ตอนที่ 222 ฟางเอ๋อร์
ถังเฉียนพยักหน้า นางพยุงสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่แล้วพูดว่า
“วันหลังรับใช้หงหลิงเอ๋อร์ก็ต้องระมัดระวังหน่อย นางเจ้าอารมณ์ เจ้าต้องอดทน วันนี้ข้ามาเจอก่อน ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางทำให้เจ้าเสียโฉม แต่วันหลังหากข้าไม่เห็น เจ้าต้องรู้จักปกป้องตัวเอง”
ถังเฉียนพูดจบก็จะผละไป เด็กสาวคนนั้นดึงเสื้อถังเฉียนไว้แล้วพูดว่า
“คุณหนูอาหรูน่า ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า ฮูหยิน โปรดจัดให้ข้าไปรับใช้คุณหนูอาหรูน่าเถอะ ต่อให้ต้องลดขั้นลงเป็นสาวใช้ที่ทำงานหนักก็ยังดี ข้าทำให้คุณหนูหงหลิงเอ๋อร์โมโห ท่านก็รู้นิสัยนางดี นางต้องเอาชีวิตฟางเอ๋อร์เป็นแน่ คุณหนูอาหรูน่า โปรดทำดีแล้วทำให้ถึงที่สุดเถอะนะเจ้าคะ ฮูหยินโปรดสงสารข้าด้วยเจ้าค่ะ”
เด็กสาวคนนี้กล้าพูด อิ๋นซานไม่ใส่ใจ นางเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง ต้องดูท่าทีของถังเฉียนด้วย
“เด็กคนนี้น่าสงสาร หากส่งนางกลับไป เท่ากับวันนี้ข้าผิดใจกับหงหลิงเอ่อร์อย่างเปล่าประโยชน์ ฮูหยินโปรดมอบนางให้ข้าเถอะ”
ฮูหยินเหลือบมองสาวใช้คนนี้ หลังจากหรูอี้พยักหน้า นางจึงตกลงยกฟางเอ๋อร์ให้ถังเฉียน
อิ๋นซานพูดกำชับเพียงสองสามคำ ไม่ได้พูดคุยกับถังเฉียนมากมายนักก็ให้พวกนางกลับไปพักผ่อน ระหว่างทางฟางเอ๋อร์เดินตามหลังถังเฉียนมาอย่างระมัดระวัง ถังเฉียนพานางกลับมาที่ห้องตน สาวใช้คนนั้นยังยืนอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางหวาดกลัว ถังเฉียนรู้ว่าเมื่อครู่ที่อิ๋นซานมองหรูอี้แวบหนึ่งนั้น เป็นการสอบถามว่าไว้ใจสาวใช้คนนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อหรูอี้พยักหน้า ถ้าเช่นนั้นการที่จะให้นางเปิดปากพูดจึงไม่ง่ายนัก ถ้าอยากให้นางพูด ถังเฉียนต้องทำอะไรบางอย่าง
“เจ้าชื่อฟางเอ๋อร์ใช่หรือไม่ อายุเท่าไหร่ ทำอะไรเป็นบ้าง”
นับว่าฟางเอ๋อร์เป็นคนฉลาด นางยิ้มแล้วตอบว่า
“เรียนคุณหนู ข้าอายุสิบห้า ก่อนนี้เคยหัดปักผ้ากับป้าจาง และพออ่านหนังสือออกบ้างเจ้าค่ะ”
ถังเฉียนได้ยินว่าปักผ้าได้และอ่านหนังสือออก ถือเป็นบ่าวระดับหนึ่งในจวนนี้ คิดว่านางเพิ่งอายุสิบห้า ย่อมไม่ง่ายเลย จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ข้าเป็นคนง่ายๆ เพียงแต่ปกติเป็นคนตรงไปตรงมาและปากไว มักก่อเรื่องได้ง่าย แต่เจ้าควรจะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ไม่มีอำนาจอะไร วันหน้าเวลายังยาวไกล เวลานี้ด้วยนิสัยของข้า เจ้าคงรู้ว่าขอให้ผ่านไปทีละวันก็เพียงพอ”
ฟางเอ๋อร์ฟังที่นางพูด สีหน้าระวังตัว ถังเฉียนรู้ว่านางสังเกตเห็นว่ากำลังถูกทดสอบ แต่นางไม่กลัวว่าต้องลงลึกอีก
“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตหนึ่งวันก็จะปกป้องเจ้าหนึ่งวัน แต่วันนี้ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายขอมาอยู่กับข้า เมื่อครู่ฮูหยินอยู่ ข้าไม่สะดวกที่จะเอ่ยปาก ข้าเกิดในสกุลฮว่า ตระกูลเรามีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดข้าตายก่อน สาวใช้ที่รับใช้ข้าต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า ถ้าเป็นเช่นนี้ เจ้ายังอยากอยู่กับข้าอีกหรือไม่”
“เอ่อ….”
ฟางเอ๋อร์ตกใจกับธรรมเนียมที่ว่านี้ นั่งบนพื้นเหม่อมองถังเฉียน น้ำตาคลอ นางไม่ได้ร้องไห้โฮออกมาทันที เพราะยังมีความคาดหวังอย่างหนึ่ง
นางหวังว่าที่ถังเฉียนพูดเมื่อครู่เป็นแค่การโกหกนาง
“โลกนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนแต่ไม่แน่นอน ข้าคอยปกป้องเจ้าเต็มที่ หากข้าตาย เจ้าก็ต้องมานอนเป็นเพื่อนข้าตลอดกาล นี่คือบุญกรรม วันนี้ข้าปกป้องเจ้า เจ้ายินยอมพร้อมใจมาติดตามข้า แต่ถ้าข้าไม่บอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้ ย่อมไม่ถูก ข้ารู้ว่าวันนี้ข้าบอกเจ้าเป็นการทำให้เจ้าลำบากใจ เช่นนั้นคืนนี้เจ้าลองคิดดูให้ดี ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่รับใช้ข้า พรุ่งนี้เจ้าก็กลับไปหาฮูหยินเถอะ”
ฟางเอ๋อร์คุกเข่าอยู่กับพื้น อ้าปากทำท่าจะพูด แต่ถังเฉียนไม่มีใจจะฟังแล้ว นางดูจากท่าทางตกใจกลัวของเด็กสาวก็รู้ว่าที่หงหลิงเอ๋อร์พูดเมื่อครู่ไม่ใช่พูดลอยๆ
ดูแล้ว ที่ตัวนางมาถึงเขาศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นแผนการที่วางไว้อย่างแยบยล
ตอนที่ 223 เรื่องราวซับซ้อน
ถังเฉียนจำต้องยอมรับว่าทุกอย่างในขณะนี้เป็นเสมือนการต่อสู้ที่ไม่อาจรู้ว่าศัตรูเป็นใคร ที่จริงเรื่องราวทั้งหมดซับซ้อนจนสืบหาความจริงยาก คนที่นี่เริ่มฉีกโฉมหน้าที่เป็นคนดีจอมปลอมออก นางเริ่มหวาดกลัว โลกนี้ช่างไม่เหมือนกับที่นางคิดไว้ว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างผ่อนคลายสบายๆ
ลมยามค่ำคืนหนาวเย็นเล็กน้อย พอตกกลางคืนในสารทฤดูลมที่นี่จะเย็นสบาย นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเลียนแบบฉู่จิ่งเหยา นั่งอยู่บนสันหลังคา มองดูแสงไฟนับหมื่น แววตาฉายแววสับสน
เงาดำวาบขึ้นที่ด้านหลัง ถังเฉียนเงยหน้าขึ้น เห็นฉู่จิ่งเหยาในชุดขาว ถือโคมไฟถลาร่อนลงมา ท่าทางเขาต่างกับปกติที่ดูเคร่งขรึม กลับดูราวกับทวยเทพ
“เด็กอย่างเจ้าไม่รู้ว่าคิดอะไรสับสน เหตุใดจึงขึ้นมาอยู่บนหลังคาเอาอย่างข้า ฝึกวิชาตัวเบาดีแล้วหรือ”
ถังเฉียนก้มหน้าแล้วพูดว่า
“นับตั้งแต่มาถึงเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ฝึกวิชาตัวเบาแล้ว ฝีมือก็ถดถอยลงไม่น้อย บางครั้งได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง ก็จะมีสายตานับไม่ถ้วนคอยมองข้าดูเหมือนพวกเขาจะถูกส่งมาให้คอยควบคุมข้า ไม่ทำอะไรผิดพลาดไม่ได้ กล่าวกันว่ายากนักที่จะเข้าไปในจวนโหวคฤหาสน์แม่ทัพ ใครจะรู้ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน”
ฉู่จิ่งเหยานั่งลงข้างตัวนาง ยิ้มแล้วพูดว่า
