ตอนที่ 238 ปวดร้าวใจ
ถังเฉียนกัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้งเพื่อไม่ให้เถิงเฟิงได้ยินเสียงสะอื้นของตน
“ข้าทำได้ไม่เลว อย่างน้อยถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครมองตัวตนข้าออก ขอบใจที่เจ้ามอบตัวตนให้ข้า ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปที่นี่ ยิ่งรู้สึกมีศักดิ์ศรีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นหลังจากที่ข้าสวมหน้ากาก ข้าทะเยอทะยานเกินไป ข้าคิดว่าคนคนหนึ่งไม่อาจโชคดีมากอย่างนั้น ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะช่วยหาวิธีรักษาเจ้า ข้ายังจะพยายามหาวิธีอย่างเต็มที่ แต่ข้าไม่อาจแบกรับฐานะการเป็นคู่หมั้นได้แล้ว”
ถังเฉียนยิ่งพูดเช่นนี้ต่อไป ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังหลั่งเลือด นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าเถิงเฟิงจะมีความสำคัญต่อนางมากถึงเพียงนี้ ขณะที่เตรียมใจที่จะจากเขาไปนั้น หัวใจก็ช่างปวดร้าวยิ่งนัก
“เถิงเฟิง ข้าจะไปแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลข้าในช่วงที่ผ่านมา เจ้าเป็นเพื่อนและคนใกล้ชิดคนเดียวของข้าที่นี่ เป็นคนที่ข้าไว้ใจและพึ่งพาได้ที่สุด ที่แท้ที่เจ้าดีต่อข้าเป็นเพราะแม่นางอีกคนแลกด้วยชีวิต ข้าไม่คู่ควรให้เจ้าดีต่อข้าเช่นนี้ ข้าเป็นคนเลว”
ถังเฉียนเจ็บปวดหัวใจจริงๆ นางคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้ นางผ่านการพลัดพรากและทุกข์ทรมานมามากมายแล้ว แต่ครั้งนี้ยิ่งเจ็บปวดจริงๆ ความทะนงตนและศักดิ์ศรีบอกตัวเองว่าพอหันมานางก็กลายเป็นเพียงหมอผีที่ขี้ขลาดโหดเ**้ยม นางไม่อาจจะหันหลังกลับได้แล้ว
หากนางต้องการใช้ชีวิตในนามของหมอผีตลอดไป ก็ควรจะกล้าหาญขึ้นบ้าง
ถังเฉียนวิ่งไปจากที่นี่ ราวกับวิ่งหนีพงหนามที่อยู่ข้างหลัง นางวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ต้นไม้เหล่านั้นแยกออกเป็นทางนำให้นางไปยังทิศทางที่พวกมันต้องการทีละก้าว
กิ่งไม้รอบข้างกำลังสั่นไหว ขณะที่เสียงขลุ่ยยิ่งห่างออกไปเคล้าคลอขึ้นมาเป็นระลอกคลื่น
“ที่นี่ที่ไหน”
ถังเฉียนไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว เห็นชัดๆ ว่านางวิ่งไปตามเส้นทางที่ตนเองมา บุปผากินคนถูกเถิงเฟิงทำให้ตกใจหนีไปแล้ว ส่วนนางเพียงแต่ย้อนกลับมาตามทางเดิม แต่นางจำได้ว่าตอนที่มาไม่มีเส้นทางมากมายเช่นนี้
ถังเฉียนเดินไปตามทางปูด้วยหิน เดินไปข้างหน้าทีละก้าว แล้วก็เริ่มชัดเจนทีละน้อย นางหลงทางแล้ว
“ชิงช้าอันนั้นหรือ”
ถังเฉียนเงยหน้าขึ้น ชิงช้าที่อยู่เหนือศีรษะดูค่อนข้างเก่าทรุดโทรม ขณะนี้ดูแล้วก็รู้สึกปวดใจ แล้วรู้สึกเหมือนมีคนดึงกระโปรงนาง พอก้มลงมอง เครือเถากำลังไต่ขึ้นบนขานาง ดึงจนนางล้มลง ตัวนางฟุบลงบนพื้น นางดิ้นรนพลางร้องให้คนช่วย แล้วดึงมีดสั้นออกมาปักลงไปในช่องหิน ไม่ให้ตัวนางถูกลากไปตรงหน้าบุปผากินคน
ถังเฉียนเหลือบมอง นางไม่รู้ว่าเลือดตนเองจะทำลายเครือเถาได้หรือไม่ แต่ขณะนี้ไม่มีเวลามาคิดมากแล้ว จึงใช้มีดกรีดลงไปบนแขน แล้วสะบัดเลือดออกไป เลือดสีแดงสดหยดลงบนเครือเถา มันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที แล้วสีดำก็ค่อยๆ แผ่ออกไปเรื่อยๆ
ถังเฉียนเกิดบันดาลโทสะ ในเมื่อบุปผากินคนอันตรายเช่นนี้ ก็ควรจะตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้นซาก สิ่งที่กินคนเช่นนี้ ทิ้งไว้ย่อมเป็นภัย
ถังเฉียนตามเครือเถาสีดำไป ถ้าเจอจุดที่เครือเถาขาด ก็จะได้ยินเสียงดังซู่ๆ นางค่อยๆ ไล่ตามไป วิ่งตามไปจนไกล จนมองไม่เห็นแม่แต่เงาของชิงช้าแล้ว
เมื่อครู่เถิงเฟิงยังโศกเศร้าอยู่ เดิมเขาไม่คิดจะพูดเช่นนี้ หรือเดิมทีตอนที่เขาตั้งชื่อนี้ก็ไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่เพราะโกรธจึงพูดเช่นนี้ออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าถังเฉียนจะวิ่งหนีไป เพิ่งได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของถังเฉียนก็นึกขึ้นได้ว่าสถานที่นี้คือหุบบุปผากินคนซึ่งเป็นเขตหวงห้าม
ตอนที่ 239 ความเป็นมาของเขตหวงห้าม
ถังเฉียนไล่ตามมาจนใกล้จึงมองเห็นดอกของบุปผากินคน มันซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขา นางเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ราวกับได้ยินเสียงคนคุยกัน นางเห็นบุปผากินคนสีม่วงสด ราวกับกำลังกระจายกลิ่นหอมฟุ้งและความงดงาม
นอกจากบุปผากินคนจะมีขนาดใหญ่โตเป็นพิเศษแล้ว ยังมีกลิ่นที่ชวนให้ลุ่มหลงเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันช่างสวยงามยิ่งนัก เดิมทีนั้นถังเฉียนตั้งใจจะมาทำลายมัน แต่ขณะนี้นางไม่อาจลงมือทำตามอย่างที่ตั้งใจได้แล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนกำลังชื่นชมในความสวยงามของบุปผากินคน
ถังเฉียนขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อเข้าใกล้ที่สุดแล้ว จู่ๆ เสี่ยวจินก็บินออกมา แล้วกัดที่หน้าอกนางอย่างแรง
“โอ๊ย เจ็บจังเลย!”
ถังเฉียนไม่เคยถูกเสี่ยวจินกัด พอถูกกัดจึงได้รู้ว่าเจ็บขนาดนี้ รู้สึกเจ็บน้อยกว่าที่ปวดใจเมื่อครู่เล็กน้อยเท่านั้น พอถังเฉียนมองดูก็เห็นเครือเถาเลื้อยเกี่ยวขึ้นมาถึงเอวแล้ว หากนางไม่รู้สึกตัวขึ้นมา คงจะกลายเป็นอาหารของดอกไม้ปีศาจ
ในเมื่อนางรู้สึกตัวแล้วแล้วจึงทำการเผาเลือดแห่งราชาโอสถในร่างตนเอง เลือดที่ไม่เพียงช่วยชีวิตคนได้ทั้งยังสามารถฆ่าคนได้ด้วย ดูเหมือนบุปผากินคนจะไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามของนาง มันค่อย ๆดึงร่างถังเฉียนเข้าไปใกล้ตัว
ถังเฉียนเตรียมพร้อมไว้แล้ว นางกรีดแขนตัวเองเมื่อเข้าใกล้บุปผากินคนพอ ก็เหวี่ยงมือลงไปคว้ากลีบดอกไว้
“อ้า…”
ดอกไม้เหมือนอ้าปากขนาดมหึมาออก จากนั้นมันก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วเน่าเปื่อยทันที กลีบดอกที่ถังเฉียนจับไว้ก็เ**่ยวเฉาร่วงลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่บริเวณรอบๆ ที่เคยเขียวขจีก็ค่อยๆกลายเป็นสีดำ ร่างถังเฉียนสั่นระริก หายใจหอบ ที่นางสามารถทำทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสี่ยวจินช่วยชีวิตนางไว้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่เช่นนั้นตัวนางคงไม่อาจต่อต้านบุปผากินคนได้ แล้วตกเป็นอาหารของมันไปแล้ว
ถังเฉียนนั่งลงบนพื้น ร่างอ่อนยวบ แล้วเห็นเสี่ยวจินไต่อยู่บนพื้น นางยื่นมือออกไป ให้มันบินขึ้นมา แต่เสี่ยวจินกำลังออกแรงดึงหินสีม่วงก้อนหนึ่งบนพื้นอย่างสุดกำลัง
“นี่อะไร”
ถังเฉียนใช้นิ้วขยับหินก้อนนั้น แล้วหยิบขึ้นมา นางนั่งอยู่กับที่ แล้วเห็นห่างออกไปมีคนสองคนโผล่ออกมา ทั้งสองคนสวมชุดดำและปิดใบหน้า ท่าทางลุกลี้ลุกลน
“อาหรูน่า? อาหรูน่า?”
ถังเฉียนรู้สึกว่าคนผู้นั้นคุ้นตา แต่พอเสียงเถิงเฟิงดังแว่วมา ทั้งสองคนก็ดึงผ้าคลุมหัวต่ำลงแล้ววิ่งเร็วขึ้น นางมองตามไป แผ่นหลังนั้นดูคุ้นเคย แต่ความคุ้นเคยนี้ไม่อาจทนต่อเสียงเถิงเฟิงร้องเรียกชื่ออาหรูน่า ขณะนั้นนางก็รู้สึกปวดใจ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรอืไม่ เจ้าทำอะไร บุปผากินคนเล่า”
เถิงเฟิงวิ่งมาถึง เห็นถังเฉียนนั่งอยู่บนพื้น เขาพยุงนางขึ้นทันที ตรวจดูนางอย่างละเอียดว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แล้วเห็นรอยแผลลึกบนแขนนาง ร้องด้วยความแปลกใจ
“คราวนี้เหตุใดแผลเจ้าจึงไม่สมานเข้าหากัน”
ถังเฉียนมองดูบาดแผลน่าเกลียดบนแขนตัวเอง มีรอยยิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก
“เพราะข้าใช้พิษ แผลจะไม่สมานตลอดไป มันจะคอยเตือนว่าข้าทำเรื่องที่ผิด ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่ทำลายเขตหวงห้ามของเจ้าไปแล้ว ต้องขอโทษจริงๆ”
เถิงเฟิงสั่นหัวพลางพูดว่า
“ถ้าง่ายอย่างที่เจ้าคิดก็คงดีหรอก เขตหวงห้ามนี้กว้างใหญ่มาก ทีแรกปลูกแค่ต้นเดียว น่าเสียดายที่หลายปีมานี้มันแตกหน่อเจริญงอกงาม จนที่นี่มีนับร้อยนับพันต้นแล้ว เจ้าฆ่าเพียงต้นเดียว ถ้าฆ่าไม่หมด วสันต์ฤดูปีหน้า พออากาศอุ่นดอกไม้เบ่งบาน มันจะงอกขึ้นใหม่”
เถิงเฟิงเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยผิดหวังของถังเฉียน จึงตั้งใจพูดปลอบว่า
“ที่นี่เป็นเขตเชื่อมต่อระหว่างเผ่าอินทรีเงินกับเผ่าหมอผี ยังมีทหารคอยเฝ้า เดิมท่านพ่อตั้งใจจะปลูกพวกมันไว้เพื่อป้องกันถูกลอบโจมตี แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะมีอันตรายขนาดนี้ แค่ต้นเดียวกลับขยายพันธุ์มากมาย ยังดีที่พวกมันไม่หนีออกไปจากหุบเขานี้ ไม่เช่นนั้นคงเดือดร้อนมาก”
ถังเฉียนทุ่มเทใจและลงแรงมากขนาดนี้ยังทำลายได้แค่ต้นเดียว จึงพอจะคาดเดาได้ว่าถ้าเผ่าพีส่าจะจัดการกับที่นี่คงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก