หลี่โม่และกู้หยุนหลันกลับถึงบ้าน เมื่อหวังฟางเห็นว่าดวงตาของกู้หยุนหลันแดงเล็กน้อย รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
“หยุนหลัน ทำไมตาของลูกถึงแดงล่ะ ไอ้คนไร้ประโยชน์มันรังแกลูกใช่ไหม!”
หวังฟางจ้องหลี่โม่อย่างดุเดือด คิดว่าหลี่โม่รังแกลูกสาวตนเอง
“แม่ ไม่ใช่น่ะ มันไม่เกี่ยวกับหลี่โม่ ทรายมันเข้าตาฉัน”
กู้หยุนหลันอธิบาย
“ทรายเข้าตาอะไร ทรายจะเข้าตาทั้งสองข้างพร้อมกันได้อย่างไร ต้องเป็นไอ้เศษสวะคนนี้รังแกลูกแน่นอน บอกแม่มาตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วแม่จะช่วยสั่งสอนไอ้เศษสวะคนนี้ให้เอง!”
หวังฟางดุด่า
หลี่โม่ยิ้มอย่างจำใจ และกล่าวเบา ๆว่า “ผมดูแลหยุนหลันไม่ดีเอง จึงทำให้หยุนหลันตกใจเล็กน้อย”
“ไอ้สารเลว เกิดอะไรขึ้นกับหยุนหลัน!”
หวังฟางหยิบไม้กวาดขึ้นมาด้วยความโกรธ เตรียมพร้อมไว้ถ้าความเห็นต่างกันก็จะทุบตีหลี่โม่ทันที
กู้หยุนหลันรีบขวางหวังฟาง และกล่าวกับหลี่โม่อย่างเร่งรีบว่า “คุณรีบเข้าไปที่ห้องก่อน ฉันจะอธิบายให้แม่ฟังเอง”
หลี่โม่ก้มศีรษะแล้วเดินเข้าไปในห้อง หวังฟางขว้างไม้กวาดด้วยความโกรธ “ลูกดูท่าทางเศษสวะของมัน ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลย มันน่าโมโหจริงๆ”
กู้หยุนหลันมึนงงไปชั่วขณะ ในสมองผุดภาพที่หลี่โม่ยืนอยู่ตรงกลางห้องงานจัดเลี้ยงที่ล้อมรอบด้วยศพของเหล่าอาชญากร
ถ้าหลี่โม่ยังไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย ฉันเกรงว่าผู้ชายทุกคนในโลกนี้จะไม่มีความเป็นลูกผู้ชายอีกแล้ว
กู้หยุนหลันคิดอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ถึงแม้ว่าจะเล่า หวังฟางก็ไม่เชื่ออยู่ดี
จึงหาเหตุผลสักอย่างเพื่อรับมือหวังฟาง จากนั้นกู้หยุนหลันก็เดินเข้าไปในห้องนอน
กู้หยุนหลันปิดประตูเบา ๆ จากนั้นเธอก็พิงประตู และจ้องไปที่หลี่โม่อย่างลึกซึ้ง
หลี่โม่ยิ้ม แล้วกล่าวด้วยความสงสัยว่า “คุณมองอะไรอยู่ ไม่มีดอกไม้อยู่บนใบหน้าของผมสักหน่อย”
“คุณ.. ตอนที่คุณออกไปคุณไม่กลัวหรือ”
กู้หยุนหลันกล่าวถาม
“กลัวสิ ไม่กลัวได้ยังไง ผมกลัวจนเกือบจะก้าวเท้าไม่ออก”
หลี่โม่พูดเรื่อยเปื่อย
“โกหก ต่อไปอย่าทำอย่างนั้นอีกน่ะ”
กู้หยุนหลันกล่าวเบา ๆ
หลี่โม่ยิ้มและยืนขึ้น แล้วเดินไปที่ข้างกู้หยุนหลัน โอบกอดกู้หยุนหลันไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
กู้หยุนหลันโอบเอวของหลี่โม่ไว้ ซุกหน้าที่สวยงามของเธอไว้บนไหล่ของหลี่โม่
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร ดื่มด่ำกับความอ่อนโยนของช่วงเวลานี้อย่างเงียบๆ
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำลายบรรยากาศระหว่างทั้งสองคน หลี่โม่จูบริมฝีปากของกู้หยุนหลันอย่างอ่อนโยน และปล่อยกู้หยุนหลันที่กำลังเขินอาย
กู้หยุนหลันหยิบกระเป๋าและล้วงโทรศัพท์ออกมา มองดูชื่อผู้โทรที่ปรากฏบนโทรศัพท์ ทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
คนที่โทรมาคืออู๋ผิงผิงเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของกู้หยุนหลัน พวกเธอไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานแล้ว การโทรมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หยุนหลันรู้สึกงงงวยเล็กน้อย
ลังเลสักครู่ กู้หยุนหลันจึงกดรับสาย “ฮาโหล ผิงผิง”
“หยุนหลัน ฉันบอกข่าวดีกับคุณ จางเจียต้องที่เป็นเดือนโรงเรียนมัธยมปลายของพวกเรากลับมาเมื่อสองวันก่อน จะจัดงานเลี้ยงรวมรุ่นมัธยมปลายในวันพรุ่งนี้ เขาขอให้ฉันติดต่อคุณ”
อู๋ผิงผิงกล่าวด้วยความตื่นเต้น
กู้หยุนหลันเข้าสู่ภวังค์ นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในโรงเรียนมัธยมปลาย เวลานั้นกู้หยุนหลันมักถูกเพื่อนร่วมชั้นจับคู่กับจางเจียต้อง แต่ว่าระหว่างทั้งสองคนไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด อย่างมากที่สุดก็เป็นจางเจียต้องเองที่แอบชอบกู้หยุนหลัน
หลังจากนั้นจางเจียต้องได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศจากการวางแผนของครอบครัว ว่ากันว่าเขาได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเขาได้ถูกมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับเข้าเป็นอาจารย์
ก่อนหน้าจางเจียต้อง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีธรรมเนียมไม่รับผู้สำเร็จการศึกษามาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เพื่อหลีกเลี่ยงการผสมการทางวิชาการ แต่จางเจียต้องได้ทำลายธรรมเนียมดังกล่าว
“ฮาโหล ๆ หยุนหลันยังฟังอยู่ไหม?”
เสียงของอู๋ผิงผิงดึงสติของกู้หยุนหลันกลับมา กู้หยุนหลันพึมพำและกล่าวว่า “ฉันไม่ไปดีกว่า ช่วงนี้ที่บ้านมีเรื่องมากมาย”
“ไม่ไปได้ยังไง จางเจียต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เราแค่ไปกินดื่มเที่ยวเท่านั้น ยังสามารถพาสมาชิกในครอบครัวไปได้ ข้อเสนอดีขนาดนี้ ยังไงก็ต้องไปให้ได้”
อู๋ผิงผิงกล่าวอย่างหนักแน่น
กู้หยุนหลันมองไปที่หลี่โม่ หลี่โม่กะพริบตาให้กู้หยุนหลัน และกล่าวเบา ๆ ว่า “งานเลี้ยงรุ่นก็ไปเถอะ ถือเป็นเรื่องดี ๆ”
“งั้นก็ได้ พรุ่งนี้กี่โมง?”
กู้หยุนหลันกล่าวถาม
“พรุ่งนี้ 5 โมงเย็นฉันจะไปรับคุณ สถานที่ยังเก็บเป็นความลับ จางเจียต้องบอกว่าอยากเซอร์ไพรส์พวกเรา”
น้ำเสียงของอู๋ผิงผิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“โอเค พบกันพรุ่งนี้”
กู้หยุนหลันวางโทรศัพท์ลง จับแขนหลี่โม่แล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้ไปเป็นเพื่อนฉันน่ะ”
“โอเค พรุ่งนี้จะไปดูว่าเดือนโรงเรียนของคุณหน้าตาเป็นอย่างไร” หลี่โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
กู้หยุนหลันเหลือบมองหลี่โม่ จากนั้นก็ดึงหลี่โม่แล้วกระซิบพูดความในใจ
……
เมืองเอก ณ.คฤหาสน์ตระกูลหม่า
หม่าเต๋อฝูพ่อของหม่าเจียเฉิงกำลังรับโทรศัพท์ หลังจากฟังเรื่องราวจากอีกฝ่าย หม่าเต๋อฝูตกตะลึง
“เหล่าหม่า ลูกชายของฉันตกใจกลัวจนต้องหาจิตแพทย์ สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ได้เกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายคุณจริง ๆ รีบติดต่อคนเมืองฮ่านเพื่อจะได้รู้สถานการณ์”
คนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์กล่าว
หน้าของหม่าเต๋อฝูกระตุก สีหน้าของเขาดูน่ากลัว “ไอ้สารเลย กล้าฆ่าลูกชายฉัน ฉันจะฆ่ามันทั้งครอบครัว!”
“เหล่าหม่าขอแสดงความเสียใจด้วย ตอนนี้ลูกชายของฉันขาดสติแล้ว ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว”
ได้ยินเสียงวางสายของอีกฝ่าย หม่าเต๋อฝูก็เขวี้ยงโทรศัพท์อย่างรุนแรง
“คุณท่าน คุณเป็นอะไรไป?”
พ่อบ้านชราเดินเข้ามาอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“ไปตรวจสอบ ตรวจสอบหลี่โม่ที่เมืองฮ่าน ตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นในปราสาทรอยัล ตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของลูกชายฉัน!”
หม่าเต๋อฝูคำรามด้วยความโกรธ
พ่อบ้านชราตัวสั่น รู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน พยักหน้าและถอยกลับไปสองก้าว หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเริ่มโทรออก
หลังจากการโทรศัพท์ติดต่อกันหลายครั้ง สถานการณ์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น ใบหน้าของพ่อบ้านก็ซีดลงเรื่อย ๆ
“คุณท่าน คุณชายเขา เขา……”
“ยังไงกันแน่ เสียชีวิตหรือยังมีชีวิตอยู่!”
หม่าเต๋อฝูคำราม
“คุณชายเสียชีวิตแล้ว ถูกยิงยี่สิบกว่านัด ว่ากันว่ากลุ่มโจรเป็นคนยิงคุณชายจนเสียชีวิต”
พ่อบ้านชรากล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่น
“เป็นไปได้ยังไง! เจียเฉิงจะตายได้ยังไง!”
หม่าเต๋อฝูเอามือทั้งสองข้างกุมหัวแล้วร้องไห้อย่างหนัก ยอมรับข่าวการเสียชีวิตของลูกชายตนเองไม่ได้
“คุณท่าน พวกเราไปเมืองฮ่านดีไหม เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่นั่น คุณชายไปงานเลี้ยงอาหารค่ำตามคำเชิญของคุณครัฟฟ์ แล้วทำไมถึงไปอยู่กับกลุ่มโจรได้อย่างไร”
หม่าเต๋อฝูปาดน้ำตา พยักหน้าและกล่าวว่า “พาคนไปด้วย รวบรวมบอดี้การ์ดทั้งหมด ไปตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ทำให้ลูกชายฉันตายก็ต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น!”
พ่อบ้านชรารีบรวบรวมลูกน้อง เขาโทรศัพท์หลายสาย และได้ติดต่อเจ้าพ่อหลายคนในเมืองเอก เพื่อสอบถามเกี่ยวกับข่าว
ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของพ่อบ้านชราก็แปลกไปเล็กน้อย เขาลังเลและเดินไปต่อหน้าหม่าเต๋อฝู
“คุณท่าน คุณชายฉินบอกว่าเขาเป็นคนช่วยติดต่อกับพวกโจร และยังบอกด้วยว่าคุณชายถูกครัฟฟ์และชายที่ชื่อหลี่โม่รังแก ต้องการแก้แค้นจึงได้ติดต่อกลุ่มโจร”