่อมคาดเดาความรู้สึกในใจของนางได้
“นี่เป็นคำถามแรก”
ถังเฉียนยิ้มแล้วบอกว่า
“เพลงแม่น้ำชุนเจียงยามราตรี หากบนท้องนภาดาษดื่นไปด้วยดวงดารา ข้างหน้ามีเรือแล่นบนสายน้ำคลื่นสีคราม ก็จะเป็นทัศนียภาพที่ตรงกับเพลง หากไม่ได้ฟังเพลงนี้ เมื่อหลับตาก็จะมี ท่านอ๋องเป่าขลุ่ยเพลงนี้ได้ดีเลิศ เหมือนแม่ข้า…”
ถังเฉียนพูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงัก แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า
“เหมือนแม่น้ำชุนเจียงในจินตนาการของข้า”
ทั้งๆ ที่ฉู่จิ่งเหยาได้ยินคำพูดประโยคนั้น แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ฟังน้ำเสียงนางแฝงด้วยความเศร้า จึงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขามองดูท้องฟ้าแล้วถามอีก
“อาหรูน่า เจ้าเป็นชาวเซวียนกั๋วใช่หรือไม่”
ถังเฉียนได้ยินคำถามนี้ก็รู้สึกเครียดทันที นางจับชายเสื้อไว้ เผยอปากเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ค่อยไว้ใจฉู่จิ่งเหยานัก เพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบว่า
“ท่านอ๋อง ข้าเป็นชาวหนานเจียง…”
ฉู่จิ่งเหยายิ้ม
“ชาวหนานเจียง ไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นชาวหนานเจียง คืนนี้เจ้าติดค้างคำถามข้าข้อหนึ่ง ข้าจะยังไม่ถามคำถามนี้ รอให้ไปถึงเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วค่อยถามเจ้า”
จู่ๆ ถังเฉียนก็คิดทบทวนคำพูดนี้ได้ความรู้สึกที่ต่างออกไป นางก้มหน้าลง ไม่พูดแก้ตัว บางทีในใจฉู่จิ่งเหยาอาจจะมองทะลุฐานะนางไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่นางเองไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองต้องยืนกรานฐานะของตนต่อหน้าฉู่จิ่งเหยา
ถังเฉียนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของฉู่จิ่งเหยา เขากำลังมองดูดวงจันทร์ซึ่งไม่สว่างนัก มุมปากโค้งเล็กน้อย ราวกับวันที่นางเห็นเขาครั้งแรกที่ประตูเมือง
ตอนที่ 173 เม็ดบัวต้ม
“ท่านอ๋อง ข้าทำขนมหวานเสร็จแล้ว ท่านอ๋องอยากชิมหรือไม่”
ถังเฉียนกำลังจะเอ่ยปากพูดกับฉู่จิ่งเหยา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงที่อ่อนหวานของผู้หญิงดังมาจากด้านล่าง ซูซินเหลียนนั่งบนรั้วไม้แหงนมองคนทั้งสอง การกระทำของนางเช่นนี้สำหรับผู้หญิงชาวเซวียนกั๋วแล้วถือว่าไม่น่าดู ผิดแผกจากแบบแผน มีเพียงนางคณิกาเท่านั้นจึงจะกระทำเช่นนี้ แต่นางสวมชุดแบบชาวม้งบนศีรษะประดับปิ่นเงินเล่มเดียว พอดูแล้วกลับรู้สึกว่าไร้เดียงสา
“ดี เดี๋ยวข้าลงไป”
ฉู่จิ่งเหยาพูดแล้วก็พาถังเฉียนกระโดดลงมา ถังเฉียนค้อมคารวะซูเซียนเหลียนเล็กน้อย ซูซินเหลียนพยุงนางขึ้น แล้วพูดว่า
“ท่านหมอ เหลียนเอ๋อร์ต้มเม็ดบัว รู้ว่าท่านหมอเหนื่อยแล้ว ขอเชิญท่านหมอชิมด้วยกัน ปกติข้าไม่ค่อยได้เข้าครัวนัก ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่ สรุปแล้วอย่ารังเกียจก็แล้วกัน”
