ตอนที่ 270 อันกุ้ยเฟย
ถังเฉียนเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงประตูคุกฟ้าเปิดออก ในเวลานี้ไม่น่าจะมีคนเข้าออก จึงเห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจมาพบถังเฉียนและซูซินเหลียน
“อันกุ้ยเฟยเสด็จมาถึงที่นี่ได้ ถือเป็นบุญของคุกฟ้าเล็กๆ แห่งนี้”
อันกุ้ยเฟยจัดปิ่นไข่มุกบนศีรษะเบาๆ ชำเลืองตามองเล็กน้อย ใช้ผ้าแพรปิดจมูกที่โด่งเป็นสัน สีหน้าดูอึดอัด หงอวี้นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นทันที
“หัวหน้าผู้คุม เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว พระสนมเราจะมาพบชายารองของจินซิวอ๋อง อย่างไรพระสนมเราก็เป็นอาหญิงของนาง ทางครอบครัววานให้มาช่วยดูแล ต้องรบกวนท่านแล้ว”
ยังนับว่าหงอวี้เกรงใจ นางล้วงเงินแท่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ โยนใส่มือหัวหน้าผู้คุม แล้วพูดว่า
“อย่างอื่นวันหลังค่อยว่ากัน เราไปมาหาสู่กัน วันนี้องค์กุ้ยเฟยมาอย่างฉุกละหุก”
หัวหน้าผู้คุมกะน้ำหนักเงินแท่งในมือ แม้จะน้อยไปบ้าง แต่ต่อหน้าอันกุ้ยเฟยเขาไม่กล้าเรียกร้องเงินเพิ่มขึ้น แล้วรีบค้อมคารวะ แต่สีหน้าไม่สู้ดีนักและไม่พูดยกยอปอปั้นอีก
“หัวหน้าผู้คุมคนนี้ ท่าทางขัดตามาก แม้แต่ตะเกียงก็ยังยกออกไป”
หงอวี้ไม่พอใจ อยากไปต่อว่าหัวหน้าผู้คุม แต่อันกุ้ยเฟยห้ามไว้ แล้วเกาะมือนางเดินไปที่หน้าห้องขังของซูซินเหลียน แค่มาเยี่ยมคนในคุก แต่ยังคงวางท่าทางใหญ่โต ถังเฉียนแอบอยู่ที่มุมซึ่งอันกุ้ยเฟยมองไม่เห็น นางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว นางอยู่ในเมืองหลวงไม่มีที่พึ่งพิง ถ้าหากก่อเรื่องเดือดร้อนขึ้น อาจจะรักษาชีวิตไว้ไมได้
ซูซินเหลียนยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา นางมองอันกุ้ยเฟยที่ตรงหน้า แต่กลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“อาหญิง ไม่ได้พบกันนานแล้ว สบายดีหรือไม่”
สายตาอันกุ้ยเฟยลึกล้ำ
“สกุลซูเราไม่เคยเลี้ยงผู้หญิงที่ใช้การไม่ได้ นานขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ได้ฆ่าฉู่จิ่งเหยา ยังจะมีหน้ามาอยู่ต่อหน้าข้า ว่าไง เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว คิดจะลบหลู่ข้าแล้วหรือ”
ซูซินเหลียนรู้ว่าขณะนี้ที่พวกนางคุยกันไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย แม้จะรู้ว่าถังเฉียนอาจได้ยิน แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจว่าถังเฉียนจะได้ยินหรือไม่
“อาหญิง ท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิม อยากลอบรัดคอให้ข้าตาย แล้วสร้างฉากว่าฆ่าตัวตายเอง ไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เหตุใดยังกล้ากลับมา”
