บทที่ 222 แผนการของซูเหวินปิน
“พวกเขาเป็นเพื่อนๆ ที่มาช่วยเรา เป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ ทุกคนก็เป็นยอดฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก”
แม้เหล่าผู้พิทักษ์ของสำนักหลงเหมินต่างก็พากันสับสนแต่ก็เออออตามหลี่โม่
“ใช่ครับ พวกเราเป็นเพื่อนกันในสมัยที่เรียนอยู่ในโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ครับ ในเมื่อพวกคุณปลอดภัยแล้วเราขอตัวก่อนนะครับ”
“พวกคุณรีบกลับไปดูอาการบาดเจ็บกันก่อนเถอะ ที่ผมมีน้ำมันนวดด้วยนะ สามารถรักษาอาการฟกช้ำได้ดีเลยล่ะ คุณเอาไปใช้ก่อนนะครับ”
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งยัดน้ำมันนวดขวดหนึ่งใส่มือหลี่โม่แล้วส่งสายตาให้เขา จากนั้นหัวหน้าผู้พิทักษ์ก็จากไปพร้อมกับคนของเขาทั้งสี่คน
กู้หยุนหลันเอาน้ำมันนวดจากมือของหลี่โม่แล้วยิ้มพูด “เพื่อนคุณก็ดูน่าสนใจดีนะ แล้วที่คุณสามารถต่อสู้ได้ก็เพราะคุณเคยเรียนกังฟูใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ ถ้าไม่เคยเรียนผมจะเก่งขนาดนี้ได้ไง พวกเราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนในสมัยเรียนกังฟูในโรงเรียนกันหมด”
กู้หยุนหลันพยักหน้าเบาๆ และเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังสับสนอยู่
“กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะทายาให้ มันอาจจะเจ็บแสบหน่อยนะ”
หลี่โม่ถูกกู้หยุนหลันดึงออกจากโกดัง จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถแท็กซี่และตรงกลับไปที่บ้าน
เมื่อกลับไปถึงบ้าน หวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินไม่ได้อยู่บ้าน กู้หยุนหลันผลักหลี่โม่กลับไปที่ห้องนอน
“รีบถอดเสื้อแล้วนอนลง”
“จะดีเหรอ นี่มันกลางวันแสก ๆ นะ”
“คุณโตขนาดนี้แล้วยังจะเขินอะไรอีก ฉันจะทายาให้ ไม่ได้จะกินคุณสักหน่อย เร็วเข้า”
กู้หยุนหลันมือเท้าสะเอวแกล้งทำหงุดหงิดแล้วยิ้มพูดกับหลี่โม่
จากนั้นหลี่โม่ก็ถอดเสื้อออกอย่างลังเล
หลังจากที่เขาถอดเสื้อออกกู้หยุนหลันก็ต้องตกใจกับรอยฟกช้ำบนตัวเขา เธอซาบซึ้งจนแอบหันไปด้านข้างเพื่อปาดน้ำตา
“ผมบอกแล้วไงว่ายังไม่ต้องถอดเสื้อ คุณเอายาให้ผมสิ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อย่าดื้อ รอยช้ำมันอยู่บนหลังคุณนะ นอนนิ่งๆ เดี๋ยวฉันทาให้เอง”
กู้หยุนหลันรีบเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง จากนั้นเทน้ำมันนวดใส่มือแล้วค่อยๆ นวดให้กับหลี่โม่
“มันจะเจ็บหน่อยนะ คุณอดทนหน่อย”
กู้หยุนหลันพูดอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ตามสบายเลย”
ตอนที่ถูกทำร้ายหลี่โม่ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ เลย แค่นี้ไม่ได้ทำให้เขาถึงกับต้องร้องออกมาหรอก
ดวงตาของกู้หยุนหลันค่อยๆ อ่อนโยนและมือของเธอก็ค่อยๆ ถูที่รอยฟกช้ำบนหลังของหลี่โม่อย่างเบาๆ
……
ณ ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลนานาชาติเมืองฮ่าน
คุณชายซูเพิ่งได้รับการผ่าตัดเสร็จและนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนเพลีย หลังการผ่าตัดทั้งแขนและขาของเขาถูกยึดด้วยแผ่นเหล็ก และเขาต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายเดือน
เนื่องจากเสียเลือดมากเกินไป คุณชายซูจึงเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง
แต่อย่างน้อยก็สามารถยื้อชีวิตอันบอบบางของเขาได้แล้ว ซึ่งเรื่องอื่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีก
“คุณหมอครับ อาการเขาเป็นยังไงบ้างครับ?”