ถังเฉียนมองแววตานางที่วาบผ่านไป รู้สึกหวั่นใจทันที แล้วมองดูฉู่จิ่งเหยา จากนั้นจึงพูดว่า
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจในความมีน้ำใจของพระชายารอง”
ซูซินเหลียนเหลือบมองนาง แล้วพูดว่า
“นี่เท่ากับท่านหมอรังเกียจฝีมือการทำอาหารของข้า หรือท่านหมอคิดว่าควรให้ท่านอ๋องเป็นคนเชิญ ท่านจึงจะยอมกิน”
ฮุ่ยฮุ่ยยกชามเม็ดบัวต้มยืนอยู่ข้างหลังซูซินเหลียน พอเงยหน้าขึ้นเห็นถังเฉียนก็มือสั่น ฉู่จิ่งเหยาหรี่ตาแล้วถามว่า
“เด็กคนนี้มาจากที่ใด เหตุใดถึงไม่มีมารยาทเช่นนี้”
ถ้าเป็นนิสัยซูซินเหลียนเมื่อก่อน นางคงตกใจแทบแย่ แต่เวลานี้นางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ท่านอ๋องคงยังไม่รู้สินะเพคะ นี่เป็นเด็กที่จื่อเย่ว์ส่งมาคอยรับใช้ข้า เซ่อซ่าเล็กน้อย แต่ปกติข้าเป็นคนไม่เรื่องมาก จึงไม่ได้คาดหวังให้นางทำอะไร ใครใช้ให้คนที่ข้าพามาจากบ้านไปสร้างความเดือดร้อนให้ท่านหมอ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หายไปนานแล้ว”
ฉู่จิ่งเหยาได้ฟังก็กระแอม แล้วพูดว่า
“รอให้กลับจวนอ๋องก่อน ข้าจะสั่งเพิ่มสาวใช้ให้เจ้าอีกสองคน ถ้าเจ้าดูแล้วไม่พอใจนาง ให้นางไปใช้แรงงานก็แล้วกัน ในเมื่อเป็นชายารองของข้า ก็ต้องดูแลให้ดีหน่อย ไม่เช่นนั้นกลับไปเจาหยาง องค์กุ้ยเฟยกับท่านมหาเสนาบดีจะหาว่าอ๋องอย่างข้ารังแกเจ้า”
ถังเฉียนรู้สึกว่าขณะนี้ตนไม่ควรอยู่ที่นี่ คิดอยากจะไปแต่ก็พูดแทรกขึ้นไม่ได้ นางกำลังจะเอ่ยปากเตรียมจะผละไป ซูซินเหลียนก็ยกชามเม็ดบัวต้มมาไว้ตรงหน้านางแล้ว
“ท่านหมอลองชิมสักคำ ท่านอ๋องก็ช่วยออกความเห็นหน่อย ได้หรือไม่เพคะ”
ฉู่จิ่งเหยาดูท่าทางซูซินเหลียน เขาโบกมือเล็กน้อย ให้นางขยับออกไปจากตรงหน้าตนเอง เห็นรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนผุดขึ้นที่มุมปากหญิงทั้งสอง ถังเฉียนไม่อาจปฏิเสธ จึงตักขึ้นมาชิมหนึ่งช้อน รสชาติไม่ได้พิเศษอะไร
“แค่กแค่ก…”
ถังเฉียนชิมรสชาติเท่านั้น เห็นถังเวยที่หลบอยู่ข้างๆ ไอไม่หยุด นางจึงรู้สึกแปลกใจ ปกตินางกลัวตนมากที่สุดไม่ใช่หรือ หรือว่าเวลานี้จะมีปัญหาอื่นด้วย
“ฮุ่ยฮุ่ย เป็นอะไรหรือ”
ถังเฉียนถามด้วยความห่วงใย แต่สายตาซูซินเหลียนจ้องที่ชามในมือฉู่จิ่งเหยา แล้วพูดขึ้นว่า
“ใครจะรู้ว่าเด็กบ้าคนนี้เป็นอะไรไป บางทีอาจเพราะตกใจกับเหตุการณ์ลอบสังหารในวันนี้ หรือไม่ก็นางอาจจะเซ่อซ่าอยู่แล้ว”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ วางชามเม็ดบัวต้มลง หยิบผ้าแพรออกมาเช็ดปากแล้วพูดว่า
“เม็ดบัวต้มถ้าจะทำให้อร่อย ไม่ต้องเติมน้ำตาล แต่ต้มด้วยไฟอ่อนเคี่ยวนานๆ จึงจะต้มความอร่อยออกมาได้ พระชายารองยังอายุน้อย ถ้าอายุเท่าแม่ข้าก็จะรู้สึกถึงความสุขที่ได้ต้มเม็ดบัวให้คนในครอบครัวได้กิน กินแล้วจึงจะรู้สึกว่าอร่อยจริงๆ”
ปกติถังเฉียนไม่จู้จี้และไม่เอาใจใส่ขนาดนี้ นางวางชามลง ค้อมคารวะเตรียมผละไป นางกลัวว่าถ้าตนเองยังอยู่ที่เดิม อาจอดไม่ได้ที่จะปกป้องน้องสาวจนเผยพิรุธออกมา