ถังเฉียนจึงรู้ว่าที่แท้ทั้งสองมีความบาดหมางต่อกันเช่นนี้ แม้ว่าตอนนั้นฉู่จิ่งเหยาจะบอกนางว่าสามารถไว้ใจซูซินเหลียนได้ แต่ถ้าบวกกับเรื่องที่นางถูกครอบครัวสลัดทิ้ง ทำให้ความน่าเชื่อถือของนางเพิ่มขึ้น
“เด็กสาวอย่างเจ้า กลับมาจากเผ่าม้ง ภายนอกยังคงเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะมีเขี้ยวเล็บมากขึ้น คารมคมคายขึ้น แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เด็กสาวที่มาจากสามัญชน ยังไงก็ต้องมีสัญชาตญาณดิบเถื่อนบ้าง”
ถังเฉียนฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นเต้น จะอย่างไรซูซินเหลียนก็อายุยังน้อย พูดคุยกันสองสามคำก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
“ท่านอาอย่าเพิ่งด่วนดีใจไป ครั้งนี้ท่านอ๋องจะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นยังไม่รู้ว่าใครชนะใครแพ้กันแน่ องค์กุ้ยเฟยอย่าด่วนดีใจ อย่างไรถ้ายังไม่ถึงที่สุด ก็ไม่มีใครรู้ผลแพ้ชนะ”
ถังเฉียนผงกศีรษะเงียบๆ ถือว่านางได้พูดตามที่ฉู่จิ่งเหยาสั่งไว้หมดแล้ว เรื่องที่เหลือไม่ใช่สิ่งที่พวกนางสองคนจะช่วยได้แล้ว
ครั้งนี้ที่พวกนางมาเมืองหลวงก็เพื่อหลอกล่อฝ่ายตรงข้าม นอกจากหลอกคนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว แน่นอนว่ารวมถึงคนที่เจาหยางด้วย สรุปแล้วนี่เป็นการต่อสู้ที่วุ่นวายสับสน มีแต่รอให้ทั้งสองฝ่ายสู้กันจนอ่อนแอลง พวกเขาจึงจะมีโอกาสรุกไล่ช่วงชิงชัยชนะ
ตอนที่ 271 เยี่ยมคุก
แววตาของอันกุ้ยเฟยหมองลงนางเหลือบมองห้องขังข้างๆ แต่ไม่เห็นถังเฉียนทันที จึงถามซูซินเหลียน
“ได้ยินว่าหมอผีหญิงผู้นั้นก็อยู่ที่นี่”
ซูซินเหลียนได้ยินเช่นนี้ก็ชำเลืองมองข้างๆ ตรงจุดที่ถังเฉียนหลบอยู่ แล้วพูดขึ้นทันที
“อาหญิงไม่ต้องกลัว นางอาศัยที่เผ่าท้งนาน พูดภาษาเซวียนกั๋วเราไม่คล่อง ถ้าท่านพูดช้าหน่อยพร้อมกับทำท่ามือ นางอาจจะพอเข้าใจบ้าง ถ้าไม่ทำเช่นนี้นางก็คงฟังไม่รู้เรื่อง ท่านอ๋องกับคนอื่นสอนนางเพียงคำง่ายๆ ไม่กี่คำเท่านั้น”
อันกุ้ยเฟยฟังแล้วจึงลดสายตาลง ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าซูซินเหลียนจะช่วยพูดให้ นางรู้สึกแปลกใจ
แต่อันกุ้ยเฟยไม่ได้ปล่อยถังเฉียนเพียงเพราะคำพูดด้านเดียวของซูซินเหลียน แต่หันมาทันที แล้วเดินช้าๆ มาหาถังเฉียน
“หมอผี รู้ไหมว่าข้าอยากพบเจ้านานแล้ว”
ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตาให้ถังเฉียนไม่ต้องถอดหน้ากากออก เพื่อเป็นการเคารพประเพณีของเผ่าม้ง เนื่องจากที่เผ่าม้งหมอผีจะได้รับการเคารพอย่างสูง ขณะนี้อันกุ้ยเฟยกำลังเผชิญหน้ากับอาหรูน่าซึ่งมีบุปผาทองสองวง
