บทที่ 233 ไม่มีสิทธิ์?
“ฮ่า ๆ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนแฝงไว้ด้วยความต่อต้าน เสี่ยวฟาง พวกเราเป็นพี่ชายและพี่สาว พวกเราทุกคนหวังว่าคุณและหยุนหลันจะมีชีวิตที่ดี ถึงยังไงก็เป็นลูกหลานของตระกูลเรา คุณอย่าทำแบบขอไปทีน่ะ”
หวังจินไห่ถากถางหวังฟาง เขาคิดว่าคำพูดและการปฏิบัติของหวังฟางเป็นเรื่องหลอกลวง
หวังเหมยยิ้มแล้วกล่าวว่า “เธอน่ะ เธอดีกับไอ้ลูกเขยเศษสวะมากไปแล้ว ฉันจะแนะนำคนที่ดีให้หยุนหลันแต่งงานใหม่ แต่หยุนหลันกลับปฏิเสธและชักสีหน้าใส่ฉัน แล้วสุดท้ายเสี่ยวฟางก็ไกล่เกลี่ยสะเปะสะปะ ไม่มีความคิดที่อยากจะแยกพวกเขาออกจากกันเลย”
หวังเหมยพูดยุยงจบ เธอก็เหลือบไปมองหวังฟางที่กำลังจะบ้าคลั่งอย่างมีชัย โดยคิดในใจว่าได้ทวงคืนความอับอายที่เสียไปคราวก่อนแล้ว
หวังฟางโกรธจนกำมือทั้งสองไว้แน่น ตัวสั่นอย่างรุนแรง หันไปจ้องมองหลี่โม่
“หลี่โม่! ไอ้คนเศษสวะ ฉันบอกไม่ให้แกมา แกยังจะมาให้ได้ แกมาทำให้ทุกคนโมโห แกคิดว่าแกยังเป็นคนอยู่ไหม? แม้ว่าเลี้ยงหมูไว้หนึ่งตัวยังสามารถฆ่ามันกินเนื้อได้ แต่เลี้ยงเศษสวะอย่างแกไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”
“แกทำให้ครอบครัวของเราอับอายขายหน้าหมด แกดูสิว่าญาติของครอบครัว มีใครอยากจะเห็นหน้าแกบ้าง คนที่เห็นหน้าแกทุกคนต่างพูดว่าแกมันเป็นคนไร้ประโยชน์ แล้วแกจะเป็นตัวถ่วงของหยุนหลันไปถึงเมื่อไหร่!”
หวังฟางระเบิดอารมณ์ออกมา เอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่หลี่โม่ ภายใต้ความโกรธเธอจึงใช้สองมือชกไปที่ตัวหลี่โม่
หลี่โม่ยืนตัวตรง มองไปที่หวังฟางอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้หวังฟางใช้หมัดชกหน้าอกของตนเอง
เปลือกตาของกู้เจี้ยนหมินกระตุก เขารีบไปดึงหวังฟางไว้ “อย่าโกรธเลย จะไปโกรธคนไร้ประโยชน์อย่างมันไปทำไม ปล่อยให้คนไร้ประโยชน์อย่างมันเกิดเองและดับสูญไปเอง”
“ฮือ ๆ ๆ ฉันเสียใจ ฉันรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้แยกพวกเขาออกจากกันในเวลานั้น มิฉะนั้น หยุนหลันจะไม่เป็นแบบนี้ และพวกเราจะไม่ถูกคนอื่นดูถูกเหยียบหยามเช่นนี้”
หวังฟางร้องไห้ในอ้อมแขนของกูเจี้ยนหมิน หวังจินซานและคนอื่น ๆรู้สึกว่าทะเลาะกันจนดูไม่ดีแล้ว เพราะยังไงวันนี้ก็เป็นวันเกิดของคุณปู่หวัง
“เสี่ยวฟาง คุณอย่าร้องไห้เลย พวกเราก็แค่หวังดี น้องเขยคุณช่วยปลอบใจเธอหน่อย พวกเราจะพยุงคุณปู่ไปที่งานเลี้ยง”
หวังจินซานพยุงคุณปู่หวังเดินออกไป พร้อมกับทุกคนในตระกูลหวัง
กู้เจี้ยนหมินปลอบโยนหวังฟาง จากนั้นหวังฟางก็เช็ดน้ำตา จ้องเขม็งไปที่หลี่โม่
“คนไร้ประโยชน์อย่างแกทำให้พวกเราอับอายขายหน้าไปหมดแล้ว กลับไปถึงบ้านแล้วค่อยคิดบัญชีกับแก ในอนาคตถ้ามีงานเลี้ยงแบบนี้ห้ามพาคนไร้ประโยชน์คนนี้ไปเป็นอันขาด!”
กู้หยุนหลันนิ่งเงียบไม่พูดสักคำ ได้แต่จับมือหลี่โม่เบา ๆ
หลี่โม่ยิ้มบาง ๆให้กับกู้หยุนหลัน ทั้งสองคนต่างก็นิ่งเงียบ
“เข้าไปงานเลี้ยงกันเถอะ หลี่โม่อีกสักครู่คุณอย่าพูดอะไร พยายามอย่าให้เป็นจุดเด่น ถ้าหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก คุณก็อยู่อับอายที่นี่คนเดียวก็แล้วกัน”
กู้เจี้ยนหมินกล่าวจบ ก็พยุงหวังฟางออกจากห้อง
……
คุณปู่หวัง หวังจินซานและคนอื่น ๆไปเตรียมตัวไปที่ห้องโถง ในฐานะเจ้าของวันเกิดของวันนี้ คุณปู่หวังจะเป็นคนที่เข้างานเลี้ยงเป็นคนสุดท้าย
หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินเดินตามไปที่ห้องโถง ตอนที่หลี่โม่กับกู้หยุนหลันกำลังจะเดินเข้าไป แต่ได้ถูกหวังจงเหิงขวางไว้
“คนไร้ประโยชน์อย่างแกยังอยากจะเข้าไปที่ห้องโถง? ทำไมแกไม่ส่องกระจกดูเงาตนเอง ดูสิว่าแกมีสิทธิ์ไปที่ห้องโถงไหม”
หวังจงเหิงกล่าวด้วยความเหยียบหยาม
“หวังจงเหิง คุณหมายความว่ายังไง”
กู้หยุนหลันถามด้วยเสียงเยือกเย็น
ที่ผ่านมาโดนคนมากมายเหยียบหยาม ในใจของกู้หยุนหลันก็รู้สึกน้อยใจอยู่ ตอนนี้ยังห้ามเข้าไปที่ห้องโถงอีก ยิ่งทำให้กู้หยุนหลันรู้สึกน้อยใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพื่อหลี่โม่ ตอนนี้กู้หยุนหลันน้อยใจจนอยากร้องไห้เสียงดังออกมา
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอะไร ไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้ทำให้คุณปู่โกรธขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถให้คนไร้ประโยชน์เข้าไปห้องโถงเพื่อเป็นที่รำคาญตา อีกอย่างที่นั่งของพวกคุณก็ไม่ได้อยู่ในห้องโถง แต่อยู่ที่นอกห้องโถงในสวนที่เป็นพื้นที่โล่ง พวกคุณควรไปนั่งที่นั่น”
งานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่หวังจัดที่บ้าน แต่เนื่องจากแขกมาเยอะ ห้องโถงไม่สามารถรับรองแขกทั้งหมดได้ ดังนั้นงานเลี้ยงจึงแบ่งออกเป็นสองโซน
คุณปู่หวังและคนของตระกูลหวัง กับแขกที่สำคัญจะนั่งรับประทานอาหารในห้องโถง ส่วนแขกปกติทั่วไปจะนั่งรับประทานอาหารนอกห้องโถงในสวนที่เป็นพื้นที่โล่ง
ฐานะของคนที่นั่งในห้องโถงกับนอกห้องโถงนั้นแตกต่างกัน ถ้าตามฐานะของกู้หยุนหลันแล้ว มีสิทธิ์นั่งในห้องโถง แต่เป็นเพราะว่าหลี่โม่ ทำให้เธอถูกจัดให้ไปนั่งนอกห้องโถง
หวังจงเฉิงยิ้มอย่างเหยียดหยาม แล้วกล่าวว่า “หยุนหลัน ถ้าหากคุณไล่คนไร้ประโยชน์คนนี้ออกไป ในห้องโถงยังมีที่นั่งของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยอมไล่คนไร้ประโยชน์คนนี้ออกไป คุณก็ต้องไปนั่งนอกห้องโถง”
“ถ้าหากให้แขกเห็นว่าไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้เป็นหลานเขยของตระกูลหวัง มันจะกระทบชื่อเสียงของตระกูลหวัง คุณก็รู้ว่าตระกูลหวังของเราทายาทสืบทอดนักกวีนิพนธ์ ที่ผ่านมาไม่เคยมีคนไร้ประโยชน์ในตระกูลเลย”
หวังจงเหิงกับหวังจงเฉิงพูดเย้ยหยันเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้กู้หยุนหลันรู้สึกโมโหมาก จูงมือหลี่โม่หันหลังแล้วเดินออกไป ไม่อยากจะทนเห็นหน้าพี่ชายสองคนนี้อีก
หวังซูหยุนกระทืบเท้า มองหวังจงเหิงกับหวังจงเฉิงอย่างไม่พอใจ แล้วกล่าวว่า ”พวกคุณสองคนทำเกินไปแล้วน่ะ ถ้าให้กู้หยุนหลันนั่งนอกห้องโถง งั้นฉันก็จะไปนั่งเป็นเพื่อนเธอ”
“ซูหยุน คุณอย่าก่อกวนได้ไหม จะไปนั่งกับพวกเขาทำไม? ไปนั่งกับคนไร้ประโยชน์อย่างนั้นมันน่าอับอายขายหน้า”
แต่ว่าซูหยุนไม่สนใจคำพูดหวังจงเฉิง แล้วก็รีบเดินตามหลังกู้หยุนหลันไป
กู้หยุนหลันกับหลี่โม่นั่งลงบนที่นั่งนอกห้องโถง หลี่โม่ดูไม่มีความสุข ส่วนกู้หยุนหลันขอบตาแดง เขารู้ว่ากู้หยุนหลันรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก
“หยุนหลัน คุณอย่าโกรธไปเลย พวกเขาไม่เข้าใจคุณ ไม่จำเป็นต้องไปถือสาพวกเขา”
หลี่โม่จับมือกู้หยุนหลันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
กู้หยุนหลันฝืนยิ้ม แล้วกล่าวเสียงเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร คุณอย่าคิดมาก เรื่องที่พวกเขาพูดจาไม่น่าฟัง”
“พี่หยุนหลัน พวกคุณอยู่ที่นี่เอง ฉันจะมานั่งเป็นเพื่อนพวกคุณ”
หวังซูหยุนเดินมาข้างกู้หยุนหลัน ดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง
หลี่โม่มองไปที่หวังซูหยุนด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าหวังซูหยุนจะช่วยเขาพูด ตอนนี้ยังมานั่งกับกู้หยุนหลันและตนเองด้วย
“ซูหยุนคุณมานั่งที่นี่ได้ยังไง คุณปู่โปรดปรานคุณมาก คุณรีบกลับไปดีกว่า พวกเราไม่เป็นไร นั่งตรงไหนมันก็นั่งเหมือนกัน”
ซูหยุนส่ายศีรษะ เม้มปากแล้วกล่าวว่า ”ฉันรู้สึกว่าพวกเขาทำเกินไปแล้ว พี่หยุนหลันฉันสนับสนุนพี่ ฉันจะใช้การกระทำเพื่อสนับสนุนพี่”
กู้หยุนหลันยิ้มอย่างจำยอม เธอรู้ว่าไม่สามารถเตือนหวังซูหยุนได้ จึงทำได้เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องสัพเพเหระ
“ได้ยินมาว่าคุณได้รับปริญญาโทสองใบ และยังได้รับคำเชิญให้ไปเรียนระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศด้วย?”
หวังซูหยุนพยักหน้ายิ้มอย่างมีความสุข แล้วกล่าวว่า “ใช่ค่ะ ได้รับเชิญไปเรียนปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ฉันกำลังจะไปเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในเร็ว ๆนี้ ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีนักศึกษาเรียนเก่งจำนวนมาก ฉันยังกังวลเล็กน้อย กลัวว่าฉันจะเรียนไม่ทันพวกเขา”