หลี่โม่มองกู้ชิงหลินที่เหมือนไก่ชนอย่างพูดไม่ออก จากนั้นจึงมองกู้หยุนหลันด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
กู้หยุนหลันกลอกตามองบนใส่หลี่โม่ เขายกมือเคาะโต๊ะ
“ฉันต้องทำงาน คนที่ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ออกไปเถอะ คางเหวินซิงพาเฉินเสี่ยวถงไปเดินเล่นสิ”
กู้หยุนหลันพูดเช่นนั้น กู้ชิงหลินกับเฉินเสี่ยวถงจึงเถียงไม่ออก ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเคียดแค้น จากนั้นจึงเดินออกจากห้องทำงานของกู้หยุนหลัน
หลี่โม่ถอนหายใจออกมา เขาพูดอย่างกลุ้มใจว่า “คุณว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่ผมกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมไปแล้วเหรอ ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์ขนาดนี้มาก่อน”
“นายอย่าหลงตัวเอง ทำไมฉันรู้สึกว่าท่าทีของกู้ชิงหลินที่มีต่อนายเปลี่ยนไปเยอะมาก หรือว่าเรื่องที่งานเลี้ยงที่โรงกลั่นเหล้าองุ่นจะกระตุ้นความรู้สึกของเธอ”
กู้หยุนหลันรู้สึกว่ากู้ชิงหลินผิดปกติ ท่าทีของเธอที่มีต่อหลี่โม่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะ กู้ชิงหลินกับเฉินเสี่ยวถงทำให้ผมปวดหัวมาก พวกเรายังคุยกันว่าจะไปดูคฤหาสน์ พวกนั้นทำให้เสียเวลาหมด”
หลี่โม่กลุ้มใจ เพราะเรื่องดูคฤหาสน์เป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามีบ้านหลังใหญ่ ก็สามารถรับซีซีกลับมาพักที่บ้านได้ ถ้าอยู่กันทั้งครอบครัวใหญ่คงจะแออัดน่าดู บ้านเดิมดูไม่น่าจะอยู่กันพอ
“ดูคฤหาสน์ไปก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี ฉันว่าอย่าหวังสูงเกินตัวจะดีกว่า”
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ผมสามารถหาเงินมาได้แน่นอน”
กู้หยุนหลันย่นปากยู่ เธอคิดและพูดว่า “งั้นไปดูก็ได้ ตอนนี้ไม่มีอะไรทำพอดี”
“งั้นไปกันเถอะ”
หลี่โม่ช่วยกู้หยุนหลันเก็บของอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเดินจูงมือกัน ออกมาจากห้องทำงาน
เมื่อออกมาจากตึก เจอเฉินเสี่ยวถงยืนอยู่ข้างรถเบนซ์ของคางเหวินซิงพอดี เธอกำลังเตะล้อรถไม่หยุด
คางเหวินซิงยืนอยู่ข้างๆ พร้อมใบหน้ายิ้มแย้มและคำพูดตลกต่างๆ นานา เขากำลังพยายามทำให้เฉินเสี่ยวถงอารมณ์ดี
“นี่ อาจารย์กับอาจารย์หญิงมาแล้ว”
เมื่อคางเหวินซิงเห็นหลี่โม่กับกู้หยุนหลันเดินเข้ามา เขาจึงพูดกับเฉินเสี่ยวถงเบาๆ
เฉินเสี่ยวถงเงยหน้ามองหลี่โม่กับกู้หยุนหลัน รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เหมือนความหงุดหงิดเมื่อครู่หายวับไปทันที
“พี่หยุนหลัน พี่หลี่โม่ พวกพี่จะไปไหนเหรอ”
เฉินเสี่ยวถงถามเสียงหวาน
“มาหาคางเหวินซิงนี่แหละ พวกเราจะไปดูคฤหาสน์ที่ชุมชนหนานชุ่ย ต้องการให้เหวินซิงนำทางไปน่ะ”
กู้หยุนหลันพูดอย่างสุภาพ
“อาจารย์หญิงพูดเกรงใจอะไรขนาดนั้น ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว ขอแค่อาจารย์สอนเทคนิคการขับรถให้ผมก็พอ”
“เหอะๆ ได้สิ คืนนี้ฉันจะสอนเทคนิคการขับรถให้”
หลี่โม่หัวเราะและเอ่ยขึ้น
คางเหวินซิงดีใจจนกระโดดตัวลอย เขารู้สึกว่าความสุขมาเร็วมาก แต่หลังจากที่เขาดีใจเสร็จ เขาก็พูดอย่างเสียใจว่า “แต่รถยนต์ Bugatti Veyron ของผมพังแล้ว ไม่งั้นอาจารย์คงได้ขับรถ Bugatti Veyron สอนผม มันต้องสุดยอดมากแน่นอน น่าเสียดายจริงๆ”
“เหอะๆ เรียนเทคนิคการขับรถ จะใช้รถหรูขนาดนั้นทำไม ถ้านายขับรถแทรกเตอร์ชนะรถสปอร์ตได้ นายก็เป็นเทวดาแห่งรถในยุคนี้แล้ว”
หลี่โม่พูดติดตลก
คางเหวินซิงได้ยินก็อ้าปากค้าง เขาเชื่อคำพูดของหลี่โม่ ในหัวของเขามีภาพที่ตัวเองขับรถแทรกเตอร์แซงรถสปอร์ต ฉากนั้นมันงดงามจริงๆ
“โอ้โห แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วครับ อาจารย์ต้องสอนผมดีๆ นะครับ ผมจะตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่! ผมจะขับรถแทรกเตอร์แซงรถสปอร์ตให้ได้!”
“เอ่อ เจ้าคางนายบ้าไปแล้วเหรอ ที่พี่หลี่โม่พูด น่าจะไม่ใช่เรื่องจริง อย่าบอกนะว่านายจะขับรถแทรกเตอร์ฝึกเทคนิค”
เฉินเสี่ยวถงพูดแขวะอย่างเหนื่อยใจ
“ที่อาจารย์พูดต้องเป็นเรื่องจริง ผมจะพยายามครับอาจารย์!”
คางเหวินซิงพูดอย่างจริงจัง
“มีความตั้งใจดี งั้นไปชุมชนหนานชุ่ยก่อน ขึ้นรถ”
หลี่โม่เอ่ยขึ้น
คางเหวินซิงรีบเปิดประตูรถ หลี่โม่และคนอื่นพากันขึ้นรถ
รถเบนซ์ถูกสตาร์ทและมุ่งหน้าไปยังหนานชุ่ยซานแถวชานเมือง ระหว่างทางคางเหวินซิงโทรหาผู้จัดการฝ่ายขายของชุมชนหนานชุ่ย
“ฮัลโหล ผู้จัดการหวัง ผมคางเหวินซิงเอง”
“สวัสดีครับคุณชาย คุณชายมีเรื่องอะไรให้รับใช้ครับ”
ผู้จัดการหวังพูดอย่างเป็นกันเอง
“ผมพาอาจารย์ไปดูบ้าน คฤหาสน์ที่ดีที่สุดบนยอดเขาน่ะ นายเตรียมไว้ให้หน่อย”
ผู้จัดการหวังขมวดคิ้ว และพูดอย่างลำบากใจว่า “นั่นเป็นคฤหาสน์ที่คุณอาของคุณเก็บไว้ให้ตัวเองนิครับ คุณพาเพื่อนดูหลังอื่นดีไหมครับ”
“ทำไม คำพูดของฉันเทียบไม่ได้กับคำพูดของอาเหรอ อีกอย่าง เขาอยู่ในเมืองฮ่าน จะเอาคฤหาสน์ไปทำไม อย่ามาหลอกฉันเลย”
คางเหวินซิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ผมกล้าหลอกคุณที่ไหนกันครับ คางหย่งเฉียนอาเล็กของคุณต้องการเก็บไว้ให้ตัวเองจริงๆ ครับ เขาเพิ่งโทรมาบอกผมเมื่อสองวันก่อน ไม่งั้นคุณลองโทรคุยกับเขาดูไหมครับ”
ผู้จัดการหวังลำบากใจทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคางเหวินซิงหรือคางหย่งเฉียน ล้วนเป็นคนที่ผู้จัดการหวังไม่กล้าล่วงเกิน และไม่สามารถล่วงเกินได้ด้วย
คางเหวินซิงหงุดหงิดใจ ก่อนหน้านี้เขามั่นอกมั่นใจมาก แถมยังบอกว่าจะขายให้ในราคาต้นทุนอีก ตอนนี้จะพาไปดูบ้านยังยากเลย นี่มันน่าอับอายชะมัด!
“นายไม่ต้องพูดไร้สาระกับฉัน ฉันต้องการแค่อย่างเดียว อีกเดี๋ยวฉันจะพาเพื่อนไปดูบ้าน ถ้าเพื่อนฉันถูกใจ นายต้องรีบเอาสัญญาซื้อขายบ้านมาทันที คิดราคาต้นทุน ถ้าขืนนายยังพูดมากอีก ฉันจะไล่นายออก!”
คางเหวินซิงเอาอำนาจของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลคางออกมาใช้ เขาบีบบังคับให้ผู้จัดการหวังจนมุม
ผู้จัดการหวังพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ผมจะพยายาม จะพยายามทำให้ได้ครับ”
คางเหวินซิงวางสายอย่างหงุดหงิด เขาโยนมือถือไปบนคอนโซลรถอย่างไม่พอใจ
“คางเหวินซิง นายไหวไหมเนี่ย คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นราชาปากแข็ง ที่ว่ากันว่าทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ไมได้เรื่องสักอย่างคือนายสินะ” เฉินเสี่ยวถงพูดแล้วยิ้มออกมา
คางเหวินซิงทุบพวงมาลัยและพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่า อาเล็กของผมจะชอบคฤหาสน์หลังนั้นเหมือนกัน แถมยังบอกให้ผู้จัดการฝ่ายขายเก็บไว้อีก แต่ไม่ต้องเป็นห่วง มีผมอยู่ ต้องทำสำเร็จแน่นอน”
“ถ้าไม่สะดวกก็ช่างเถอะ ดูคฤหาสน์หลังอื่นก็เหมือนกัน”
กู้หยุนหลันไม่อยากให้คางเหวินซิงลำบาก อีกอย่างเธอไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อคฤหาสน์ สู้ถือโอกาสดูหลังอื่น จะได้ไม่ทำให้คางเหวินซิงลำบากใจ
คางเหวินซิงวางมาดขึ้นมา บวกกับปัจจัยด้านศักดิ์ศรีที่เข้ามาก่อกวน เขาจึงทำแสร้งทำเป็นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“อาจารย์หญิงไม่ต้องกังวลครับ เรื่องอาเล็ก เดี๋ยวผมคุยเอง ฮวงจุ้ยที่คฤหาสน์บนยอดเขาดีมาก คุณไปดูก็จะรู้ ที่นั่นเหมาะมาก สำหรับการพักอาศัยของครอบครัวคุณ เรียกได้ว่าเป็นที่พำนักของเทพเซียนสมัยใหม่เลยก็ได้”
“ปากนายนี่ลื่นไหลจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นฝ่ายขายบ้าน ถ้านายไปขายบ้าน ผลประกอบการต้องไม่เลวแน่” เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างขื่นขม
“ขอบคุณสำหรับคำชม ผมพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เกินจริงแม้แต่คำเดียว เรียกได้ว่าของจริงดีกว่าที่ผมพูดเยอะ”
คางเหวินซิงพูดอย่างจริงจัง