ตอนที่ 374 ชิงช้า
หลายวันนี้ฉู่จิ่งเหยาเสด็จมาหาบ่อยครั้ง ทุกวันทรงขลุกอยู่ที่ตำหนักของถังเฉียน ระยะนี้นางจึงกลายเป็นคนโปรดที่ไม่มีใครเทียบ
วันก่อนหรูอี้พาถังเฉียนออกไป เจอฝ่าพระบาทโดยบังเอิญวันนี้อากาศแปรปรวน หรูอี้จึงไม่กล้าพานางออกมาเที่ยวเล่น
บัดนี้ในตำหนักไม่ขาดแคลนอะไร ทุกวันมีคนมาเยี่ยมจนรับแทบไม่ไหว ทำให้แทบไม่มีโอกาสไปยืมข้าวของจากหนิงกุ้ยเฟยมาอวดบ้าง
วันนี้นางว่างมาก จึงเรียกหรูอี้มานั่งชิงช้ากับนาง
หรูอี้เรียกคนมา ชั่วประเดี๋ยวก็ติดตั้งชิงช้าผูกด้วยเชือกสีในลานตำหนัก ชิงช้าทำขึ้นอย่างประณีต ที่นั่งมีเบาะนุ่ม
ถังเฉียนโยกชิงช้าไปมาช้าๆ ลมเย็นปะทะบนใบหน้า กำแพงวังสีแดงเคลื่อนไหวขึ้นลงในสายตา ถ้าโยกขึ้นสูงยังสามารถมองเห็นท้องฟ้าผืนเล็กนอกวังได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกหลอนหรือไม่ นางเห็นท้องฟ้านอกวังเหมือนจะสีฟ้าเข้มกว่าในวัง
นางหยุดโยกครู่หนึ่ง แล้วรู้สึกอ่อนล้า ท่านั่งตรงค่อยๆ อ่อนยวบลง สุดท้ายเอนฟุบลงบนชิงช้า
นี่เป็นความฝันที่ทั้งยาวนานและมืดดำ ในนั้นเต็มไปด้วยความอึมครึมที่ชวนให้หายใจไม่ออก ราวกับสัตว์ร้ายขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ แล้วลากนางจมดิ่งลงไปในเหวลึกที่ไม่ที่สิ้นสุด
ถังเฉียนสะดุ้งตื่นเพราะน้ำเย็นเฉียบที่หยดลงบนแก้ม นางลืมตาขึ้นทันที ใบหน้าคมสันที่ใกล้จนขนตาแทบจะชนกันเข้าสู่ม่านตานาง
นางอยากถอยไปข้างหลัง แต่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแกมบังคับ ตะคอกเบาๆ “อย่าขยับตัว!”
ถังเฉียนฟังออกว่าเป็นเสียงฉู่จิ่งเหยา นางจึงหยุดนิ่งทันที แล้วจึงรู้ตัวว่าถูกฉู่จิ่งเหยาอุ้มขึ้นมาแล้ว ที่หยดลงบนหน้าทำให้นางตื่นก็คือน้ำฝนหยดหนึ่ง
“ฝ่าพระบาท…?”
“หุบปาก นอนอยู่ในอ้อมกอดเจิ้นดีๆ”
พระสุรเสียงของฉู่จิ่งเหยาตัดคำพูดนาง ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกหลอนหรือไม่ ถังเฉียนรู้สึกเสมอว่าเสียงนี้ดูเหมือนจะหงุดหงิดจนกลายเป็นโมโห
พอถังเฉียนมองไปข้างหลัง หรูอี้ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง นางรู้สึกแปลก ตามเหตุผลแล้วหรูอี้ย่อมไม่ปล่อยให้นางอยู่บนชิงช้าตากฝนเด็ดขาด อีกอย่าง…ครั้งนี้ฉู่จิ่งเหยาไม่ทรงกริ้ว
นางอยากจะถาม แต่พอมองผ่านไหล่ฉู่จิ่งเหยาก็เห็นใบหูแดงเรื่อ
ความแปลกใจยับยั้งไม่ให้นางเอ่ยถาม
ถังเฉียนซุกศีรษะแนบพระอุระฉู่จิ่งเหยา ปล่อยให้พระองค์อุ้มตนเองเข้าไปในตำหนัก จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงนุ่ม มองดูฉู่จิ่งเหยาตรัสสั่งอย่างรวดเร็ว แล้วทรงเสด็จนำราชองครักษ์และนางกำนัลออกไปจากตำหนัก
มองตามหลังไปดูท่าทางเหมือนเสด็จผละไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ถังเฉียนกวาดตามองหรูอี้แวบหนึ่ง ถ้านางไม่ได้ตาฝาด ขณะที่พระองค์เสด็จออกไปเหมือนจะมองนางด้วยสายพระเนตรที่เตือนให้ระวังตัว
หรูอี้รอจนฉู่จิ่งเหยาเสด็จไปแล้วจึงเงยหน้าขึ้น สีหน้าปลาบปลื้มดีใจ นางอมยิ้ม พูดจาอ่อนหวานกว่าก่อน
“พระสนม ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พระสนมอยากกินอะไร บ่าวจะไปห้องครัวหลวงทำให้เพคะ”
ถังเฉียนมองอย่างพิเคราะห์ ไม่เห็นความผิดปกติบนสีหน้าหรูอี้ จึงตอบว่า
“กับข้าวอะไรก็ได้สักสองสามอย่าง…เมื่อครู่ฝ่าพระบาททรงทำอะไรบ้าง”
หรูอี้ยิ้มแล้วขานรับ แต่ไม่ตอบประโยคสุดท้าย เพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า
“พระสนม ฝ่าพระบาททรงดีต่อพระสนมมากจริงๆ เพคะ”
แต่ครึ่งฟ้าสว่างครึ่งฟ้าฝนตก ขณะที่ตำหนักถังเฉียนกำลังเบิกบานแจ่มใส ที่ตำหนักของอันกุ้ยเฟย ไม่สิ บัดนี้ควรเรียกว่าอันไท่เฟย ของล้ำค่านับไม่ถ้วนเผชิญกับภัยพิบัติ
ตอนที่ 375 แผนร้าย
ไม่รู้ว่าแจกันถูกทุ่มแตกเป็นใบที่เท่าไหร่แล้ว ทุกครั้งที่ทุ่มแตกหนึ่งใบ เสี่ยวเต๋อจื่อก็ตัวสั่นทีเพราะนึกเสียดาย อยากห้ามแต่ก็ไม่กล้า
“เพล้ง!” เป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าอีกชิ้น อันกุ้ยเฟยสะบัดชายแขนเสื้อ ทุ่มมันลงพื้นอย่างสุดแรง นางทุ่มเทสุดชีวิตแล้วไม่ได้ก็เป็นสตรีที่ฝ่าบาทรัก เหมือนร่างกายจะสามารถแหลกเหลวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนดั่งแจกันใบนี้
ดวงตานางแดงก่ำ ไม่มีความสง่างามอย่างที่องค์ไท่เฟยพึงมีแม้แต่น้อย อสรพิษแห่งความริษยาคืบคลานเข้าไปในหัวใจนางแล้ว กัดกินจนกลายเป็นโพรงคดเคี้ยว
“กล้าดีอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นกล้าดีอย่างไร หึ ก็แค่บังเอิญเคยช่วยชีวิตฝ่าพระบาท แม้แต่ความจำของตนเองก็ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาทเช่นนี้!”
“ที่ข้าเทียบนางไม่ได้ตรงไหนทั้งๆ ที่เป็นช่วงพระราชพิธีพระศพ ยังให้นางค้างคืนในตำหนัก นางจิ้งจอกแปลงร่างเป็นคนชัดๆ ใช้ทุกวิธีเพื่อยั่วยวนฝ่าพระบาท!”
คนในตำหนักได้แต่มองหน้ากันไปมา ยืนก้มหน้านิ่ง
ที่อันไท่เฟยมีอาการคลุ้มคลั่งเยี่ยงนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่นางได้รับแจ้งจากสายสืบจนถึงเดี๋ยวนี้ นางได้รับรายงานว่าฝ่าพระบาททรงทอดพระเนตรถังเฉียนอย่างลุ่มหลงเกือบครึ่งชั่วยาม สุดท้ายพระองค์ทรงอุ้มนางเข้าไปในตำหนัก
ทั่วทั้งตำหนักปกคลุมด้วยบรรยากาศที่อึมครึม
อันไท่เฟยหายใจหอบ รอจนพระนางสงบลงแล้ว นางกำนัลคนสนิทจึงเดินตัวสั่นมาใกล้ แล้วทูลว่า
“ไท่เฟยเพคะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ คราวก่อนผู้หญิงคนนั้นโชคดี ไม่ตกหลุมพรางที่เราดักไว้ นางสารเลวนั่นมองออกว่าในเต้าหู้มีเนื้อปนอยู่ แต่ที่นางกลายเป็นที่โปรดปรานเป็นเพียงชั่วคราว จะเลื่อนขั้นอย่างไรก็เป็นแค่พระสนม ท่านเป็นถึงไท่เฟย จะไปถือสานางทำไม”
อันไท่เฟยยิ้มหยัน แล้วว่า
“นางเป็นแค่นางสนมก็จริงหรอก แต่ฝ่าบาททรงลุ่มหลงนางจนขาดสติไปแล้ว จนได้ชื่อว่าผิดข้อห้ามในพระราชพิธีพระศพ ให้นางค้างคืนในตำหนัก เวลานี้ไม่มีอะไรก็จริง แต่ถ้านางปีกกล้าขึ้นเมื่อไหร่ ถ้าข้าอยากทำอะไรก็คงสายไปแล้ว!”
ฉางหงฝืนยื้มแล้วทูลว่า
“ไท่เฟยพูดอะไรเช่นนั้นเพคะ ใครๆ ก็รู้ว่าคืนนั้นฝ่าพระบาทประทับนั่งในห้องทรงพระอักษรทั้งคืน ผู้หญิงคนนั้นก็แค่อยู่คอยรับใช้ ถ้าจะมีอะไรก็แค่อยากลองของแปลกใหม่ คิดดูสิ ถ้าฝ่าพระบาททรงโปรดนางจริงๆ จะให้นางคอยรับใช้งานทรงพระอักษรหรือเพคะ”
อันไท่เฟยเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วใช้เล็บที่ตัดแต่งจนแหลมวาดเป็นวงที่หน้าอก ทิ้งรังสีอำมหิตไว้เป็นสาย
“หึ หรือเจ้าจะบอกว่า เรื่องบ่ายวันนั้นก็แค่ทรงนึกตื่นเต้น พอทรงตื่นเต้นก็เลยประทับยืนทอดพระเนตรอยู่ครึ่งวัน”
ฉางหงฟังน้ำเสียงที่แข็งกร้าวของไทเฟยถึงกับเหงื่อแตก นางก้มหน้านิ่ง คอหอยนางขยับอย่างฉับไว แล้วมีเสียงพูดออกมา
“”ไทเฟย พระองค์อย่าทำอย่างนี้อีกเลย ตอนนี้นางยังห่างไกลจากท่านมาก ฉวยโอกาสที่นางจำอะไรไม่ได้ ชิงลงมือก่อน”
“หือ?”
อันไท่เฟยหรี่ตาลง ท่าทางเหมือนครุ่นคิด แล้วกวาดสายตาผ่านร่างฉางหง หยุดอยู่ที่อกเสื้อที่ชุ่มเหงื่อ แล้วพูดช้าๆ ว่า
“ไม่ต้องก้มหน้าต่ำขนาดนั้น เงยหน้าขึ้น ไหนบอกสิมีวิธีอะไร”
มีอีกาบินผ่านนอกกำแพงวัง เป็นเงาร่างที่ดูประหลาดในยามพลบค่ำ เสียงร้องกาๆ แหบแห้งซ้ำๆ ดังผ่านขอบฟ้า
ความมืดยามค่ำคืนราวกับหมึกเข้ม เหมือนพู่กันใหญ่วาดผ่านไป ปกคลุมวังหลวงเงียบสงัดที่กำลังหลับใหล