คางหย่งเฉียนรู้สึกเดือดดาลกับโทรศัพท์นี่เสียเหลือเกิน
เมื่อกี้คางเหวินซิงตอบว่าหลี่โม่จะไม่มาโรงพยาบาล แต่ให้โอวหยางจื้อไปหาเขาที่โรงพยาบาลแทน ทำให้คางหย่งเฉียนอดรู้สึกที่จะไปสับหลี่โม่เป็นชิ้นๆไม่ได้ พอเข้าห้องผู้ป่วย โอวหยางจื้อก็ถามพลางกวาดตามองคางหย่งเฉียน
คางหย่งเฉียนถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ก้มหน้าพูด“หลี่โม่ไม่ยอมมา บอกให้เราไปพบเขาเอง ไอ้นี่มันเกินไปจริงๆ มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ!”
พวกลูกศิษย์ของโอวหยางจื้อต่างเดือดดาล ตะโกนด่าทอหลี่โม่
“ไอ้บรรลัยเอ๊ย ยังไม่รีบมาหาอาจารย์อีก ไว้หน้าเกินไปแล้ว!”
“ใครที่ให้ความกล้ากับเขานะ ถึงได้กล้าพูดจาบ้าๆแบบนี้ อาจารย์ครับ พวกเราไปเก็บมันกัน!”
“จะต้องสั่งสอนมันดีๆสักตั้ง ไม่งั้นอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
เขาถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมจัดการลูกศิษย์ โอวหยางจื้อส่ายหน้ายิ้มสองที
“พวกแกจะวู่วามกันทำไม ดูศิษย์พี่เกิ่งของพวกแกซิ พวกแกเนี่ยมีใครที่เก่งไปกว่าเขาได้อีก”
พวกลูกศิษย์ลูกหาต่างหมดคำพูด แม้ว่าศิษย์พี่เกิ่งจะไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่ แต่วิทยายุทธ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่เลย โดยพื้นฐานนับได้ว่าเป็นมาตรฐานเดียวกันด้วยซ้ำ แถมยังเก่งกาจกว่าอีก
ตอนนี้ศิษย์พี่เกิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้หลี่โม่ด้วยซ้ำ ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูด
ศิษย์พี่เกิ่งกำหมัดแน่นกำปั้นทุบเตียง
“หลี่โม่มันสมควรตาย ตกลงเป็นไงมาไงนี่!”
“อย่าวู่วามไป ในเมื่อมันให้เราไปหา ก็ไปหามัน”
แม้ว่าในใจโอวหยางจื้อจะไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา
ก่อนที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่โม่ โอวหยางจื้อไม่อยากจะผลีผลามอะไรทั้งนั้น
ถ้าแค่หลี่โม่คนเดียว โอวหยางจื้อก็จะหาทางทำให้ตายอยู่แล้ว
โอวหยางจื้อรู้ดีว่าหลี่โม่คงไม่ได้ออกมาจากหินหรอก ต้องมีสำนักแน่นอน ถ้าเผลอไปแหย่โดนสำนักลับอะไรเข้า ผลลัพธ์โอวหยางจื้ออาจจะรับผิดชอบไม่ไหวก็ได้
เป็นเพราะมีการครุ่นคิดมากมายขนาดนี้ โอวหยางจื้อถึงได้แสดงออกอย่างอ่อนโยนขึ้นมาหน่อย
“อาจารย์ครับ หานซื่อเจี๋ยแห่งสำนักเจ้าสำนักสำนักหมัดทงเป้อยู่ในท้องที่ครับ หรือเราจะหาหานซื่อเจี๋ยให้มาจัดการหลี่โม่ดี”
ศิษย์พี่เกิ่งราวกับอ่านใจโอวหยางจื้อออก เลยแนะไปแบบนี้
โอวหยางจื้อนิ่งขรึม พยักหน้าเล็กน้อยพูดขึ้น“ก็ได้อยู่หรอก เตรียมรถ ไปพบหานซื่อเจี๋ย”
พวกคางหย่งเฉียนรีบเข็นโอวหยางจื้อออกจากห้องผู้ป่วย ขับรถจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปหาหานซื่อเจี๋ย
ไม่นานนัก รถจอดลงที่หน้าประตูที่พักของหานซื่อเจี๋ย
พวกลูกศิษย์ลูกหาของหานซื่อเจี๋ยตื่นเต้นที่ได้เห็นพวกโอวหยางจื้อ
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านใดมาเยือน”
ลูกศิษย์คนหนึ่งปัดมือถาม
“ข้าโอวหยางจื้อ มาคาราวะเจ้าสำนักหานซื่อเจี๋ยแห่งสำนักเจ้าสำนักสำนักหมัดทงเป้”
พวกลูกศิษย์ของหานซื่อเจี๋ยแอบตกตะลึงในใจ ชื่อเสียงของโอวหยางจื้อ พวกเขาเคยได้ยินมาก่อน เป็นปรมาจารน์ศิลปะการต่อสู้ผู้เยี่ยมยุทธ
“ที่แท้เป็นปรมาจารย์โอหยางนี่เอง เชิญทุกท่านเข้ามานั่งพักข้างในก่อนเถอะนะ พวกเราจะไปรายงานอาจารย์ว่าปรมาจารย์โอหยางมาเยือน”
โอวหยางจื้อพยักหน้าเล็กน้อย มือไพล่หลังเดินนำพวกลูกศิษย์ลูกหาเข้าไป
ลูกศิษย์ของหานซื่อเจี๋ยก้าวเท้าฉับๆไปสวนด้านหลัง แล้วเข้าไปในห้องของหานซื่อเจี๋ย
หานซื่อเจี๋ยผู้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนอาสนะ ตื่นไหวเล็กน้อยกับเสียงฝีเท้าของลูกศิษย์ พูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า“ตื่นตูมอะไรกัน ฟ้าถล่มหรือไง”
“ไม่ใช่ฟ้าถล่มขอรับ แต่เป็นปรมาจารย์โอหยางมา ท่านปรมาจารย์โอวหยางจื้อขอรับ”
“ว่าไงนะ ผู้เลื่องชื่อด้านศิลปวิทยา ที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทุกมุมโลกอย่างท่านโอวหยางจื้อน่ะนะ”
หานซื่อเจี๋ยพูดพลาง ลุกขึ้นยืนจากอาสนะ
“ปรมาจารย์โอหยางจื้อท่านนั้นแหละขอรับ เห็นว่าจะมาคาราวะอาจารย์ ผมดูทีท่าไม่เห็นมีเจตนามาดร้ายอะไร”
“เร็วๆๆ รีบตามข้าออกไปเร็ว”
หานซื่อเจี๋ยจัดผ้าผ่อน นำพาลูกศิษย์ก้าวเท้าออกจากห้องไป แล้วมุ่งหน้าไปที่สวน
เมื่อมาถึงหน้าสวน เห็นโอวหยางจื้อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หานซื่อเจี๋ยจึงรีบค้อมมือพูด“ไม่ทราบว่าปรมาจารย์โอหยางจื้อจะมาเยือน ข้าน้อยจึงออกมาต้อนรับช้าไป”
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าสำนักหานท่านเกรงใจไปแล้ว อาคันตุกะที่มาโดยมิได้นัดหมายช่างเป็นอาคันตุกะที่แย่เสียนี่กระไร”
โอวหยางจื้อโบกปัดมือตามมารยาท
“ปรมาจารย์โอหยางจื้อ นี่คือเตรียมจะตั้งรกรากที่เมืองฮ่านด้วยแล้วใช่หรือไม่”หานซื่อเจี๋ยถามอย่างแปลกใจ
“มีความคิดแบบนี้ แต่เรื่องที่มาในวันนี้ไม่เกี่ยวกัน ต้องการจะมาสอบถามเรื่องคนๆหนึ่งจากเจ้าสำนักหาน”
“หือ?”
หานซื่อเจี๋ยประหลาดใจ จากนั้นยิ้มแล้วพูด“สอบถามถึงคนในเมืองฮ่านเหรอ งั้นผมพอมีวิธีครับ”
“เป็นคนในเมืองฮ่าน เป็นลูกเขยบ้านสกุลกู้ชื่อหลี่โม่ ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักหานเคยได้ยินหรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าหานซื่อเจี๋ยแข็งทื่อ
ชื่อของหลี่โม่ สำหรับหานซื่อเจี๋ยแล้ว ราวกับเงาทมิฬก็ไม่ปาน แค่ได้ยินชื่อหลี่โม่ หานซื่อเจี๋ยก็รู้สึกมีเงาดำปกคลุมใจ
โอวหยางจื้อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากหานซื่อเจี๋ย ยักคิ้วถาม“ดูท่าเจ้าสำนักหานรู้จักคนผู้นี้”
“ฮ่าๆ”
หานซื่อเจี๋ยยิ้มเฝื่อนสองที“รู้สิ รู้แน่นอนอู่แล้ว สองปีก่อนเขาขึ้นชื่อมากในเมืองฮ่าน แต่ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นแค่สวะ แต่ว่านะ……”
“แต่ว่าทำไม เชิญเจ้าสำนักหานว่ากล่าวตามตรง”
โอวหยางจื้อไม่อยากพูดอ้อมค้อม จึงโพล่งถามออกไป
“แต่ผมว่าน่าจะเป็นข่าวลือเสียมากกว่า หรือว่า อาจจะเป็นการเสแสร้งของหลี่โม่ก็ได้ ถ้าพูดกันอย่างไม่กระดาก ผมเพิ่งเสียเปรียบหลี่โม่มาขนานใหญ่ ผมให้สูตรยาจากบรรพบุรุษออกไป จึงได้ยุติความขัดแย้ง”
หานซื่อเจี๋ยก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องราวอะไร ถ้าหากคิดจะปิดบังเรื่องราวเพื่อหน้าตา ถ้าหากว่าโอวหยางจื้อให้ตนเองไปปะทะกับหลี่โม่ แบบนั้นคงจะยุ่งแน่ ดีไม่ดีกลายเป็นนกสองหัว ผิดใจกันทั้งสองฝ่าย
โอวหยางจื้อกับพวกคางหย่งเฉียนหัวใจหล่นตุ๋มลงไปที่ตาตุ่ม อยากจะให้หานซื่อเจี๋ยช่วยแก้ปมเรื่องนี้สักหน่อย ตอนนี้ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
“ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักหาน เห็นอย่างไรกับพื้นเพของหลี่โม่ คิดว่าเป็นศิษย์สำนักไหน”
โอวหยางจื้อถามต่อ
“เรื่องนี้ ว่ากันอย่างไม่ปิดบัง เห็นหนึ่งกระบวนท่าของหลี่โม่แล้วออกจะตกใจ ถึงขนาดพูดได้ว่า อย่างหลี่โม่ไม่ได้เรียกกระบวนท่า แค่ปัดมือไปมา ลูกศิษย์ก็ตาลายหมดแล้วล่ะ”
“เดิมทีอย่างปะทะฝีมือกับหลี่โม่เสียหน่อย แต่พอเห็นแบบนี้ ก็เลยดับความคิดไป แล้วเลยตามเลย นักท่องยุทธภพยิ่งท่องยิ่งชำนาญ ความกล้าถดถอย อย่างผมนี่ความกล้าลดน้อยลง”
หานซื่อเจี๋ยเล่าเรื่องน่าอับอาย ทำให้ผู้ฟังอย่างพวกโอวหยางจื้อตาค้าง
รู้สึกว่าเป็นคู่หูที่เข้ากันดีเหลือเกิน ล้มไม่เป็นท่าแบบศิษย์พี่เกิ่ง
“หลี่โม่คนนี้ลึกลับจริง เจ้าสำนักหาน ข้ามีเรื่องขอร้องอย่างไม่เกรงใจ อยากให้ท่านช่วยหน่อย”
โอวหยางจื้อกลอกตาพูด