“ฉันรนหาที่ตายเหรอ? ฮ่า ๆ ๆ นี่เป็นคำพูดที่ฟังแล้วตลกสิ้นดี แกรู้สึกว่าฉันมีท่าทางที่อยากจะตายอย่างนั้นเหรอ? ไม่แหกตาดูหรือไงคนของฉันที่อยู่ที่นี่เหรอ! แกไอ้สวะถ้ายังทำให้ฉันไม่พอใจอีกแล้วล่ะก็ ฉันก็จะทำให้พวกคุณทั้งหมดไม่พอใจยิ่งกว่า”
จางจงหยางพูดคุกคามไปตรง ๆ คนที่นี้ทั้งหมดเป็นลูกน้องของตน คำพูดของเขาเหมือนดังคำสั่งของสวรรค์ สั่งให้ใครตายคนนั้นก็ต้องตาย
ใบหน้าของซีเหมินจื้อเผิงและคนอื่นๆ เปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที หากเป็นเพราะความไร้สาระของหลี่โม่แล้ว ดึงให้พวกเขาไปเกี่ยวข้องด้วย นั้นเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรมเลย
“หลี่โม่! สวะอย่างแกไม่ต้องพูดแล้ว ที่นี่ไม่มีที่ให้แกพูด! ยังกล้าพูดเถียงกับพี่ใหญ่อีก ผู้วิเศษอะไรมอบความกล้าให้แกขนาดนี้ แกอยากให้ฉันถุยน้ำลายใส่หน้าแกใช่มั้ย! หากแกอยากจะตาย ก็ไม่ต้องพาพวกเราตายไปด้วย!”
ซีเหมินจื้อเผิงตะโกนด่าทอด้วยความตื่นตระหนก
เหอซูฟางพยักหน้าซ้ำ ๆ: “ใช่แล้ว ๆ จื้อเผิงพูดถูก แกไอ้สวะอยากจะตายก็ไปตายคนเดียว อย่าทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนตายไปกับแกด้วย ไอ้สวะแบบแกก็ควรรีบไปตาย ๆซะ”
“ไอ้สวะ! ยากจน! ต่ำตม! ไร้ประโยชน์! หยุนหลันแม่พูดกับลูกหลายครั้งแล้ว ว่าให้ลูกหย่ากับไอ้สวะคนนี้ซะ ลูกก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ลูกดูสิไอ้สวะคนนี้สร้างความวุ่นวายให้กับตระกูลของพวกเราอย่างไร! รีบให้เขาไสหัวออกไป! เขาและตระกูลของพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกัน!”
หวังฟางตะโกนพูดด้วยเสียงสุดกำลัง ด้วยความกลัวตายที่อยู่ตรงหน้า ทำให้หวังฟางเหมือนดั่งคนประสาทไปแล้ว
กู้เจี้ยนหมินรู้สึกกระสับกระส่ายเป็นอย่างมากเช่นกัน เผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่เคยเจอมาก่อน กู้เจี้ยนหมิน คิดแค่เพียงรีบตัดความสัมพันธ์กับหลี่โม่ ไม่ให้หลี่โม่ดึงเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้
“ลูกพี่ใหญ่ท่านนี้ ตระกูลของพวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับหลี่โม่ ลูกสาวของฉันหลี่โม่ ใกล้……จะหย่ากันแล้ว คุณจะจัดการอย่างไรกับหลี่โม่ก็ได้ โปรดอย่าให้ตระกูลของพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ขอร้องคุณแล้วล่ะ”
กู้หยุนหลันพยายามเม้มริมฝีปาก ฟังคำพูดของพ่อแม่แล้ว กระวนกระวายใจรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ ๆ”
จางจงหยางหัวเราะอย่างพอใจ รู้สึกว่าได้แกล้งหลี่โม่มากพอแล้ว ควรจะเริ่มเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจจริงจังกันได้แล้ว
“ไอ้สวะหลี่ รู้ไหมว่าฉันมาเพื่ออะไร? ฉันต้องการล่อให้ฉู่จงเทียนออกมา หากแกสามารถเรียกฉู่จงเทียนมาที่นี่ได้ ฉันก็จะให้แก ไม่ใช่สิ พวกคุณทั้งหมดที่มีทางรอด หากเจ้าไม่สามารถเรียกฉู่จงเทียนมาได้ ฉันก็จะให้พวกคุณได้ลองลิ้มรสชาติของการตายทั้งเป็น”
เผชิญหน้ากับคำข่มขู่ของจางจงหยาง ซีเหมินจื้อเผิงกลัวจนตัวสั่นเทา พูดเร่งรัดให้หลี่โม่ทำตามคำพูดของจางจงหยาง
ไอ้สวะอย่างแก ยืนบื้ออยู่อีกทำไม รีบไปทำตามคำสั่งของลูกพี่ใหญ่คนนั้นสิ เรียกไอ้สารเลวฉู่อะไรนั้นออกมา!”
หลี่โม่มองไปที่จางจงหยางยิ้มแล้วพูดว่า: “คุณคิดจะควบคุมเมืองฮ่าน มีความทะเยอทะยานไม่น้อยนะ ได้ยินมาว่าคุณไปรวมหัวกับฉู่ฉาวฟาของเมืองเอกอีกด้วย”
สีหน้าจางจงหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย หรี่ตามองไปที่หลี่โม่ สอดมือขวาเข้าไปตรงหน้าอก หยิบปืนกระบอกหนึ่งออกมา
มือซ้ายลูบคลำดึงลำกล้องขึ้นเบา ๆ จางจงหยางพูดด้วยเสียงเย็นชาว่าซ “แกรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
เห็นจางจงหยางเอาปืนออกมา ซีเหมินจื้อเผิงและคนอื่นๆ ต่างหดตัวลง เอาตัวแนบชิดติดกับกำแพง เหมือนกับจะให้ตัวเองหลบเข้าไปซ่อนอยู่ในกำแพง
กู้หยุนหลันก็หวาดกลัวมากเช่นกัน โอบกอดเอวหลี่โม่ไว้จนแน่น ให้ตัวเองแนบชิดติดกับหลี่โม่ ทำอย่างนี้เท่านั้นถึงจะทำให้
กู้หยุนหลันรู้สึกปลอดภัย
หลี่โม่ลูบหลังของกู้หยุนหลันเบา ๆ ช่วยบรรเทาความตึงเครียดให้กับกู้หยุนหลัน
“ฉู่จงเทียนบอกกับฉัน”
“ฮ่า ๆ ๆ ดีมาก ดูเหมือนความสัมพันธ์ของแกกับฉู่จงเทียนไม่ธรรมดาจริง ๆ ตอนนี้ให้แกโทรศัพท์ไปหาฉู่จงเทียน ให้เขามาที่นี่คนเดียว ฉันขอเตือนแกไว้ก่อนอย่าคิดเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นภรรยาที่งดงามดั่งดอกไม้หยกของแก อาจจะถูกลูกน้องของฉันย่ำยีเป็นของเล่นสนุกก็ได้นะ”
จางจงหยางพูดจบก็ขึ้นลำกล้องโหลดกระสุนปืน หลังจากเปิดระบบล็อคไกปืนเล็งปืนไปที่หลี่โม่
ร่างกายที่บอบบางของกู้หยุนหลันสั่นเทา หลี่โม่พูดปลอบเบา ๆ ว่า: “ไม่มีอะไร คุณไม่ต้องกลัว แค่เรื่องโทรศัพท์หาฉู่จงเทียนเท่านั้นเอง”
หลี่โม่หยิบโทรศัพท์อย่างช้า ๆ โทรออกไปหาฉู่จงเทียนในทันที
“เปิดระบบแฮนด์ฟรีให้ด้วย ให้ฉันฟังว่าฉู่จงเทียนพูดอะไร”
จางจงหยางพูดอย่างระมัดระวัง
หลี่โม่เปิดระบบแฮนด์ฟรีแล้ว เสียงของฉู่จงเทียนก็ดังขึ้น: “คุณหลี่ ท่านมีอะไรจะสั่งครับ”
จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากน้ำเสียงที่มีความนอบน้อมของฉู่จงเทียนทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
ฉู่จงเทียนมีความเคารพต่อหลี่โม่มากเกินไปแล้ว จากความเข้าใจของจางจงหยางที่มีต่อฉู่จงเทียนแล้ว รู้มาว่าฉู่จงเทียนเป็นคนที่ไม่แสดงความเคารพกับใครตามอำเภอใจนัก
ทว่าหลี่โม่เองตอนนี้ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา จางจงหยางจึงคลายความกังวลในใจไปบ้าง รอให้จับตัวฉู่จงเทียนให้ได้เสียก่อน ขยายเขตอิทธิพลมาถึงเมืองฮ่านได้อย่างราบรื่น แล้วค่อยไปซื้อเบื้องหลัง ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่โม่กับฉู่จงเทียนภายหลัง
“คุณฉู่ ผมรับประทานอาหารอยู่ที่ฝ้านหยวน คุณมาทานข้าวด้วยกันหน่อยสิ”
หลี่โม่พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ได้ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
แววตาของจางจงหยางเต็มไปด้วยความปิติยินดี กวัดแกว่ง ปลายกระบอกปืนไปทางหลี่โม่
หลี่โม่ เข้าใจในความหมายของจางจงหยางทันที จึงพูดต่ออีกว่า: “ผมกินอาหารอยู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุณไม่ต้องพาลูกน้องมาด้วย เดี๋ยวจะทำให้เพื่อนของผมรู้สึกไม่เป็นอิสระ”
“เข้าใจแล้ว ผมจะขับรถไปเอง” ฉู่จงเทียน รับปากในทันที
“โอเค งั้นรีบมาแล้วกัน จะวางสายแล้ว”
หลี่โม่ เก็บโทรศัพท์มือถือ เผยรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับจางจงหยาง
“ทำดีมาก ไอ้สวะอย่างแก ก็พอจะใช้งานได้อยู่บ้าง ไม่เล่นตุกติกต่อหน้าฉัน อีกเดียว รอดูว่าฉู่จงเทียนจะให้ความร่วมมือหรือไม่ หากฉู่จงเทียนคิดจะเล่นตุกติกอะไร พวกแกทุกคนก็จะต้องพลอยซวยไปด้วย”
จางจงหยางข่มขู่ไปครั้งนึง รู้สึกว่าตนเอง มีไพ่ตายอยู่ในมือ ตราบใดที่ฉู่จงเทียนไม่คิดเล่นตุกติกอะไร ครั้งนี้ก็สามารถรับช่วงต่อเขตอิทธิพลเมืองฮ่านได้อย่างราบรื่น ก็จะสำเร็จได้ตามเป้าหมายอีกขั้นหนึ่ง
……
ฉู่จงเทียน เก็บโทรศัพท์มือถือ ใบหน้าครุ่นคิด
แม้ว่าเสียงของหลี่โม่ในสายโทรศัพท์ดูสงบนิ่งเรียบเฉย แต่ฉู่จงเทียนได้ยินอะไรบางอย่างผิดปกติอยู่ในคำพูด
ต้องทำตามคำพูดของหลี่โม่หรือเปล่า?
หากไปคนเดียว จะมีอันตรายหรือเปล่า?
ประเดี๋ยวเดียวฉู่จงเทียนหัวเราะขึ้น พูดเสียงต่ำกับตัวเองว่า: “ชีวิตของฉันคุณหลี่เป็นคนช่วยให้รอดมาถึงตอนนี้ แน่นอนว่าจะต้องทำตามคำสั่งของคุณหลี่ อย่างมากก็แค่ชดใช้ชีวิตนี้คืนให้กับคุณหลี่”
เป็นเพราะผลประโยชน์ล้วน ๆ ฉู่จงเทียน อาจจะเลือกที่จะไม่ไป แต่ถ้าไปก็จะพาลูกสมุนตามไปด้วย
ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ตกหลุมพรางถูกลอบกัด แต่หลี่โมก็ช่วยชีวิตมาจนได้ จากนั้นมาฉู่จงเทียน จึงมีท่าที จริงใจและซื่อสัตย์ มากขึ้นต่อตัวหลี่โม่
ยังไงแล้วก็เพื่ออาศัยอิทธิพล และเพื่อคนที่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิต ทั้งสองอย่างนี้มันแตกต่างกันสิ้นเชิง อย่างหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ล้วน ๆ แน่นอนว่าการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ แต่อีกด้านหนึ่งเป็นการเลือกจากจิตใต้สำนึก แน่นอนว่าสามารถจะละทิ้งผลประโยชน์ต่าง ๆได้ทั้งหมด
ครู่เดียวฉู่จงเทียนจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ สวมเสื้อคลุมด้วยท่าทีเคร่งขรึม สั่งไม่ให้ลูกน้องติดตามไปด้วย ขับรถออกจากที่กบดานเพียงคนเดียว ขับรถด้วยความรวดเร็ว ฉู่จงเทียน ก็เดินทางมาถึงหน้าประตูฝ้านหยวน
มองเห็นฝ้านหยวนเงียบสงบไร้ผู้คน ฉู่จงเทียนรู้ได้ในทันทีว่าฝ้านหยวน จะต้องเกิดปัญหาขึ้นแล้วจริง ๆ
เปิดประตูลงจากรถ กุมหัวใจที่แน่วแน่มุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงต่อความตายแม้แต่น้อย ฉู่จงเทียนเดินเข้าไปในฝ้านหยวนด้วยท่วงท่ามั่นคง
เข้าไปด้านใน กลุ่มชายฉกรรจ์ก็เดินเข้ามาฉู่จงเทียนไว้
“เฮ้ ท่านเทียน ในที่สุดก็มาจนได้ ตามพวกผมมาทางนี้”