“มาถึงที่นี่กลับหัดท่องบทกวี ก็นับว่าเป็นเรื่องดี อีกห้าวันข้าจะไปแล้ว เจ้ายังมีโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะไปกับข้า”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเครียดทันที นางไม่รู้ว่าควรจะตามฉู่จิ่งเหยาไปหรืออยู่ที่นี่ต่อไปดี ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรืออยู่ในจวนจินซิวอ๋อง นางล้วนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเสมือนจอกแหนที่ไร้ราก วิตกมากว่าสักวันหากฐานะตัวเองถูกเปิดเผย จะถูกประหารทันที
ความรู้สึกตกอยู่ในอันตรายเยี่ยงนี้ ทำให้ทุกวันนางเหมือนยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เบื้องหลังของคำพูดโกหกก็คือตัวสั่นงกงั่นเพราะความกลัว
“แล้วจะทำเช่นไรกับพระชายารอง”
ในที่สุดถังเฉียนก็ถามถึงนาง แม้ว่าเถิงอวิ๋นตั้งใจจะเอาตัวซูซินเหลียนไว้ที่นี่ตลอดไปเพี่อเป็นเครื่องทดลองที่หายาก ทำการค้นคว้าตามใจชอบ แต่ในฐานะคนแล้ว ถังเฉียนคิดว่าไม่เหมาะ
“อีกไม่กี่วันราชสำนักจะมีราชโองการเรียกตัวนางกลับไป ไม่ว่าหายป่วยแล้วหรือยังป่วยอยู่ก็ตาม ก็ต้องกลับไป ถ้าคนพวกนี้ส่งซากศพไป ข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย ถือว่าเป็นชะตากรรมของนาง”
คำพูดเช่นนี้ออกจะโหดร้ายไปบ้าง แต่ถังเฉียนรู้ดี คนอย่างซูซินเหลียนนั้นสำหรับฉู่จิ่งเหยาแล้วนางเป็นตัวอันตรายและคอยสร้างความเดือดร้อน ที่เขาออกจะโหดร้ายไปบ้างกลับไม่สามารถตำหนิได้
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ถังเฉียนยิ่งเข้าใจว่านางต้องช่วยตัวนางเอง ความมีเมตตาของนางจะกลายเป็นเครื่องถ่วง นางไม่มีปีกที่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องทุกคนได้ ไม่ว่าซูซินเหลียนหรือซูซิน นางพูดได้เพียงว่าได้พยายามเต็มที่แล้วเท่านั้น
“ท่านอ๋อง ถือว่านางเป็นคนที่น่าสงสาร หลายวันก่อนข้าไปเยี่ยมนาง นางถูกทรมานอย่างแสนสาหัส หากมีโอกาส ท่านอ๋องปล่อยนางได้หรือไม่”
มุมปากฉู่จิ่งเหยาขยับเล็กน้อย แล้วถามนางว่า
“ถ้าส่งเจ้าไปยังสถานที่ที่เจ้าไม่รู้จัก เจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่”
ถังเฉียนครุ่นคิด นางสามารถจับปลา ทำอาหาร สามารถใช้ฐานะของหมอผีเลี้ยงชีพ ดูแล้วไม่น่าจะลำบากนัก หลังจากนางพยักหน้า ฉู่จิ่งเหยาจึงพูดว่า
“แต่นางทำไม่ได้ นางเป็นนกที่ได้รับการฟูมฟักมาอย่างดี พอจากที่นี่ไปก็บินไม่ได้แล้ว นางทนแรงลมไม่ได้ ทนตากฝนไม่ได้ มีแต่ต้องให้ผู้ชายคอยปกป้อง ถ้านางฉลาดเลือกคนถูก นางก็จะมีชีวิตที่สูงศักดิ์สุขสบาย หากนางเลือกคนผิด ชีวิตก็จะย่อยยับ”
ถังเฉียนรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ทำให้นางขวัญผวา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถามต่อ