ตอนที่ 276 พี่หวังหยวน
หวังหยวนออกไปรบนอกเมืองหลวง สองครอบครัวอยากรอให้เขากลับมาค่อยหมั้นหมายกัน คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ได้กลับมา ก็เกิดเหตุร้ายกับครอบครัวสกุลถังแล้ว ทำให้กลายเป็นนักโทษ ด้วยความผูกพันในอดีตหลายปี ทำให้ถังเฉียนอยากลองเสี่ยงดู
“พูดอะไรโง่ๆ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้ายังคงเป็นเฉียนเอ๋อร์ของข้าเสมอ ข้าหวังหยวน จะไม่ช่วยเจ้าได้หรือ”
เมื่อหวังหยวนกลับมาทุกอย่างก็ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ถังเฉียนกลายเป็นทาสอยู่ต่างถิ่น การหมั้นหมายที่เคยตั้งใจจึงไม่เกิดขึ้น การพลาดเพียงเล็กน้อย ทำให้เสียโอกาสไป หวังหยวนไม่พบกับถังเฉียนนานแล้ว อยากเดินเข้ามาลูบเส้นผมนาง ส่วนนางเองก็มีคำถามมากมายอยากถามหวังหยวน แต่ไม่อาจเอ่ยปากได้
“พี่หวังหยวน เฉียนเอ๋อร์จะไม่พูดอ้อมค้อม ข้ารู้ว่าพี่มีคำถามมากมาย แต่ตอนนี้เฉียนเอ๋อร์อยากให้พี่ช่วย พี่ยินดีช่วยข้าหรือไม่”
หวังหยวนฟังที่นางพูดก็แปลกใจ แล้วพูดว่า
“เจ้าบอกมา…”
ถังเฉียนจึงเอาป้ายพยัคฆ์ออกมา นางไม่ได้บอกว่านางเป็นหมอผี แต่บอกว่าท่านอ๋องช่วยบิดานางไว้ นางอยากตอบแทนพระคุณ ไม่อาจปล่อยให้ท่านอ๋องต้องเสียชีวิต มีเพียงป้ายพยัคฆ์อันนี้จึงจะช่วยชีวิตจินซิวอ๋องได้
“เจ้าหมายความว่าที่ท่านอาถังถูกลดโทษเป็นการเนรเทศ เพราะท่านอ๋องช่วยเช่นนั้นหรือ ท่านอ๋องยังให้เจ้ากับพ่อได้พบกัน ท่านสมกับเป็นอ๋องที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างแท้จริง”
ถังเฉียนเห็นว่าเขาตอบรับอย่างน่าฟังจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กุมมือหวังหยวนไว้แล้วพูดว่า
“พี่หวังหยวน ยังจำได้หรือไม่ ก่อนนี้พี่บอกข้าว่าท่านอ๋องเป็นวีรบุรุษที่องอาจกล้าหาญ พี่อยากเป็นยอดบุรุษเช่นเดียวกับเขา ข้าไม่รู้ว่าจะไปหาใครช่วยได้ ที่ข้าคิดออกมีเพียงพี่เท่านั้น ถ้าพี่ไม่ช่วย ท่านอ๋องอาจจะตาย ข้าก็อาจตายด้วย…”
ถังเฉียนกุมมือเขาไว้ จ้องเขาไม่กะพริบตา เมื่อเผชิญกับหวังหยวนย่อมต่างจากคนอื่น ต้องทำให้เขายินยอมด้วยความผูกพันและทำตามด้วยเหตุผล ในเมื่อจินซิวอ๋องคือวีรบุรุษในใจเขา เขาก็น่าจะช่วยเหลือ
“อันกุ้ยเฟยมีคำสั่งห้ามพวกเจ้าออกจากเมืองเด็ดขาด ท่านอ๋องร้ายกาจมาก ถึงกับใช้เจ้ามาเป็นจุดอ่อนเพื่อเล่นงานข้า”
ถังเฉียนดึงมือเขาแล้วพูดว่า
“พี่หวังหยวน ท่านอ๋องเป็นวีรบุรุษ เพียงแต่ตกต่ำลงชั่วคราว เจ้าย่อมเข้าใจดี ถ้าผ่านอุปสรรครอดจากภัยครั้งนี้ไปได้ เขาย่อมมีโอกาสรุ่งโรจน์ ท่านต้องจดจำทีพี่ช่วยท่านไปตลอดชีวิต”
หวังหยวนยื่นมือมาจับไหล่ถังเฉียน ดึงให้ศีรษะนางซบกับไหล่ตน
“เจ้ารู้ว่านี่เป็นความผิดถึงขั้นประหาร ถ้าทำให้อันกุ้ยเฟยไม่พอใจ ครอบครัวข้าย่อมประสบภัย โดยเฉพาะพ่อข้ามีตำแหน่งสูง ไม่กล้าก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว อยู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์ อยู่กับราชันเหมือนอยู่กับพยัคฆ์”
ถังเฉียนคิดว่าเขาคงปฏิเสธ เพราะอย่างเรื่องแบบนี้คนทั่วไปย่อมไม่ตกลงแน่นอน แต่เขากลับกอดถังเฉียนไว้ กอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“แต่คนที่มาหาข้าคือเจ้า ข้าย่อมไม่อาจทนดูเจ้าตายได้ วางใจเถอะ ข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าแน่นอน”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็คลายความกังวลลง แม้นางเสี่ยงอันตรายแต่ก็เลือกถูกคนแล้ว
“ข้าห่วงใยเจ้าตลอดเวลา ไหว้วานคนสืบดูว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างที่เผ่าม้ง คนที่กลับมาบอกว่าเจ้าตายแล้ว ข้าเสียใจอยู่นาน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเห็นสัญลักษณ์พิเศษระหว่างเราที่หน้าประตู ข้าเพียงแต่คิดว่าลองดูเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ สวรรค์ทรงทำให้ให้ข้าประหลาดใจมาก”
ถังเฉียนได้รับการโอบกอดและคำมั่นสัญญา ความทุกข์ยากในใจได้รับการปลดปล่อยออกไป นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตนเองได้ จนร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก
ตอนที่ 277 หงส์ทำรัง
ขณะนี้การคิดจะออกจากเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ว่าหวังหยวนจะยินดีช่วยนางก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากอยู่ เขาสังกัดกองทหารราชองครักษ์ จึงหาโอกาสและเหตุผลที่จะออกไปจากเมืองหลวงได้ยาก แต่หวังหยวนบอกนางว่าเขาจะไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม ครั้งนั้นเพราะจินซิวอ๋องช่วยทูลขอร้องแทนองค์ชายสาม เขาจึงถูกอันกุ้ยเฟยเล่นงาน ต่อมาจึงถูกบีบให้ไปยังหนานเจียง ถ้าในหมู่คนชั้นสูงทั่วเมืองหลวง คนที่น่าจะช่วยมากที่สุด ก็คงเป็นองค์ชายสามนี่เอง
ก่อนที่หวังหยวนจะผละไป ยังพูดคำพูดที่ชวนให้เศร้าใจกับถังเฉียน
“ถึงจะต้องผ่ายผอมไม่ตรอมใจ เพื่อเจ้าไซร้ข้ายินดีที่ซูบเซียว”
คำพูดนี้ไม่เหมือนออกจากปากเขาเอง ถังเฉียนจำได้ว่านางเคยท่องกลอนวรรคนี้ เพราะจินซิวอ๋องเคยบอกว่านี่เป็นบทกวีหงส์ทำรังแต่งโดยหลิ่วหย่ง วรรคนี้ไม่เลวเลย แต่ความหมายของท่านอ๋องคือจะต้องหวังความก้าวหน้า มุ่งมั่นอย่างไม่ย่อท้อ แต่พอหวังหยวนพูดกลับกลายเป็นคำบอกรัก แต่ขณะนี้ถังเฉียนไม่มีความคิดเช่นนี้และไม่กล้าคิดเรื่องอื่น
มีชีวิตอยู่ต่อไป ขอให้คนที่นางห่วงใยมีชีวิตอยู่ต่อไปคือเรื่องเดียวที่นางคาดหวัง หวังหยวนเคยบอกว่าตัวเขาเป็นผู้ฝึกวิชาบู๊ไม่รู้จักพูดคำหวาน แต่เขาจำได้ว่าเขาฝึกฝนมาหลายปี ทุกครั้งที่บาดเจ็บล้วนเป็นถังเฉียนที่ทำแผลให้เขา เธอรู้ความเป็นมาของบาดแผลทุกแห่งบนตัวหวังหยวน
เขารู้ว่าทุกครั้งที่นางเศร้าใจหรือดีใจมาจากสาเหตุอะไร แต่วันนี้เขากลับมองไม่ออกแล้ว ดูเหมือนถังเฉียนจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพียงแต่เขามองไม่ออกว่าถังเฉียนเปลี่ยนไปตรงไหนกันแน่
วันรุ่งขึ้นถังเฉียนได้ข่าวว่าคนที่หวังหลงไปหานั้นได้หักหลังเขา ทำให้กองทหารเข้าล้อมจวนจินซิงอ๋องไว้ อ้างว่าจะจับตัวคนร้ายที่ลอบสังหารมหาเสนาบดี และไม่สนใจว่ามีมือสังหารที่ว่าจริงหรือไม่ แต่หวังหลงหนีออกไปทางอุโมงค์ลับทันที จนกระทั่งหนีกลับมาที่จวนสกุลถังจึงตระหนักว่าใจคนไม่อาจผ่านการทดสอบได้เช่นนี้เอง
“ท่านหมอ เวลานี้เราจะทำเช่นไรดีขอรับ”
ครั้งนี้ซูซินเหลียนเองก็ท้อใจ จึงมองถังเฉียนอย่างซื่อๆ แล้วพูดว่า
“ว่าตามเหตุผลแล้วข้าเป็นตัวเอกต่างหาก”
ถังเฉียนหันมามองนางแล้วพูดว่า
“ถึงจะเป็นตัวเอกก็ไม่ได้หมายความว่าที่เจ้าพูด คิดหรือทำจะต้องถูกต้อง เราต้องเท่าเทียมกัน ไม่แน่นะเจ้าอาจจะเติบโตขึ้นก็เป็นได้”
คำพูดนี้ของถังเฉียน นางฟังมาจากเถิงอวิ๋น นางเคยบอกเถิงอวิ๋นว่าซูซินเหลียนมักจะพูดว่าตัวเองเป็นตัวเอก ยิ่งฟังที่นางพูดก็จะยิ่งรู้สึกว่าแปลก แต่หลังจากที่เถิงอวิ๋นพูดเช่นนี้กับนาง นางจึงนำมาพูดกับซูซินเหลียน ทำให้ซูซินเหลียนตกใจมาก จ้องมองถังเฉียนไม่วางตา ราวกับนางเป็นตัวประหลาด
ลำบากแทบแย่กว่าจะอดทนรอถึงกลางคืน นางอดถามถังเฉียนไม่ได้ว่า
“เจ้าก็ทะลุข้ามมิติมาใช่หรือไม่ ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า ก็รู้สึกแล้วว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่น บอกมาว่าเจ้ามาจากสมัยใด ดูแล้วสภาพเราสองคนค่อนข้างจะซับซ้อน”
ถังเฉียนกดมือนางไว้แล้วพูดว่า
“ข้าไม่ได้ข้ามมิติอะไรหรอก แต่เบื้องหลังข้ามีคนผู้หนึ่ง เขาเป็นคนที่ลึกลับมาก รู้ดาราศาสตร์บนฟ้า รู้ภูมิศาสตร์บนดิน ไม่มีเรื่องอะไรบนโลกนี้ที่เขาไม่รู้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทะลุมิติมาหรือเป็นอย่างอื่น เขาย่อมรู้”
ถังเฉียนพูดเช่นนี้ทำให้ซูซินเหลียนยิ่งอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น นางกุมมือถังเฉียนแน่นแล้วพูดว่า
“เพราะเหตุนี้ที่เจ้าจึงบอกว่าผังทงไม่น่าไว้ใจ เป็นเขาที่บอกเจ้าใช่หรือไม่”
ถังเฉียนสั่นศีรษะ
“เพราะข้ารู้ว่าคนปากมากอย่างผังทงย่อมไม่น่าไว้ใจ ที่จริงเขามีชาติกำเนิดต่ำต้อย สามารถมีตำแหน่งสูงเช่นนี้ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ แสดงว่าต้องคอยประจบสอพลอทุกฝ่าย อย่าไปคาดหวังว่าคนเช่นนี้จะซื่อสัตย์ เขาเคารพนับถือเฉพาะคนที่กุมอำนาจ มีตำแหน่งสูง เพราะข้าเคยเห็นคนประเภทนี้มานักต่อนัก”