ตอนที่ 386 กำไลหยกเฝ่ยชุ่ย
เมื่อฉู่จิ่งเหยาเสด็จมาถึงตำหนักของอันกุ้ยเฟย อันไท่เฟยกำลังกุมมือนาง ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกันอยู่
พระองค์ขมวดพระขนงพลางทอดพระเนตรดูทั้งสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็โบกพระหัตถ์ให้ทั้งสองไม่ต้องถวายบังคม แล้วประทับนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ทรงหยิบถ้วยชาจากโต๊ะไม้จันทน์ขาวแกะสลัก
ระยะนี้เป็นความจริงที่ฉู่จิ่งเหยาจะเสด็จมาที่ตำหนักอี๋ซินของอันกุ้ยเฟยทุกวัน แต่ไม่ได้ทรงหลงเสน่ห์อันกุ้ยเฟยอย่างที่คนภายนอกคิด
พระองค์เสด็จมาทุกวัน แต่แทบไม่ตรัสอะไรกับอันกุ้ยเฟยเลย มักจะทรงเสวยชาและอ่านหนังสือเท่านั้น
ถ้าบอกว่าพระองค์โปรดปรานอันกุ้ยเฟยล่ะก็ สู้บอกว่ากำลังทรงทำงานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จจะถูกต้องกว่า
อันกุ้ยเฟยจากเดิมที่ปลาบปลื้มยินดี พอถึงเวลานี้กลับไม่ยี่หระ ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างนั้นจะรู้สึกสิ้นหวังและว้าเหว่เพียงไร
แต่ในใจนางไม่ยอมแพ้ ทำได้เพียงระบายความไม่พอใจและความแค้นลงไปบนตัวหญิงที่นางอิจฉา
ประทับนั่งไม่นาน ก็มีเสียงประกาศดังขึ้นจากนอกตำหนัก จากนั้นแม่เฒ่าใบหน้าเ**่ยวย่นนางหนึ่งก็เดินเข้ามา ฉู่จิ่งเหยาไม่เคยเห็นหญิงคนนี้ในตำหนัก เห็นอันไท่เฟยมีท่าทางเอาใจใส่นาง ก็อดทอดพระเนตรมองซ้ำอีกไม่ได้
แม่เฒ่าซูเดินเข้ามาในตำหนัก เห็นฝ่าพระบาทประทับนั่งอยู่ด้านข้างจึงรีบคุกเข่าลงกราบถวายบังคม ขณะที่ฉู่จิ่งเหยาโบกพระหัตถ์ให้นางลุกขึ้น ทอดพระเนตรเห็นนางมีท่าทางตื่นเต้นมาก
ดวงตาแม่เฒ่าซูเจิดจ้า พอมองอันไท่เฟยก็มีท่าทางเหมือนอยากพูดแต่ชะงักไว้ พออันไท่เฟยเห็นนางมา ก็ยิ้มแล้วส่งสายตาให้อันกุ้ยเฟย จากนั้นจึงพูดว่า
“เด็กดี วันนี้อยู่คุยกับเจ้าครู่หนึ่ง ทำให้หายอึดอัด ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ข้าจะกลับแล้ว เจ้าไม่ต้องออกไปส่ง อยู่คุยกับฝ่าพระบาทเถอะ”
อันกุ้ยเฟยขานรับ แม่เฒ่าซูเดินตามอันไท่เฟยออกจากตำหนัก แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงร้องตวาดดังขึ้น
“หยุดก่อน!”
แม่เฒ่าซูตกใจจนหมอบลงไปบนพื้น นางกำนัลสองคนรีบเข้ามาพยุงนาง ลำบากแทบแย่กว่าจะยืนได้มั่นคง ยังไม่ทันเงยหน้าขึ้น นางกำนัลที่เข้ามาพยุงก็ดึงมือกลับ จากนั้นก็รีบคุกเข่าลง
ตอนที่นางเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าที่โกรธขึ้ง รวมทั้งดวงตาที่แดงก่ำ นางรู้สึกสมองว่างเปล่าทันที แข้งขาอ่อน แล้วคุกเข่าลง
พออันไท่เฟยตั้งสติได้ คนรอบข้างต่างคุกเข่าลงไปแล้ว นางหันมามองฉู่จิ่งเหยาแล้วทูลถามว่า
“ฝ่าพระบาท มีคนในตำหนักทำอะไรผิดหรือ จนพระองค์กริ้วขนาดนี้”
ฉู่จิ่งเหยาทอดพระเนตรมองข้อมือแม่เฒ่าซู ไม่ใส่ใจกับคำพูดอันไท่เฟย พระองค์ข่มความกริ้วในพระทัยและความรู้สึกหวั่นพระทัยอย่างบอกไม่ถูก แล้วตรัสถามแม่เฒ่าซู
“เงยหน้าขึ้น เจิ้นขอถามเจ้า กำไลหยกเฝ่ยชุ่ยที่มือเจ้า เอามาจากที่ใด”
แม่เฒ่าซูตัวสั่นเทิ้ม รีบกุมมือตัวเองตามสัญชาตญาณ แล้วทูลตอบอย่างปากคอสั่น
“ทูลฝ่าพระบาท เป็นของที่บ่าวเก็บได้โดยบังเอิญบ่าวเห็นว่าสวยดี จึงเอาสวมไว้เพคะ”
ฉู่จิ่งเหยาหรี่พระเนตรลง สายพระเนตรที่ล้ำลึกดูหมองคล้ำ ทรงชะงักเล็กน้อยแล้วตรัสว่า
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เจิ้นเห็นว่ากำไลอันนี้ดูคุ้นตามาก บางทีพระสนมคนไหนอาจทำตกไว้ เจ้าเอามาให้เจิ้นเถอะ!”
แม่เฒ่าซูตัวสั่น ในใจนึกตบหน้าตัวเองหมื่นครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองละโมบ คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
นางถอดกำไลออก วางลงในมือขันทีข้างฝ่าพระบาท เห็นพระองค์ยกกำไลขึ้นทอดพระเนตร จากนั้นก็ตรัสประชดอันไท่เฟยว่า
“ไท่เฟย ต้องอบรมคนในตำหนักให้ดีหน่อย คนในตำหนักเจ้า เจิ้นไม่สะดวกที่จะจัดการ คนที่มือไม้ไม่สะอาด ก็ไม่ควรเอาไว้ในวัง”
ตอนที่ 387 เรื่องราวลุกลาม
ฉู่จิ่งเหยาเพิ่งเสด็จออกจากตำหนัก ถัดมาอันไท่เฟยก็ยกเท้าถีบใส่อกแม่เฒ่าซูจนนางนอนหมอบหายใจหอบอยู่บนพื้นครู่ใหญ่
แม่เฒ่าซูคิดไม่ถึงว่ากำไลหยกเฝ่ยชุ่ยที่ดูพื้นๆ วงนี้ ทั้งยังไม่มีตราหลวงประทับ ก็แค่เครื่องประดับที่ธรรมดาที่สุด กลับทำให้ฝ่าพระบาทลืมพระองค์ได้ขนาดนี้
นางเข้าใจ นางผ่านชีวิตในและนอกวังมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางทำพลาด
อันไท่เฟยไม่กลับแล้ว เดินเข้ามานั่งในตำหนัก รอจนแม่เฒ่าซูตะเกียกตะกายขึ้นมา ก็ตบโต๊ะเสียงดัง
แม่เฒ่าซูที่น่าสงสารเพิ่งลุกขึ้น ก็ต้องคุกเข่าลงไปใหม่ นางโขกศีรษะกับพื้นปลกๆ เหงื่อแตกพลั่กจนชุ่มแผ่นหลัง
“ป้าซู ที่ผ่านมาเราไว้ใจเจ้ามาก ที่ให้เจ้าไปอยู่กับสนมเฉียนก็เพราะไว้ใจเจ้า เจ้าอย่าทำให้เราผิดหวัง”
แม่เฒ่าซูคุกเข่าอยู่กับพื้น ค่อยๆ หมอบลง ฟุบเกาะเท้าอันไท่เฟย แล้วค่อยๆ เอาใบหน้าแนบพื้นรองเท้าของพระนาง
“ไท่เฟยโปรดเมตตา ต่อไปนี้บ่าวจะไม่ละโมบอีก นับจากนี้บ่าวมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนของไท่เฟย ตายไปก็เป็นผีของไท่เฟย”
อันไท่เฟยขยับเท้า แล้วว่า
“ลุกขึ้นเถอะ ป้าซู เจ้าเป็นคนที่เข้าใจอะไรดี ควรจะรู้ว่าของอะไรควรรับ ของอะไรไม่ควรรับ มีแต่รับของที่ควรรับ ติดตามคนที่ควรติดตาม จึงจะได้รับมากขึ้น เจ้าว่าจริงหรือไม่”
แม่เฒ่าซูตอบด้วยเสียงสั่น พอลุกขึ้นก็ได้ยินอันไท่เฟยพูดว่า
“เดี๋ยวให้นางกำนัลสองคนช่วยทายาให้เจ้า จากนั้นส่งเจ้ากลับไป วันหลังต้องระวังตัวหน่อย อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องพบเห็น”
เมื่อฉู่จิ่งเหยาเสด็จกลับมาถึงห้องบรรทมก็ทรงเตะแจกันลายมังกรห้าสีล้มลง ขันทีข้างพระวรกายยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ พระองค์โบกพระหัตถ์ไล่ เขารีบวิ่งออกไป
ฉู่จิ่งเหยาเข้าไปยังห้องด้านใน พระสุรเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า ราวกับหินภูเขาไฟหลอมเหลวที่ถูกกดไว้
“อั้นชี สืบรู้หรือยัง”
คนชุดดำปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง คุกเข่าลงตรงหน้าฉู่จิ่งเหยา
“ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมสืบได้เบาะแสบ้างแล้ว โปรดทรงให้เวลาเกล้ากระหม่อมอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่จิ่งเหยาพยักพระพักตร์
“สามวัน เจิ้นให้เวลาเจ้าสามวัน ถ้ายังหาไม่พบ เจ้ารู้ดีว่าควรจะไปไหน”
คนชุดดำหายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนตอนที่โผล่มา ฉู่จิ่งเหยากำพระหัตถ์แน่น เป็นครั้งแรกที่ทรงรู้สึกย่ำแย่เช่นนี้
ดูเหมือนตั้งแต่แรกเลย ที่พระองค์ทรงทำผิดต่อนาง
ทั้งหมดเริ่มจากเลือด คนอย่างนางเป็นเหมือนดั่งเลือด ค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างพระองค์ พระทัยของพระองค์ ไขกระดูกของพระองค์
ถังเฉียนถูกบังคับให้ตื่น ถูกนางกำนัลลากลงจากเตียง พอเท้าแตะพื้นก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่ม รวมทั้งความเจ็บปวดไปทั่วแผ่นหลัง
แม่เฒ่าซูไม่ได้สั่งใครทายาให้นาง แผ่นหลังน่าจะเน่าเปื่อยแล้ว เมื่อคืนไม่รู้ว่าเสี่ยวจินทำสิ่งใดกับหลังของนาง รู้สึกแผ่นหลังเย็นสบาย จากนั้นความปวดแสบก็หายไป
แต่หลังจากนั้นเสี่ยวจินก็ดูย่ำแย่ มันหมอบอยู่ในชายแขนเสื้อนางอย่างอ่อนแรง ไม่ขยับเขยื้อน
ถังเฉียนร้อนใจแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ยื่นมือไปแตะเสี่ยวจิน บังเอิญถูกหนวดมันตำจนเป็นแผล เสี่ยวจินกินเลือดที่ซึมออกมา ท่าทางมันค่อยๆ ดีขึ้น
นางเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจมาก แล้วแอบเอาเลือดตัวเองทาบนรอยแผลที่มือนางกำนัลคนหนึ่ง เช้าวันนี้มาดูพบว่ารอยแผลนั้นหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
จู่ๆ นางก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรง ราวกับหัวใจถูกอัดแน่นด้วยก้อนน้ำแข็ง ทำให้มีไอเย็นผุดขึ้นในไขกระดูก
นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดฉู่จิ่งเหยาจึงเอานางไว้ในวัง นางคือใครกัน…