ตอนที่ 372 เป็นที่โปรดปราน
ฉู่จิ่งเหยาทรงโอบถังเฉียนไว้ แล้วพานางเสด็จกลับมายังวังที่ประทับ
ระหว่างทางเห็นนางสนมกลุ่มเล็กๆ กำลังพูดคุยกัน พวกนางฉวยโอกาสที่อากาศดีซึ่งหาได้ยาก ออกมาเดินสูดอากาศ
แม้ว่าในตำหนักจะอุ่นขึ้นแล้วแต่ยังคงจุดเตาทำให้อุ่นอยู่ จึงยังคงอึดอัดไม่น้อย
ฉู่จิ่งเหยาเสด็จตลอดทางโดยไม่เหลือบพระเนตรไปข้างๆ เหมือนมองไม่เห็นเหล่าสนมที่ยืนกรีดกรายชายตาให้พระองค์ หลายคนที่ไม่ยอมแพ้อยากจะเข้ามาประจบประแจง ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกราชองครักษ์ขวางไว้
ถังเฉียนแอบถอนหายใจ ได้แต่มองสายตาของพวกนางที่แค้นเคืองจนแทบอยากจะแล่เนื้อเถือหนังนาง นางรู้ดีว่าชีวิตวันหน้าในวังคงจะลำบากยากเย็นขึ้น
แต่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ข้างตัวนางนั้น จะเชิญมาก็ไม่ได้ จะส่งกลับก็ไม่ได้เช่นกัน
แต่ที่นางไม่รู้ก็คือในวังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุดนั่นคือคนที่คอยดูทิศทางลม ใครเป็นคนที่ทรงโปรดปราน คนนั้นย่อมโดดเด่น คิดจะทำสิ่งใดก็ต้องชั่งน้ำหนักแล้ว
ฉู่จิ่งเหยาทรงโอบถังเฉียนเข้ามาในวังที่ประทับ พระองค์ยังไม่ทันประทับนั่ง สีพระพักตร์ก็หมองคล้ำลง หรูอี้ตกใจจนรีบคุกเข่าลงทันที ราชองค์รักษ์กลุ่มใหญ่ที่ตามมาข้างหลังก็พากันคุกเข่าลงกับพื้นเป็นพรืด
ถังเฉียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นใบหน้าหรูอี้ขาวซีด จึงอยากยืนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่คาดไม่ถึงว่าแขนบนไหล่จะหนักอึ้งราวกับพันชั่ง ขยับตัวไม่ได้เลย
สีพระพักตร์ฉู่จิ่งเหยาหมองคล้ำ ครู่หนึ่งจึงตรัสช้าๆ ว่า
“อะไรกัน เจิ้นถึงกับไม่รู้ว่ากุ้ยเหรินในวังยังเทียบหัวหน้าขันทีไม่ได้ แม้แต่ถ่านก็ยังเอามาให้ไม่ได้!”
ถังเฉียนรู้ว่าฉู่จิ่งเหยาทรงกริ้ว หรูอี้ไปขอร้องหลายครั้ง แต่กลับถูกเพิกเฉย แต่หัวหน้าขันทีไม่ยอมให้ มีหรือนางกำนัลอย่างนางจะสามารถแย่งชิงได้
แต่เรื่องนี้ผ่านไปนานแล้ว เวลานี่เพิ่งเอ่ยถึง พระองค์จะทรงทำอะไรกัน
หรูอี้คุกเข่าใบหน้าขาวซีดนานแล้ว หน้าผากนางเขียวช้ำ แต่ยังคงโขกศีรษะลงบนพื้นหินแรงๆ ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวด
“ฝ่าพระบาททรงโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ! เป็นความผิดของบ่าวเอง โปรดทรงอภัยบ่าวครั้งนี้ด้วย ต่อไปบ่าวจะทุ่มเทรับใช้กุ้ยเหรินสุดชีวิตเพคะ”
ฉู่จิ่งเหยาทอดพระเนตรนางอย่างเย็นชา ในที่สุดถังเฉียนก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ นางยืนพิงฉู่จิ่งเหยา กระแอมแล้วทูลว่า
“ฝ่าพระบาทเพคะ ทรงอภัยนางเถอะ หรูอี้รับใช้สุดความสามารถแล้ว หม่อมฉันใช้นางด้วยความสบายใจ ขืนอย่างนี้ต่อไปนางอาจจะบาดเจ็บ จะไม่มีคนที่หม่อมฉันพอใจอีกแล้วเพคะ”
ฉู่จิ่งเหยาไม่ตรัสเรียกให้หรูอี้ลุกขึ้นทันที ท่าทางเหมือนทรงแย้มพระสรวลแต่ก็ไม่เชิง ทอดพระเนตรมองถังเฉียนแวบหนึ่ง เชิดมุมพระโอษฐ์ขึ้น แล้วตรัสว่า
“อะไรกัน ถึงตอนนี้เพิ่งขอร้องเจิ้นหรือ ก่อนหน้านี้หนาวจนแทบแข็งตาย เหตุใดไม่เห็นเจ้าทูลขอร้องเจิ้นล่ะ”
ถังเฉียนยิ้มร่า แล้วก้มหน้าลงไม่ทูลตอบ ในใจแอบนึกน้อยใจ “ไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงบอกเป็นนัยหรือ? ทุกอย่างในวัง มีอะไรที่รอดพ้นสายพระเนตรบ้าง”
ฉู่จิ่งเหยาทรงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง สุดท้ายทรงเรียกให้หรูอี้ลุกขึ้น แล้วตรัสกับถังเฉียนว่า
“เวลานี้คนในตำหนักเจ้าไม่รักษาแบบแผนหนักยิ่งขึ้น วันนี้อากาศเพิ่งอุ่นขึ้นแต่ยังหนาวเย็น พวกนั้นก็ชวนให้เจ้าออกมา ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงดี ยังกล้าทำเรื่องเหลวไหลไปกับคนรับใช้ที่ไม่รู้จักคิด”
ถังเฉียนก้มหน้า ไม่พูดอะไร ยอมรับคำตำหนิอย่างว่าง่าย คนในห้องต่างฟังเข้าใจแล้ว ล้วนยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ นี่เป็นการที่ฮ่องเต้ทรงเชือดไก่ให้ลิงดู
ฉู่จิ่งเหยากอดถังเฉียนไว้ แล้วมีพระบัญชาให้ทุกคนถอยออกไป พร้อมกับมีรับสั่งให้วันนี้อาหรูน่ากุ้ยเหรินพักที่วังที่ประทับ
เพิ่งทรงกริ้ว ทำให้ทุกคนหวาดผวาจนเงียบกริบ แล้วรีบพากันออกไปจากตำหนักใหญ่
ขันทีชราซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มองดูท้องฟ้า แล้วแอบถอนหายใจ ท้องฟ้าเช่นนี้ เกรงว่าจะแปรปรวนแน่นอน
ตอนที่ 373 พระราชพิธีพระศพ
ในช่วงพระราชพิธีพระศพ ฉู่จิ่งเหยาย่อมไม่มีโอกาสทำในเรื่องที่ไม่อาจบรรยายได้
แต่เมื่อเรื่องที่อาหรูน่าค้างคืนในวังที่ประทับแพร่สะพัดออกไป ผลร้ายย่อมไม่ตกที่ฮ่องเต้ แต่นางกลับกลายเป็นนางมารที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองและราษฎร
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงวันรุ่งขึ้น อาหรูน่ากุ้ยเหรินเดินกุมบั้นเอวออกมา เพิ่งกลับมาที่ตำหนักก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมเฉียนปิน ทั้งยังได้รับพระราชทานแก้วแหวนเงินทองจากคลังหลวงจำนวนหนึ่ง
ไม่รู้ว่ามีพระสนมกี่นางที่แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โดยเฉพาะเศษแจกันกระเบื้องที่ถูกเก็บกวาดออกไปก็เป็นกระบุงใหญ่
น่าเสียดายเครื่องเคลือบดินเผาล้ำค่าเหล่านั้น ลวดลายที่วิจิตรพิสดารเป็นแผ่นๆ ต้องถูกฝังซ่อนไว้ในมุมมืดสักแห่ง ราวกับพระนางสนมซึ่งทุกวันเฝ้ารอให้เป็นที่โปรดปราน ถูกวันเวลาฝังกลบรูปโฉมที่สวยงาม
ถังเฉียนไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ นางทุบหลังให้ฮ่องเต้มาตลอดคืน จนปวดเมื่อยเอวและแข้งขาอ่อนแล้ว เมื่อหรูอี้พยุงเข้ามาในตำหนักก็นอนหลับทันที
นางนอนหลับไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเรื่องของนาง ทำให้วังหลวงปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด
ชีวิตนางดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนนัก แต่พอถึงเวลาอาหาร ขันทีน้อยที่มารับใช้ดูขยันขันแข็งเป็นพิเศษ ยกอาหารเลิศหรูในวังเข้ามา
เรื่องเหล่านี้หรูอี้เป็นคนคอยดูแล แต่พอเพิ่งยกอาหารเสร็จเรียบร้อยก็เกิดเรื่องขึ้น
อาหารที่มาล้วนเลิศหรู แต่ระหว่างพระราชพิธีพระศพ ต้องงดของคาวอย่างน้อยสามเดือน อาหารเต็มโต๊ะ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นผักกับเต้าหู้ทั้งสิ้น
ตามระเบียบแล้วหรูอี้ต้องชิมอาหารก่อน แต่พอเต้าหู้ชิ้นหนึ่งเข้าปาก สีหน้านางก็เปลี่ยนไปทันที นางคายอาหารออกมา แล้วตบหน้านางกำนัลที่ยกอาหารมาจนตัวหมุนสามรอบ
ถังเฉียนสะดุ้ง คิดว่าในอาหารมียาพิษ พอจะตรวจดูก็ได้ยินหรูอี้ตะคอกสาวใช้คนนั้นเสียงกร้าว
“นางหน้าโง่ ไม่รู้หรือว่านี่เป็นช่วงพระราชพิธีพระศพ บังอาจเอาอาหารคาวปนเข้ามาด้วย คิดจะทำให้พระสนมเฉียนทำผิด ละเมิดข้อห้ามอย่างนั้นหรือ”
นางกำนัลน้อยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คุกเข่าลงโขกศีรษะอ้อนวอน ขอให้ไว้ชีวิต หรูอี้ร้องเรียกทหารองครักษ์ให้ลากตัวนางออกไป ยังต้องไปขุดหาตัวพ่อครัวจากครัวหลวงให้ได้
รอจนอาหารเหล่านั้นถูกยกออกไปหมดแล้ว หรูอี้จึงมาพูดขอโทษกับถังเฉียน
“พระสนมวางใจเถอะ ท่านไม่ได้แตะของคาวแม้แต่น้อย ก่อนที่บ่าวจะเข้าวัง ที่บ้านเปิดร้านเหล้า ถึงจะซ่อนเข้ามาในผักอย่างไร ถ้าผ่านปากบ่าว ย่อมหลอกไม่ได้ เดี๋ยวบ่าวจะไปครัวหลวง ทำอาหารหนึ่งโต๊ะมาให้พระสนมด้วยตัวเองเพคะ”
ถังเฉียนบิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างไม่รู้ตัว แล้วร้องอืมเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ นางมองดูหรูอี้ผละออกไป แล้วรู้สึกหวั่นใจ
ถึงตอนนี้นางจึงรู้ความร้ายกาจในวังหลวงอย่างแท้จริง แค่อยู่ค้างคืนเพียงคืนเดียว ก็ถูกคนหาทางใส่ร้ายว่าไม่เคารพอดีตฮ่องเต้ ถ้าไม่ใช่เพราะหรูอี้…
นางรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ภายในกำแพงสีแดงนี้มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมากเหลือเกิน ต่างใช้เล่ห์กล ต่อสู้กันทั้งในทางลับและแจ้ง ล้วนเพื่อบุคคลที่ประทับนั่งสูงบนบัลลังก์มังกรสีเหลือง
ตัวนางเอง วันหน้าจะใช้ชีวิตแบบนั้นหรือไม่…
หรูอี้ฝีมือดีเยี่ยม อาหารสองสามอย่างที่ยกมาส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทำให้น้ำลายสอ แต่ถังเฉียนที่เมื่อครู่หิวมาก แต่ขณะนี้กลับกินอะไรไม่ลง
หรูอี้เดินมา ประคองถังเฉียนให้นั่งลงที่โต๊ะ แล้วพูดเบาๆ ว่า
“พระสนมเพคะ ในวังก็เป็นเช่นนี้ วันเวลาเปลี่ยนไป เดี๋ยวจันทร์กระจ่าง เดี๋ยวบุปผาเ**่ยวเฉา ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไรหรอกเพคะ”
ถังเฉียนนิ่งเงียบ ดวงตายังคงสดใสเช่นเดิม นางมองดูหรูอี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า