“พบพระสนมยังไม่คุกเข่าลงอีก ถอดหน้ากากเจ้าออก ไม่ยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงเพราะเจ้ามีเจตนาร้ายแอบแฝงใช่หรือไม่”
ถังเฉียนพนมมือคารวะ แล้วหันมามองซูซินเหลียน จากนั้นจึงพูดด้วยภาษาเหมียวเจียง หงอวี้ฟังไม่ออก ซูซินเหลียนจึงบอกว่า
“เจ้าอย่าพูดซับซ้อนเช่นนั้น นางฟังไม่เข้าใจหรอก”
สีหน้าซูซินเหลียนไม่พอใจ กลับทำให้หงอวี้คิดว่าถังเฉียนฟังที่พวกนางพูดไม่เข้าใจจริงๆ จึงแกล้งร้องด่า
“คนเผ่าม้งล้วนโง่ดักดาน พระสนม ข้าว่าไม่จำเป็นต้องเก็บนางไว้ ในเมื่อนางกล้าทำลายแผนของท่าน ก็ฆ่าทิ้งดีกว่าเพคะ”
หงอวี้แกล้งพูดหยั่งเชิงดู แต่ซูซินเหลียนใช้ภาษาเผ่าม้งอธิบายให้ถังเฉียนฟังทันที ถังเฉียนถอยหลัง แล้วมียุงตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วนบินว่อนรอบตัวนาง จากนั้นหงอวี้ก็ถูกยุงกัดตามใบหน้าและคอ นางตั้งท่าจะตี แต่ถังเฉียนตะโกนบอกว่า
“อย่าแตะต้อง ไม่เช่นนั้นต้องตาย!”
ประโยคนี้พูดชัดเจนมาก ทุกคนในที่นี้ต่างตกใจเมื่อได้ยิน ถังเฉียนพูดจบก็ปล่อยเสี่ยวจินออกไป สายตาจ้องมองที่หงอวี้ ทำให้อันกุ้ยเฟยพลอยหวาดกลัวรีบถอยไปหลบข้างหลัง ทุกคนต่างหวาดผวา เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ คนในวังหลวงล้วนหวาดกลัว ตื่นตระหนก
“เพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะ!”
หงอวี้ยังไม่ทันหวีดร้อง ก็มีชายผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังพวกนาง เขาสวมชุดยาวสีดำ แค่เขาร้องออกมาก็ทำให้ทุกคนสงบลง แม้แต่อันกุ้ยเฟยก็ไม่โกรธ
“ท่านนักพรต ช่วยข้าด้วย”
พอชายคนนี้ได้ยินก็ออกจากด้านหลังมาอยู่ข้างๆ พวกนาง เหลือบมองถังเฉียน แล้วหันไปมองเสี่ยวจิน เขามองออกทันทีว่าในหมู่แมลงเหล่านี้ เสี่ยวจินพิเศษกว่าตัวอื่น
“หมอผีเชี่ยวชาญการใช้พิษ โดยเฉพาะหมอผีสมุนไพรใช้ยาพิษแล้วยากที่จะป้องกันได้ วันนั้นที่ฝ่าพระบาทเรียกตัวหมอผีเข้าเฝ้า กระหม่อมทูลแล้วว่าถ้านางคิดจะลงมือ แม้แต่กระหม่อมเองก็ขัดขวางไมได้ แต่ดูแล้วนางไม่มีเจตนาจะวางยาพิษ องค์กุ้ยเฟยอยู่ในสภาพเดียวกัน ถ้านางคิดจะลงมือ พระสนมและทุกคนที่นี่จะกลายเป็นน้ำเลือดไปแล้ว”
น้ำเลือด?
ถังเฉียนเองยังไม่รู้ว่าตนเองมีความสามารถขนาดนี้ แม้ว่าเหล่าหมอผีจะเก่งกาจไม่น้อย แต่ไม่ได้เก่งกาจเลิศเลออย่างที่นักพรตพูดยกยอ เท่าที่ถังเฉียนรู้ ต่อให้เป็นยาพิษศพพันปีที่ร้ายกาจที่สุด ถ้าจะใช้ฆ่าคนมากมายอย่างนี้ ต้องใช้เวลาพอสมควร ยิ่งถ้าจะทำให้ละลายกลายเป็นน้ำเลือด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม