หลี่โม่ยืนโดยไม่ขยับไปไหน เขาให้หลงเทียนสิงเอาปืนจ่อที่หน้าผากตามอำเภอใจ
“พวกแกนี่จริงๆ เลยนะ ทำให้ลูกน้องของฉันกว่าสิบคนต้องบาดเจ็บเพราะพวกแก!”
หลงเทียนสิงพูดด้วยความโมโห
ตอนแรกคิดว่าจะเป็นเรื่องที่จัดการได้อย่างง่ายดาย แต่ลูกน้องของเขาตายและบาดเจ็บไปกว่าสิบคน เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก
“พวกแกคือคนที่ตระกูลหม่าส่งมาอย่างนั้นเหรอ”
หลี่โม่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เหอะๆ ตระกูลหม่าก็แค่ผลประโยชน์เท่านั้น คนโง่อย่างแกล่วงเกินท่านแปด แต่ก็ดี เราจับแกไปให้ท่านแปด จะต้องได้รับความโปรดปรานจากท่านแปดแน่นอน ต่อไปฉันจะได้เข้าสำนักหลงเหมิน”
หลงเทียนสิงพูดอย่างตื่นเต้น การที่ได้เข้าไปในสำนักหลงเหมิน เป็นเป้าหมายสูงสุดในใจของหลงเทียนสิง
หลี่โม่ขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นจึงยิ้มออกมา
เรื่องมันโยงไปถึงท่านแปดของสำนักหลงเหมิน นี่เป็นสิ่งที่หลี่โม่คาดไม่ถึงจริงๆ
แต่คำพูดของหลงเทียนสิง ทำให้หลี่โม่รู้อะไรขึ้นมาบ้าง
“ท่านแปดงั้นเหรอ เขาอยู่ที่เมืองฮ่านอย่างนั้นเหรอ”
หลี่โม่ถามขึ้น
“แน่นอนว่าเขาอยู่ที่เมืองฮ่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าแกไปล่วงเกินท่านแปดยังไง เมื่อกี้ไอ้หมอนั่นเป็นใคร”
“เป็นเพื่อนเก่าของภรรยาฉัน ฉันไม่สนิทกับเขา แต่ฉันกับท่านแปดก็ไม่ได้สนิทกันเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินเขายังไง”
หลงเทียนสิงส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะถามอะไรเยอะแยะ แกไปล่วงเกินท่านแปดยังไง แกก็ไปถามเขาเองสิ”
“พวกแกเข้าไปฆ่าคนในคฤหาสน์ให้หมด แล้วก็เอาตัวมันไป!”
แววตาของหลี่โม่ฉายแววเย็นยะเยือก เขาพุ่งออกไปทางหนึ่งแล้วส่งสัญญาณมือออกมา
“อย่าวุ่นวาย รีบวางมือของแกลง”
หลงเทียนสิงพูดเตือนหลี่โม่
“แกตายแน่นอน”
“แกน่ะสิที่ตาย…อ๊าก!”
กระสุนปืนไรเฟิลพุ่งมาตรงหน้าผากของหลงเทียนสิง เขากระตุกไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล้มลงไปบนพื้น
เหล่าลูกศิษย์สถาบันบู๊พากันแตกตื่น และรู้ว่าที่นี่มีการลอบยิง
ไม่รอให้พวกลูกศิษย์สถาบันบู๊ตั้งสติได้ เสียงของกระสุนปืนไรเฟิลดังขึ้นมาอีก เหล่าลูกศิษย์โดนยิงและล้มไปบนพื้น
เหล่าผู้คุ้มกันของสำนักหลงเหมินพุ่งเข้ามาข้างหลี่โม่พร้อมอาวุธครบมือ พวกเขามองเหล่าลูกศิษย์สถาบันบู๊ด้วยแววตาระแวดระวัง คนที่บาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถขยับไปไหนได้เริ่มสิ้นหวัง แต่บอกว่าจัดการไอ้สวะคนเดียวไม่ใช่หรือไง แถมยังเป็นพวกลูกเขยที่แต่งเข้ามาในบ้านผู้หญิง แต่ทำไมข้างกายของไอ้สวะนี่เต็มไปด้วยการคุ้มกันอย่างหนาแน่นล่ะ!
“จะจัดการพวกมันยังไงดีครับเจ้านาย”
หัวหน้าของทีมคุ้มกันพิเศษเอ่ยถามขึ้นอย่างนอบน้อม
“ถามเรื่องที่พวกมันเกี่ยวข้องกับท่านแปดให้ละเอียด แล้วก็จัดการที่นี่ให้เรียบร้อย”
หลี่โม่สั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ครับ!”
ภายในคฤหาสน์ อู๋ผิงผิงกำลังกดโทรออกด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา แต่ไม่ว่าจะกดยังไงก็หมายเลขผิด เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้คุ้มกันสำนักหลงเหมินพุ่งเข้ามา เธอก็อึ้งไป
“คนพวกนี้คือสายตรวจเหรอ แต่ดูจากการแต่งตัวไม่น่าจะใช่นะ”
อู๋ผิงผิงถามอย่างสติหลุดลอย
“ดูเหมือนพวกบอดี้การ์ดส่วนตัวอะไรทำนองนั้น เหมือนว่าพวกเขาจะได้รับคำสั่งมาจากหลี่โม่ พระเจ้า อย่าบอกนะว่าหลี่โม่มีผู้คุ้มกันส่วนตัว!”
“หยุนหลัน สามีของเธอเป็นใครกันแน่ ทำไมเขาถึงมีผู้คุ้มกันส่วนตัว!”
เพื่อนนักเรียนต่างพากันมองกู้หยุนหลันอย่างตกตะลึง ความคิดของพวกเธอที่มีต่อหลี่โม่ก่อนหน้านี้หายไปทันที ตอนนี้พวกเธอต่างคิดว่าหลี่โม่ต้องเป็นคนที่เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน คนธรรมดาที่ไหนจะมีผู้คุ้มกัน
กู้หยุนหลันส่ายหน้า เธอไม่รู้จะตอบคำถามของพวกเพื่อนๆ อย่างไร สำหรับตัวตนของหลี่โม่ กู้หยุนหลันต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
เมื่อเห็นว่ากู้หยุนหลันส่ายหน้าและไม่พูดอะไร อู๋ผิงผิงและคนอื่นๆ ต่างพากันถอนหายใจออกมา และคิดว่าเพราะเรื่องเมื่อครู่ ทำให้กู้หยุนหลันรังเกียจพวกเธอ
ของดีที่ถูกซ่อนอยู่กลับถูกปล่อยออกไปอย่างไร้เหตุผล อู๋ผิงผิงกับคนอื่นๆ แทบจะร้องไห้ออกมา
เหล่าผู้คุ้มกันเริ่มจัดการที่เกิดเหตุตามคำสั่งของหลี่โม่ เขามองจางเจียต้องที่นอนแกล้งตายอยู่ไม่ไกลจึงเดินเข้าไป
จางเจียต้องพยายามกลั้นหายใจและควบคุมระดับการหายใจของตัวเอง เขาหายใจออกมาอย่างเบาๆ เพราะต้องการทำเหมือนคนตายให้สมจริงที่สุด
หลี่โม่ยืนข้างจางเจียต้อง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันรู้ว่าแกกำลังแกล้งตาย และรู้ว่าจะต้องมีคนมาช่วยชีวิตแกด้วย แต่เห็นแก่ที่ฉันมีความสนใจในด้านการดัดแปลงยีน วันนี้ฉันจะปล่อยแกไป หวังว่าถ้าเจอแกครั้งหน้า แกจะคิดได้นะ”
จางเจียต้องกลั้นความโกรธและอยากจะด่าหลี่โม่เอาไว้ เขาแกล้งตายต่อไป
คิดได้บ้านแกสิ! ฉันคิดได้ตั้งนานแล้ว ใครจะไปรู้ว่าคนเก่งอย่างแกจะแกล้งทำเป็นสวะกันล่ะ แถมยังไม่มีท่าทีข่มเหงคนอื่นอีก!
เพราะผลของการดัดแปลงยีนค่อนข้างต่ำ กลับไปจะต้องวิจัยการกลายพันธุ์ของยีนอีกครั้ง ต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้ให้ได้!
ขณะที่จิตใจของจางเจียต้องกำลังเดือดพล่าน เขาควบคุมลมหายใจของตัวเองไม่ได้
“เหอะๆ หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว ตอนนี้แกคงอยากจะกระโดดขึ้นมาฆ่าฉันจนอดไม่ไหวแล้วสินะ”
หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จู่ๆ จางเจียต้องแข็งไปทั้งตัว เขาหลับตาปี๋ เพราะรู้สึกว่าหลี่โม่กำลังข่มขู่เขา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหลี่โม่ไกลออกไป จางเจียต้องพรูลมหายใจออกมา คิดในใจว่าโชคดีที่เขาอดทนมาได้ และไม่โดนหลี่โม่ข่มขู่
หลี่โม่เข้ามาในคฤหาสน์ อู๋ผิงผิงและคนอื่นๆ มองเขาด้วยแววตาตึงเครียด แต่ละคนมีท่าทางกระอักกระอ่วนและสับสนไม่รู้จะพูดกับหลี่โมยังไง เพราะกังวลว่าหลี่โม่จะคิดแค้นกับเรื่องเมื่อครู่
กู้หยุนหลันเดินเข้ามาหาหลี่โม่ เธอจับมือของหลี่โม่เอาไว้ แววตาคู่สวยมองไปที่หลี่โม่
หลี่โม่โอบกู้หยุนหลันเอาไว้ โดยไม่สนใจอู๋ผิงผิงและคนอื่น ราวกับว่าในคฤหาสน์มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
“กลับบ้านกันเถอะ”
“อืม”
กู้หยุนหลันพยักหน้าเบาๆ เธอคล้องแขนหลี่โม่และเดินออกจากคฤหาสน์
อู๋ผิงผิงมองทั้งสองคนด้วยแววตาอิจฉาริษยา เธอคิดในใจว่าถ้ามีสามีที่เหนือมนุษย์แบบนี้ก็คงจะดี
พวกเพื่อนผู้ชายในนั้นต่างพากันส่ายหน้าและถอนหายใจ คิดว่าพอเอาคนมาเทียบกันมันน่าโมโหจริงๆ ถ้าเทียบกับหลี่โม่ พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่สมกับเป็นผู้ชายเลย
หลี่โม่จับมือของกู้หยุนหลันออกจากคฤหาสน์ที่มาพัก จากนั้นจึงเดินไปบนถนนอย่างช้าๆ
“คุณมีอะไรอยากจะถามผมไหม”
หลี่โม่ถามขึ้นอย่างสับสน
ตอนนี้สถานการณ์ของสำนักหลงเหมินวุ่นวาย ในอนาคตไม่รู้ว่าจะสามารถรับช่วงต่อจากสำนักหลงเหมินได้หรือไม่ การที่จะอธิบายตัวตนให้กู้หยุนหลันรู้ในตอนนี้ ทำให้หลี่โม่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
แต่ถ้าไม่อธิบาย เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ กลัวว่ากู้หยุนหลันจะคิดอะไร และถ้าเธอคิดเลยเถิดจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี
กู้หยุนหลันลูบหน้าหลี่โม่เบาๆ จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่ถามหรอก การที่นายไม่บอกในตอนนี้ เพราะว่ากำลังทุกข์ใจ ฉันรอวันที่นายหายทุกข์ใจและบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับฉัน”
“คุณภรรยา”
หลี่โม่รู้สึกซาบซึ้งใจ เขากอดกู้หยุนหลันแน่น จากนั้นจึงก้มหน้าประทับริมฝีปากไปบนริมฝีปากแดงของกู้หยุนหลัน
หลังจากผ่านไปนานทั้งสองจึงผละออกจากกัน กู้หยุนหลันพูดด้วยหน้าแดงระเรื่อ “พอแล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก”