หลี่โม่ไปสั่งอาหารหรูหราชุดใหญ่ที่กวนเหลินกัง พอห่อเรียบร้อยจึงนำขึ้นรถกลับบ้าน
คางเหวินซิงยิ้มแล้วมองหลี่โม่“อาจารย์ครับ กลับไปแบบนี้คือเสร็จงานแล้วใช่ไหมครับ”
“แล้วมีอะไรที่จะทำให้เสร็จงานไม่ได้เล่า ก็ส่งๆให้เฉินเสี่ยวถงไปงั้นๆแหละ”
หลี่โม่พูดสบายอารมณ์
สำหรับเฉินเสี่ยวถง ก็เป็นแค่เรื่องอำเล่น ถ้ามากไปกว่านั้นก็เป็นความผิดแล้ว
คางเหวินซิงขับรถส่งหลี่โม่กลับไป ตอนที่หลี่โม่ลงจากรถ กำชับให้คางเหวินซิงมารับตอนหนึ่งทุ่มตรง
ตอนค่ำๆยังต้องไปภูเขาเซียนถายอีกรอบ ใช้ทอมป์สันแลกตัว ฉู่ฟางเฉิง นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ
ที่จริงเรื่องแลกเปลี่ยน หลี่โม่จะไปหรือไม่ก็ย่อมได้ แต่หลี่โม่อยากรู้จักคนที่อยู่เบื้องหลังทอมป์สันมากกว่านี้ ก็เลยตัดสินใจตามไปดูหน่อย
สำหรับคนที่ไม่ใจในความสามารถของพวกฉู่จงเทียน ถ้าหากว่าพวกฉู่จงเทียนโดนทำลายล้างล่ะ งั้นคงไม่ดีแน่หลี่โม่หิ้วห่ออาหารกลับบ้าน เฉินเสี่ยวถงเท้าคางรอ จ้องหน้าหลี่โม่งอนตุ๊บป่อง
“พี่หยุนหลัน ดูสิๆ พี่หลี่โม่เป็นพวกสิบแปดมงกุฏ พูดซะดิบดี บอกว่าจะทำของอร่อยให้กิน แล้วไงล่ะ หึหึ!”
กู้หยุนหลันยิ้มพลางโอบเอวเฉินเสี่ยวถง พูดปลอบใจ“มีกินก็ดีแล้วจ๊ะ เลือกอะไรมากมาย”
“ที่ฉันพูดคือเลือกเหรอ ทั้งๆที่เขาไม่รักษาคำพูดแท้ๆ แล้วยังแอบหนีพวกเราออกไปอีก ใครจะรู้ว่าไปทำไรบ้าง”
เฉินเสี่ยวถงกลอกตาพูด
หลี่โม่มองเฉินเสี่ยวถงอย่างหมดคำพูด ยัยนี่ฉลาดเป็นกรด
“ไปซื้อกับข้าวที่กวนเหลินกัง มีแต่ของที่อร่อยที่สุด มีพระกระโดดกำแพง โจ๊กข้าวสาลีอ่อนตุ๋นหนังกระเพาะปลา รีบมากินสิ”
หลี่โม่เปิดอาหารขึ้นบนโต๊ะ กลิ่นหอมรัญจวนโชยมา
เฉินเสี่ยวถงกลืนน้ำลายสองที อดไม่ได้ที่น้ำลายไหล
ตอนเช้าไปวัดหลิงซานเป็นเพื่อนกู้หยุนหลันมารอบหนึ่ง เสียแรงไปไม่น้อยเลย ตอนขากลับท้องร้องจ๊อกๆ แต่เมื่อกี้พูดอะไรแปลกๆออกไป ทำให้เฉินเสี่ยวถงอดแทรกไม่ได้ ได้แต่ข่มท้องอดกลั้นความหิว
หลี่โม่ใช้ตะเกียบคีบปลิงทะเลขึ้นมาชิ้นหนึ่ง หรี่ตายิ้มส่งให้กู้หยุนหลัน
“เมียจ๋า อ้าปากสิ”
กู้หยุนหลันเผยยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข ค่อยๆเผยอริมฝีปากขึ้น
ปลิงถูกลิ้นของกู้หยุนหลันใช้ลิ้นตวัด เข้าปากไป หลี่โม่เห็นดูดนิ้วชี้จ๊วบจ๊าบ อยากจะเข้าไปจูบจริงๆ
แต่มีกขค.อย่างเฉินเสี่ยวถงอยู่ข้างๆ หลี่โม่จึงได้แต่คิด
เห็นท่าทีหวานชื่นของหลี่โม่กับกู้หยุนหลัน ในใจของเฉินเสี่ยวถงก็รู้สึกเสียวแปล๊บขึ้นมาเหมือนมะนาวคั้น ทั้งตัวเปรียะราวกับน้ำตาจะพรั่งพรู
“ทำไมไม่มีใครป้อนฉันบ้าง ฉันนี่น่าสงสารจริง”
เฉินเสี่ยวถงบ่น
หลี่โม่กลอกตาขาวมองเฉินเสี่ยวถง“เธออายุเท่าไหร่แล้ว ยังอยากจะให้คนป้อนอีก รีบคีบตะเกียบกินเองเร็ว”
“หึ!เกลียดนัก”
กู้หยุนหลันแบ่งตะเกียบให้เฉินเสี่ยวถงคู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูด“เอาล่ะ ต่างคนต่างกินแล้วกัน โบราณว่ากินเองออกอรรถรสที่สุด พวกเราก็ลงมือกันเอาเองแล้วกันนะ”
เฉินเสี่ยวถงรับตะเกียบไป พอจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่แล้ว จึงเริ่มกิน
ในตอนที่พวกหลี่โม่สามคนกำลังกินอาหารกลางวันอย่างเอร็ดอร่อย คางหย่งเฉียนกับกินอย่างถอนใจดังเฮือก
มองดูอาหารผู้ป่วยที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้ คางหย่งเฉียนกินไปสองคำ ก็รู้สึกกระเดือกไม่ลงแล้ว
ชายฉกรรจ์ด้านข้างเห็นคางหย่งเฉียน ยิ้มเย็นแล้วพูด“คนแซ่คาง แกคิดว่าแกเป็นคุณชายตระกูลคางหรือไง รีบกินสิ วันนี้ถ้าแกไม่กิน ก็รอโดนตีขาหักแบบหมาก็แล้วกัน”
“ผม ผมกินไม่ลงจริงๆ ศิษย์พี่หงให้ผมออกไปกินข้างนอกสักมื้อเถอะ”
คางหย่งเฉียนพูดอย่างน่าสงสาร
อาหารโรงพยาบาลไม่ใส่เกลือ ไม่ใส่น้ำมัน แม้ว่าสุขภาพดี แต่ไม่อร่อยเลย
คนที่กินอาหารรสจัดจ้านอย่างคางหย่งเฉียน รับไม่ได้กับอาหารรสชาติแบบนี้หรอก
ศิษย์พี่หงยิ้มแล้วพูด“เหอะๆ แกยังคิดออกไปอีกเหรอ ตอนเช้าที่แกแอบหนี ยังไม่ได้คิดบัญชีกับแกเลยนะ แกรู้มั้ยแกทำฉันเกือบแย่ ทำฉันโดนศิษย์พี่ใหญ่ด่าซะรากเลือด”
“ขอสั่งเดลิเวลลี่หน่อยเถอะ ผมสั่งของอร่อย เรากินด้วยกัน”
คางหย่งเฉียนพูดเอาใจ
ตอนเช้าหลังจากพบหลี่โม่แล้วกลับไป คางหย่งเฉียนก็โดนจับมาถาม แต่คางหย่งเฉียนแต่งเรื่องตอแหลขึ้น
แม้ว่าตบตาไปได้ชั่วคราว แต่เขาก็โดนคุมเข้มมากขึ้น ศิษย์พี่หงคนนี้คือคนที่ถูกส่งมาจับตาดูเขายี่สิบสี่ชั่วโมง
“หยุดฝันได้แล้ว ยังจะสั่งอะไรอีกล่ะ ถ้าแกไม่กิน ก็รอกินขี้ตีนฉันก็แล้วกัน!”
ศิษย์พี่หงพูดอย่างดุดัน
คางหย่งเฉียนไม่ทันคิด และไม่กล้าคิดอย่างอื่น ก็แค่ไม่อร่อย อดทนกินหน่อยแล้วกัน
ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว คางหย่งเฉียนรีบๆยัดข้าวเข้าไปอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
“กินเสร็จแล้ว ศิษย์พี่หงเรื่องเป็นมาไงพี่รู้ดี ผมโดนปรักปรำจริงๆ”
พอกินเสร็จคางหย่งเฉียนจึงเรียกคะแนนสงสารต่อ
ศิษย์พี่หงก้มหน้ากินขาหมูน้ำแดงที่สั่งมา พูดอย่างปากยิ้มตาไม่ยิ้ม“โดนปรักปรำหรือไม่ สำคัญด้วยเหรอ ถ้าแกรู้ตัวดี ก็รีบควักเงินออกมา เงินมา ก็ปล่อยแกทันที”
“ศิษย์พี่ใหญ่เรียกร้องมากไปแล้ว ต่อให้เกิดอุบัติเหตุก็เถอะ อาจจะ อาจจะไม่ใช่ความรับผิดชอบของผมก็ได้”
“เลิกพล่ามสักที พวกเราพี่น้อง ให้แกควักแค่พันล้าน คนนึงก็แค่สิบกว่าล้าน แกถือว่าได้เปรียบแล้ว”
สีหน้าคางหย่งเฉียนซีดขาว ตระกูลคางแม้ว่าจะเป็นตระกูลเศรษฐี แต่สมาชิกครอบครัวก็มาก เงินที่แบ่งมาถึงคางหย่งเฉียนก็อาจน้อยเต็มทน
ตอนนี้คิดเต็มๆ คางหย่งเฉียนมีทรัพย์สินแค่ร้อยกว่าล้าน เงินสดก็แค่ยี่สิบสามสิบล้าน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพันล้านเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับตระกูลคาง ต่อให้ตระกูลคางต้องควักพันล้านจริง ก็ต้องใช้เวลารวบรวมหลายวันทีเดียว
“ต่อให้ถอดผมเป็นชิ้นๆ มูลค่าก็ไม่ถึงพันล้านหรอก!”
คางหย่งเฉียนนิ่วหน้าพูด
“หึหึ ธุรกิจตระกูลคางพวกแกใหญ่โตมโหฬาร พันล้านนับประสาอะไร แกอย่ามาแกล้งจนหน่อยเลย รีบเอาเงินมาเสวยสุขดีกว่า ไม่เอาเงินมา ก็รอความทุกข์แล้วกัน”
ศิษย์พี่หงพูดจบก็กินขาหมูน้ำแดงอย่างเอร็ดอร่อย ไม่สนใจคางหย่งเฉียนอีก
คางหย่งเฉียนถอนใจอย่างอ่อนใจ รู้สึกว่าอยู่ยาก ต้องรีบหาทางพ้นทุกข์โดยเร็ว
“ผมอยากเจอศิษย์พี่ใหญ่ ผมอยากคุยกับศิษย์พี่ใหญ่”
“ศิษย์พี่ใหญ่กำลังยุ่ง เรื่องแก้แค้นให้อาจารย์สำคัญที่สุด เรื่องของแกเรื่องขี้ปะติ๋ว รอเงียบๆแหละ”
คางหย่งเฉียนพูดดื้อดึง“ผมอยากเจอศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้”