“เตรียมเรียบร้อยแล้วครับ แม่ไม่ต้องกังวล” หลี่โม่ยิ้มและเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ ผมกับหยุนหลันจะออกไปซื้อของที่ใช้ในงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ แม่ไม่ต้องห่วง”
หลี่โม่เหนื่อยใจกับหวังฟาง ยังดีที่ตอนนี้หวังฟางมีท่าทีที่เปลี่ยนไปกับเขา
ไม่อย่างนั้น หลี่โม่คงทนไม่ไหว และยอมแพ้ไปแล้ว
หวังฟางได้ยินก็พยักหน้า
“งั้นก็โอเค”
ครอบครัวสามสี่คนเริ่มพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากทานข้าวเสร็จ หลี่โม่ให้แม่บ้านมาเก็บจาน และหันไปมองกู้หยุนหลัน
“หยุนหลัน ไปซื้อของที่ห้างกันเถอะ”
กู้หยุนหลันได้ยิน จึงหยักหน้า “โอเค”
ทั้งสองรีบลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก จากนั้นจึงขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้า
……
“งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของหลี่โม่อีกกี่วัน”
เสียงแหบพร่า ดังขึ้นในห้องที่มืดสนิท
“ถ้าไม่นับวันนี้ ก็เหลืออีกสามวันครับ”
เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงแฝงไปด้วยความนอบน้อม
“สามวันงั้นเหรอ”
เสือผีครุ่นคิด เขารีบถามว่า “เตรียมสิ่งที่ควรเตรียมไว้แล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยครับนายท่าน รอให้ถึงงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของหลี่โม่ รับรองว่าเขาจะมีความสุขมาก”
คนนั้นยิ้มและเอ่ยขึ้น
สองสามวันนี้เสือผีเอาแต่เตรียมเรื่องในวันงานขึ้นบ้านใหม่ของหลี่โม่ ส่วนฝั่งราชินีของสำนักหลงเหมินได้ออกคำสั่งมาแล้ว
ถ้าทำเรื่องครั้งนี้ไม่สำเร็จ เสือผีก็ไม่ต้องกลับไปสำนักหลงเหมินอีก
แต่เสือผีไม่กล้ากลับไปแล้ว ขืนเขากลับไป อาจารย์ต้องฆ่าเขาแน่
“โอเค ไปตรวจสอบให้แน่ใจอีกทีว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ให้หลี่โม่เสียเปรียบมากที่สุด ฆ่ามันได้จะดีมาก”
เสือผีพูดด้วยเสียงทุ้ม
“อีกย่าง อย่าประมาทเรื่องการสอดส่องของหลี่โม่ ถ้ามีโอกาสก่อนวันงาน ทำให้มันไม่สามารถจัดงานได้!”
ความเย็นยะเยือกอยู่ในแววตาของเสือผี
เมื่อคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน ถึงกับตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
“เข้าใจแล้วครับ นายท่านวางใจได้เลย”
“อืม นายออกไปเถอะ”
เสือผีพูดจบ จึงหลับตาลง เขาพิงโซฟาอย่างเงียบๆ และคิดถึงเรื่องที่จะทำต่อไป
……
ตระกูลฟาง
ฟางฉีสั่งให้ญาติสายตรงของตระกูลฟาง กลับมาที่บ้าน เขาเปิดประชุมตระกูล เรื่องสำคัญก็คือเรื่องของหลี่โม่
“วันนี้หลี่โม่โทรหาฉัน เขาคุยเรื่องงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่”
หลังจากเริ่มประชุม ฟางฉีไม่ลังเล เขาเล่าเรื่องที่หลี่โม่โทรหาเขา ให้ทุกคนในตระกูลฟัง
เมื่อคนพวกนั้นได้ยินก็อึ้งไป ฟางรั่วเสว่ถามอย่างสงสัย “ทำไมพ่อต้องช่วยหลี่โม่ด้วย”
“เขาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าความเสี่ยงสูง ถ้าถึงตอนนั้น ตระกูลของเราพลาดท่า จะทำยังไง”
จากที่ฟางรั่วเสว่รู้จักพ่อของตัวเอง พ่อไม่เคยทำเรื่องที่คาดไม่ถึงมาก่อน
เพราะความเสี่ยงสูงมาก
หลังจากฟางฉีได้ยิน เขาจ้องฟางรั่วเสว่อยู่นาน
“ทุ่มไปเยอะเท่าไร เราจะได้มากขึ้นเท่านั้น ความเสี่ยงมันก็สูงขึ้นเช่นกัน”
“และฉันเชื่อว่าหลี่โม่ไม่มีทางพลาดท่าง่ายๆ”
“โอกาสที่ตระกูลฟางจะเติบโตได้ ขึ้นอยู่กับหลี่โม่”
ฟางรั่วเสว่ได้ยินก็อึ้งไป เธอเงียบและไม่พูดอะไรอีก
ส่วนคนอื่นกลับมองทั้งสองคนคุยกันอย่างเงียบๆ พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าฟางฉีได้ตัดสินใจแล้ว
การที่เรียกพวกเขามา เพียงเพราะอยากแจ้งพวกเขาเท่านั้น
“เจ้าบ้าน คุณตัดสินใจมาเถอะ พวกเราสนับสนุนคุณ เราเชื่อในสายตาของคุณ อีกอย่าง คุณชายหลี่ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”
ใครคนหนึ่งยิ้มและเอ่ยขึ้น
ฟางฉีได้ยินก็หัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงจัดการเรื่องที่หลี่โม่พูด
……
ภายในห้างสรรพสินค้า หลี่โม่มองกู้หยุนหลันที่กำลังลองเสื้อผ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หยุนหลัน ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราไปกันเถอะ”
กู้หยุนหลันได้ยินจึงหยักหน้า เธอยิ้มและพูดว่า “โอเค”
“งั้นฉันใส่ชุดนี้ไปก็แล้วกัน”
มันเป็นชุดเดรส เมื่อกู้หยุนหลันสวมลงบนตัว เธอดูเหมือนสาวน้อยแรกแย้มอย่างไรอย่างนั้น
หลี่โม่ได้ยินก็หัวเราะ เขารูดบัตรซื้อชุดที่กู้หยุนหลันลองใส่เมื่อครู่
ทั้งสองหิ้วของ พลางเดินคุยกันออกจากร้านเสื้อผ้า
“พลั่ก!”
“โอ๊ย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหรือไง!”
เสียงโมโหของชายคนหนึ่งดังขึ้น
ตอนที่หลี่โม่เดินออกมา เขาไม่ทันระวัง จึงชนเข้ากับใครบางคน
หลี่โม่รีบพูดว่า “ขอโทษครับๆ ผมไม่ทันระวัง”
“นายพูดว่าไม่ทันระวังก็จบงั้นเหรอ งั้นถ้าฉันฆ่าคน แล้วฉันไปบอกตำรวจว่าไม่ทันระวัง ฉันจะพ้นโทษสินะ!”
ชายคนนั้นยังคงเซ้าซี้ไม่จบไม่สิ้น หลี่โม่ได้ยินก็รู้ทันทีว่าชายคนนี้จะหาเรื่อง สีหน้าของเขาจึงเย็นชา
“งั้นนายจะเอายังไง”
เสียงของหลี่โม่เย็นชาเล็กน้อย
เมื่อชายคนนั้นได้ยิน ก็หัวเราะเบาๆ เขาหันไปมองกู้หยุนหลันที่อยู่ข้างหลี่โม่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลามก
“ถ้าอยากจัดการเรื่องนี้ มันง่ายมาก ฉันไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน นายคุกเข่าขอโทษ แล้วเอาผู้หญิงของนาย มาให้ฉันเล่นสักสองสามวันก็พอ”
เมื่อหลี่โม่กับกู้หยุนหลันได้ยิน สีหน้าของทั้งสองเย็นยะเยือกทันที แต่หลี่โม่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า
“ฉันชื่อหวังซวน เป็นคนของตระกูลหวังแห่งเมืองหลวง นายทำแบบนี้ ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน แค่ฉันพอใจ ฉันจะให้สิ่งตอบแทน จนนายสามารถใช้ได้ตั้งปีครึ่ง”
“เป็นไง คิดดูหน่อยไหม”
หลี่โม่ได้ยินก็ยกยิ้มมุมปาก เขาคิดว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็เป็นทายาทของตระกูลหวังแห่งเมืองหลวง
สงสัยคิดว่าตัวเองมาในเมืองเล็กๆ แล้วจะเหิมเกริมได้ ถึงอวดดีขนาดนี้
แต่ไหนแต่ไร หลี่โม่ไม่ชอบคนประเภทนี้ เขามองหวังซวนอย่างยียวน และเอ่ยว่า
“ตระกูลหวังแห่งเมืองหลวงงั้นเหรอ ขอโทษด้วยนะ ผมไม่เคยได้ยิน”
“แต่ผมเตือนนายให้หลีกไปดีกว่า ไม่งั้น นายรับผลของมันไม่ไหวหรอก”
แววตาของหลี่โม่ยังคงเย็นชา ความเย็นยะเยือกแผ่ออกจากตัวของเขา
การที่เขาไม่หาเรื่อง ไม่ใช่ว่าเขากลัว เขาแค่ขี้เกียจจัดการเท่านั้น
แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ไว้หน้า หลี่โม่ก็ไม่ถือสา ที่จะจัดการอีกฝ่าย
คนประเภทแบบหวังซวนที่อยู่ตรงหน้า มาดูถูกเขายังไม่เท่าไร ยังเอากู้หยุนหลันมาเป็นสิ่งของในการขอโทษ ตอนนี้หลี่โม่แทบอยากจะฆ่าหวังซวน
นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในห้างสรรพสินค้า รับรองว่าเขาฆ่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“อ้อ งั้นเหรอ ไม่คิดว่าคนในเมืองเล็กๆ แบบนี้ จะกล้าหาญได้ขนาดนี้ ยังไงก็เถอะ”
หวังซวนยิ้มอย่างได้ใจ “ใครว่าไม่มีใครตามฉันมาล่ะ”
เมื่อพูดจบ มีชายในชุดสูทสีดำเจ็ดแปดคนเดินมาข้างหลังหวังซวน ทันใดนั้นคนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันแยกย้ายด้วยแววตาหวาดกลัว