บทที่ 223 สั่งสอนมันให้ดี
กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางกำลังกินข้าวอยู่ในร้านอาหาร เนื่องจากช่วงนี้ทั้งสองต่างก็มีเรื่องรบกวนใจ ดังนั้นจึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอาหารกินเองที่บ้านและออกไปกินที่ร้านอาหารหน้าบ้าน
“เพราะไอ้เหลือหลี่โม่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะมันไปหาเรื่องคุณโอหยางเราคงไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก”
หวังฟางบ่นพึมพำด้วยความโมโห
“เอาเหอะน่า เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้คุณฆ่ามันตายก็เปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้หรอก เรามาคิดว่าจะแก้ไขปัญหายังไงจะดีกว่า”
กู้เจี้ยนหมินรู้สึกกังวลมาก เมื่อเห็นว่าตระกูลกู้กำลังจะล้มละลายและชีวิตในอนาคตต้องลำบากแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีที่เอาตัวรอดให้ได้
จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากบริษัท กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจดังๆ แล้วรับสายด้วยมือไม้สั่นเทา
“เสี่ยวอู๋เหรอ ว่าไง เกิดเรื่องที่บริษัทอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่าครับๆ บริษัทปกติดีทุกอย่างครับ แล้วก็ออร์เดอร์ทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เราต้องรีบดำเนินการจัดส่งเลยครับ”
เมื่อเสี่ยวอู๋เห็นว่ากู้เจี้ยนหมินเข้าใจผิด เขาจึงรีบอธิบาย
“ห๊ะ? นายเข้าใจผิดหรือเปล่า คุณโอหยางปิดกั้นสัญญาของเราทุกอย่าง แล้วเราจะจัดส่งสินค้าอะไรอีก?”
“คุณยังไม่ทราบข่าวเหรอครับ? วันนี้คุณโอหยางเข้ามาขอขมาคุณหยุนหลันตั้งแต่เช้าเลยครับ ตอนนี้ออเดอร์ทุกอย่างของบริษัทกลับอยู่สภาพเดิมแล้วครับ แถมยังมีออเดอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย แต่ตอนที่คุณหยุนหลันออกจากบริษัทเธอไม่ได้หยิบของฝากจากคุณโอหยางไปด้วยครับ เป็นของมีค่าเพรียบเลยครับ ผมกลัวมันหายก็เลยติดต่อท่านทั้งสองก่อน ผมว่าจะส่งของเข้าไปให้ที่บ้านครับ”
กู้เจี้ยนหมินตกตะลึงอย่างที่สุด สิ่งที่เสี่ยวอู๋พูดนั้นมันเกินคาดจริงๆ
“นายหมายถึงคุณโอหยางมาขอโทษหยุนหลัน? แล้วบริษัทก็กลับมาเป็นปกติแล้ว?”
กู้เจี้ยนหมินถามซ้ำๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้อยู่ในความฝัน
“ใช่ครับ ท่านอยู่บ้านไหมครับ ผมจะส่งของไปให้ เป็นของมีค่าราคาหลายแสนหยวนเลยนะครับ ถ้าหายผมคงไม่มีปัญญาชดใช้หรอกครับ”
เสี่ยวอู๋รู้สึกกังวลมาก ของฝากจากโอหยางจงเฉิงนั้นมีมูลค่ามากกว่าล้านหยวนด้วยซ้ำ ซึ่งเสี่ยวอู๋เป็นแค่พนักงานในบริษัท ถ้าของหายชิ้นสองชิ้นเขาคงต้องทำงานชดใช้เป็นเวลาหลายปีเลย
“อยู่ ๆ เราอยู่บ้าน ส่งมาเลย”
กู้เจี้ยนหมินวางสายด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นหวังฟางก็ถามเขาด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น แก้ไขปัญหาได้แล้วเหรอ? ‘’
“ใช่ เรารีบกลับบ้านไปถามหยุนหลันกันก่อนดีกว่า ทำไมไม่บอกอะไรพวกเราสักคำเลย”
กู้เจี้ยนหมินต้องการรู้ความจริง เขาจึงไม่สนใจอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า จากนั้นรีบเช็กบิลแล้วกลับบ้านพร้อมกับหวังฟางทันที
หลังจากกลับไปถึงบ้านกู้เจี้ยนหมินก็ตรงเข้าไปหากู้หยุนหลันที่ห้องนอนของเธอ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกู้หยุนหลันกำลังนวดยาให้กับหลี่โม่อยู่
และเมื่อสังเกตกู้หยุนหลันเขาก็เห็นสีหน้าของเธอซีดเซียว กู้เจี้ยนหมินจึงถามอย่างประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น? ถูกใครทำร้ายมาหรือเปล่า?”
“คุณพ่อ คุณแม่ กลับมาแล้วเหรอคะ หนูถูกลักพาตัวค่ะ แล้วหลี่โม่เขาก็……”
“ลักพาตัว? ให้ตายเถอะ ลูกเป็นอะไรไหม? แล้วยังอยู่บ้านทำไมกัน รีบไปหาหมอสิ ช้ำในรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่ารอช้าอีกเลย รีบไปเดี๋ยวนี้”
กู้เจี้ยนหมินพูดอย่างประหม่า จากนั้นก็เรียกกู้หยุนหลันให้ออกไปทันที
“พ่อใจเย็นๆ ก่อน หลี่โม่บาดเจ็บอยู่นะ เขาถูกพวกนั้นรุมทำร้ายเพื่อช่วยหนู”
กู้หยุนหลันพูดอย่างเป็นห่วง
“ก็สมควรแล้วไง ถ้าไม่หาเรื่องแล้วจะโดนทำร้ายได้ไงล่ะ คงเป็นเพราะมันอีกแล้วล่ะสิที่ทำให้ลูกต้องถูกลักพาตัว”
หวังฟางพูดอย่างใจดำ
หลี่โม่ใส่เสื้ออย่างทำตัวไม่ถูก จากนั้นเดินออกจากห้องแล้วพูดว่า “ผมไม่เป็นไรครับ เจ็บแค่ผิวเผิน”
“ถูกพวกเขาทำร้ายขนาดนี้แล้วยังบอกว่าเจ็บแค่ผิวเผินอีก ถ้าช้ำในแล้วตายในบ้านจะทำไง รีบไปโรงพยาบาลด้วยกัน”
กู้เจี้ยนหมินพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
กู้หยุนหลันส่งสายตาให้กับหลี่โม่และทั้งสองก็ไปโรงพยาบาลพร้อมกับกู้เจี้ยนหมินและภรรยาของเขา
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลทั้งสองก็ตรวจร่างกายอย่างละเอียด กู้หยุนหลันไม่เป็นไรมาก เพียงแค่จิตตกและต้องการพักผ่อนสักสองสามวัน ส่วนหลี่โม่กล้ามเนื้อฟกช้ำบนร่างกายหลายจุด
กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจแล้วพูดว่า “หยุนหลันเอ๋ย ลูกทำให้คุณโอหยางมาขอโทษลูกด้วยวิธีไหนกัน อีกอย่างออเดอร์ของบริษัททั้งหมดก็คืนสภาพเดิมแล้วนะ ลูกเป็นฮีโร่ของตระกูลกู้เราเลยนะรู้ไหม”
กู้หยุนหลันฝืนยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำถามของกู้เจี้ยนหมิน ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของคุณโอหยางเธอก็จะนึกถึงสีหน้าท่าทางของคุณปู่กู้ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกผิดหวังมาก
“ครั้งนี้ลูกช่วยตระกูลกู้ของเราไว้ ทำให้ครอบครัวของเราไม่ต้องอับอายอีก วันหลังเราเจอคุณลุงกับคุณอาของลูกเราก็ไม่ต้องหลบหน้าพวกเขาอีก ลูกทำดีมากเลยนะหยุนหลัน”
กู้เจี้ยนหมินเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีความสุข เมื่อก่อนบ้านพี่ใหญ่กับน้องสามดูถูกพวกเขามาก แต่ตอนนี้กู้หยุนหลันสร้างชื่อเสียงและกู้หน้าให้กับครอบครัว จึงทำให้กู้เจี้ยนหมินรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
“เหอะ จะดีใจไปทำไม ต่อให้หยุนหลันมีความสามารถมากแค่ไหน ถ้ามีคนคอยฉุดรั้งอยู่ตลอดแบบนี้เธอจะทำอะไรได้ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่หลี่โม่ใจร้อนเองมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ไง”
หวังฟางเหลือบมองไปที่หลี่โม่
แม้ว่าหลี่โม่จะเสี่ยงชีวิตช่วยกู้หยุนหลัน แต่หวังฟางก็ยังไม่เลิกดูถูกเขา เธอคิดเสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็เพราะหลี่โม่คนเดียว
“เรื่องนี้แม่พูดถูกนะ หลี่โม่ นายก็ใจร้อนเกินไปจริงๆ หัดใช้สมองคิดบ้างสิ นายจะไปมีเรื่องกับคนอย่างคุณโอหยางได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะหยุนหลันนายคงต้องทำให้ครอบครัวเราพังพินาศไปแล้ว!”
กู้เจี้ยนหมินวางท่าทางของพ่อตาแล้วต่อว่าหลี่โม่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลี่โม่ได้แต่ก้มหน้าลงและยอมรับทุกอย่าง
“คุณพ่อ คุณแม่ เรื่องมันก็จบแล้ว อย่าว่าเขาอีกเลย”
กู้หยุนหลันพยายามปกป้องหลี่โม่
“เรื่องมันจบแล้วก็จริงแต่ต้องสั่งสอนให้มันจำใส่สมองบ้าง เผื่อวันหลังจะได้ไม่ไปก่อเรื่องให้เราอีก ถ้ากล้าไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตอีกครั้ง มันคงไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้หรอกจะบอกให้”
หวังฟางพึมพำอย่างไม่พอใจ
“เห็นแก่หยุนหลันเราจะไม่ว่านายอีก แต่นายต้องจำไว้ให้ดีสำหรับบทเรียนครั้งนี้ วันหลังจะทำอะไรหันใช้สติสัมปชัญญะด้วยละกัน”
กู้เจี้ยนหมินพูดเสริมท้าย
กู้หยุนหลันยืนขวางอยู่ด้านหน้าหลี่โม่เพื่อปกป้องเขา “คุณพ่อคุณแม่คะ หลี่โม่สำนึกผิดแล้ว วันหลังจะไม่ใจร้อนอีก”
“หยุนหลัน เธอจะปกป้องมันทำไม ดูสีหน้ามันสิ ไม่เคยสำนึกผิดอะไรเลย ฉันล่ะเบื่อขี้หน้ามันจริงๆ คนไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่เหมือนผู้ชายบ้านคนอื่นเขาเลย”
หวังฟางมือเท้าสะเอวแล้วบ่นพึมพำ
กู้เจี้ยนหมินมองไปที่หลี่โม่อย่างดุร้ายแล้วพูดต่อ “หลี่โม่ เราต่างก็หวังดีต่อนาย แต่ก็หวังดีต่อหยุนหลันมากกว่า ถ้านายทำอะไรแบบนี้อีกมันก็เท่ากับว่านายจงใจทำร้ายหยุนหลัน”
“ผมจะไม่ใจร้อนอีกครับ”
หลี่โม่พูดเบาๆ
หลี่โม่รู้ว่ากู้หยุนหลันลำบากใจต่อหน้าพ่อแม่ของเธอ เขาจึงไม่อยากให้เธอคิดหนักมากไปกว่านี้ ก็แค่ก้มหน้าแล้วยอมรับผิด การก้มหัวให้กับพ่อตาแม่ยายก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ดูมันสิ เสแสร้ง! เสแสร้งชัดๆ! หยุนหลัน เธอสั่งสอนมันให้ดีก็แล้วกัน กลับบ้าน”
หวังฟางพูดใส่อารมณ์แล้วหันเดินไป จากนั้นทั้งหมดก็กลับบ้านด้วยกันอย่างเงียบๆ