ซูเหวินปินยืนอยู่ที่ประตูห้องผู้ป่วยแล้วถามด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เมื่อได้ข่าวว่าเกิดเหตุกับคุณชายซู ซูเหวินปินจึงรีบมาหาเขาโดยเร็วที่สุด
แพทย์ได้ไตร่ตรองถ้อยคำแล้วตอบเขาว่า “โชคดีที่ส่งมาทันท่วงที การช่วยเหลือจึงเป็นไปอย่างราบรื่นครับ แต่คนไข้เสียเลือดมากเกินไป รวมถึงกระดูกทั้งแขนและขาถูกตัดขาดด้วยของมีคม ดังนั้นจึงอาจจะมีผลต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเขา และในอนาคตคนไข้อาจจะทำงานด้วยการออกแรงหนักเกินไปไม่ได้อีกแล้วนะครับ”
ซูเหวินปินแอบดีใจอยู่ลึกๆ ทำงานหนักไม่ได้มันไม่ใช่ปัญหา ขอแค่คุณชายซูมีชีวิตรอดก็พอแล้ว
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ ยังต้องฝากคุณหมอช่วยดูแลอีกเยอะเลยนะครับ”
ซูเหวินปินยัดซองแดงใส่มือหมออย่างใจเย็น
หมอปฏิเสธอยู่คำสองคำแต่สุดท้ายก็รับอั่งเปาจากซูเหวินปินไป
“ตาวปา นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกนายคนตั้งเยอะแยะยังไม่สามารถปกป้องคุณชายซูได้?”
พี่ตาวปาถึงกับสะดุ้งแล้วอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง
“พวกผมไม่ได้ไร้ประโยชน์เลยนะครับ แต่ศัตรูมันเก่งเกินไปจริงๆ ครับ เรายังไม่ทันได้เห็นเงาของพวกมันเลยก็ถูกจัดการจนล้มลงกับพื้นหมดแล้ว คนพวกนั้นเหมือนปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในหนังเลยนะครับ ใช้แค่ดอกไม้กับใบไม้ก็สามารถทำร้ายผู้อื่นได้แล้ว”
เมื่อนึกถึงฉากต่อสู้พี่ตาวปาก็เกิดอาการหวาดกลัวอีกครั้ง ซึ่งความรู้สึกนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการดูหนังสยองขวัญเลย
“จริงด้วยครับ หลังจากที่หลี่โม่เดินออกไป ผมยังได้ยินเขาพูดคุยกับเพื่อนที่หน้าประตูโกดังครับ เห็นบอกว่าคนพวกนั้นเป็นเพื่อนในสมัยเรียนศิลปะการต่อสู้ของเขา แต่ไม่ทราบว่าอยู่โรงเรียนไหนครับ”
ซูเหวินปินขมวดคิ้วและไม่เชื่อในสิ่งที่พี่ตาวปา
ปรมาจารย์ในโลกนี้มีจริง ซึ่งซูเหวินปินก็รู้ดี แต่ปรมาจารย์ตามที่พี่ตาวปาพูดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะอยู่ในโรงเรียนศิลปะการต่อสู้หรอก
คนเก่งๆ แบบนี้ไปเป็นบอดี้การ์ดให้กับเหล่าเศรษฐีไม่ดีกว่าหรือ เงินเดือนหลายสิบล้านต่อปี หรือไม่ก็เปิดสำนักเองก็สามารถรวบรวมลูกศิษย์และกลายเป็นคนรวยได้อย่างแน่นอน
“หลี่โม่คงจงใจพูดให้พวกนายสับสน”
ซูเหวินปินส่ายหัวแล้วผลักประตูห้องผู้ป่วย จากนั้นเดินเข้าไปหาคุณชายซูที่น่าสงสาร
เมื่อเห็นซูเหวินปินเดินเข้ามา คุณชายซูก็น้ำตาไหลทันที
“คุณน้ามาแล้วเหรอครับ น้าครับ ไอ้สารเลวหลี่โม่มันทำเกินไปครับ ดูผมตอนนี้สิ ไม่ต่างอะไรกับคนตายเลย น้าต้องล้างแค้นให้ผมนะครับ!”
“ผมจะฆ่าหลี่โม่ ผมจะฆ่ามัน ถ้ามีโอกาสอีกครั้งผมจะฆ่ามันทันทีโดยที่ไม่ให้โอกาสมันเลย!”
ในใจของคุณชายซูเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความกลัวก่อนหน้านี้ถูกลืมไปหมดแล้ว และตอนนี้ในสมองเขาคิดถึงแต่การแก้แค้นอย่างเดียว
“เรื่องแก้แค้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตระกูลเราไม่ได้มีไว้ให้คนกระจอกรังแก”
ซูเหวินปินพูดอย่างหนักแน่น
เรื่องมันบานปลายถึงขั้นทำให้คนตระกูลซูเสียชื่อเสียงไปหมดแล้ว ถ้ายังไม่รีบกู้หน้าพวกเขาคงไม่รู้จะสู้หน้ากับคนในเมืองเองยังไงอีกแล้ว
“น้าครับ น้าต้องรีบแก้แค้นให้ผมนะครับ ผมต้องการเห็นมันตาย! มันต้องตายอย่างเดียวผมถึงจะยอมได้ครับ!”
“ไอ้ขยะคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นน้าคงไม่มีหน้ากลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างเรื่องครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของนายคนเดียวแล้ว มันเป็นเรื่องทั้งครอบครัวของเรา”
“นายรักษาตัวให้หายก่อน ส่วนเรื่องไอ้ขยะคนนั้นนายไม่ต้องกังวลหรอกนะ เดี๋ยวน้าจะจัดการกับมันเอง ตาวปา ดูแลเขาให้ดีนะ”
ตาวปารีบพยักหน้าตอบ “ผมจะดูแลคุณชายให้ดีที่สุดครับ”
คุณชายซูพูดอย่างขมขื่น “น้าครับ น้าไม่ได้ล้อเล่นกับผมใช่ไหมครับ ผมจะฆ่ามันนะครับ ผมจะฆ่ามันให้ได้!”
“คำพูดของน้านายยังไม่เชื่ออีกเหรอ หลี่โม่มันต้องตายอย่างแน่นอน ไอ้สวะนั่นมันจะได้ใจเกินไปแล้ว คิดว่ารู้จักเพื่อนที่มีฝีมือแล้วรังแกคนไปทั่วได้ เดี๋ยวน้าจะหาคนที่เก่งกว่าพวกมันไปจัดการเอง”
“ถึงตอนนั้นน้าจะให้มันมาคุกเข่าต่อหน้านาย แล้วจะหักกระดูกที่ชิ้นในร่างกายมัน ให้มันรู้ว่าการที่ท้าทายตระกูลซูจะต้องจบยังไง เรื่องแบบนี้น้าถนัดอยู่แล้ว ไม่มีใครโหดร้ายเท่าน้าอีก! นายคอยดูละกัน”
ดวงตาของซูเหวินปินเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและในใจเขากำลังคิดอยู่แล้วว่าจะจัดการกับหลี่โม่อย่างไร
ไม่เพียงแต่จะจัดการหลี่โม่เท่านั้น ซูเหวินปินยังจะให้หลี่โม่ชดใช้ร้อยเท่ากับสิ่งที่เขาทำ เพื่อรักษาและกอบกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลกู้