เสียงฝีเท้าเป็นกลุ่มดังขึ้น กลุ่มสาวสวยในชุดพระราชวังเดินเข้ามาในห้องท่ามกลางเสียงกริ่งของแหวน น้ำผลไม้หลากสี ขนมหลากหลายที่สวยงาม วางไว้ตรงหน้าของหลี่โม่และกู้หยุนหลันไม่หยุด
“สวัสดีค่ะแขกพิเศษ นี่คือน้ำผลไม้สดปั่นที่คุณต้องการค่ะ”
“นี่คือขนมดอกไม้ราชวัง ใช้กลีบดอกกุหลาบที่เก็บมาสดๆทำออกมาอย่างประณีตค่ะ”
“นี่คือชีสเค้กสไตล์ตะวันตกค่ะ ใช้ชีสมัตสึทาเกะดำที่ดีที่สุดเป็นส่วนผสมหลักค่ะ….”
สาวสวยชุดชาววังใช้น้ำเสียงอ่อนหวานแนะนำขนมทุกชิ้น
จูเจียนเฉียงดูการบริการของหลี่โม่ แล้วหันไปดูหญิงสาวอวบอิ่มด้านหลังของตัวเองก็แทบจะร้องไห้ออกมา
ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีความเจ็บปวดจริงๆ ภาพตรงหน้า ทำให้เกิดความเจ็บปวดต่อวิญญาณเด็กน้อยของจูเจียนเฉียงในทันที
“หยุนหลันลองชิมขนมดอกไม้นี่ดู ที่แนะนำบอกว่าใช้ดอกกุหลาบสดมาทำ รสชาติน่าจะดีไม่เลว”
หลี่โม่เอาขนมดอกไม้ชิ้นหนึ่งยื่นให้กู้หยุนหลัน
กู้หยุนหลันรับขนมดอกไม้มาแล้วชิมดูคำหนึ่ง ค่อยๆเคี้ยว หลับตาลงเป็นเส้นตรง แล้วพยักหน้าพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รสชาติดีมากเลย นายก็ลองชิมดูสิ”
หลังจากที่กู้หยุนหลันพูดจบ ก็ยื่นขนมดอกไม้ที่กัดไปคำหนึ่งไปที่ปากของหลี่โม่ หลี่โม่อ้าปาก กัดขนมดอกไม้ไปทีเดียวครึ่งชิ้นเข้าปาก
“ทำไมนายกินเยอะขนาดนี้ ไม่ได้ นายต้องชดใช้ให้ฉันนะ”
กู้หยุนหลันยู่ปาก แกล้งทำท่าทางเป็นโมโห
“อร่อย อร่อยจริงๆ เธอพูดมาสิจะให้ฉันชดใช้เธอยังไงก็ได้”
“อืม…..”
กู้หยุนหลันกลอกตานึกคิด จากนั้นก็พูดว่า “ฉันจะให้นายป้อนขนมดอกไม้กับฉันชิ้นหนึ่ง”
กู้หยุนหลันมองหลี่โม่ด้วยความยิ้มแย้ม รู้สึกว่าไม่ได้จู๋จี๋หวานแหววแบบนี้กับหลี่โม่มานานแล้ว
หลี่โม่เลือกหยิบขนมดอกไม้มาชิ้นหนึ่ง ยื่นไปที่ปากของกู้หยุนหลัน “มา อ้ำคำหนึ่ง”
“อ้ำ”
กู้หยุนหลันส่งเสียงออกมาเล่นด้วย แล้วกัดขนมดอกไม้คำเล็กคำหนึ่งเข้าปาก
จูเจียนเฉียงโมโหอย่างมาก ตบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด “ฉันว่านะหลี่โม่ นายพอรึยัง! นายอยากจะยื้อเวลาใช่มั้ย! ฉันจะบอกนายให้นะ การยื้อเวลาแก้ไขปัญหาไม่ได้ พวกเราเริ่มการหารือเชิงวิทยากันเถอะ ฉันอดทนรอที่จะเห็นสายตาที่เคารพฉันของนายไม่ไหวแล้ว”
“รีบอะไรกัน นายเองก็มีกาแฟกับขนมไม่ใช่หรอ นายนั่งกินดื่มเงียบๆไปก่อน ถ้าหากว่านายรู้สึกว่าเหงา ก็ให้หญิงสาวคนนั้นด้านหลังของนายบริการนายสิ”
หลี่โม่กลอกตาพูด
“พรู่!”
จูเจียนเฉียงที่เพิ่งดื่มกาแฟไปคำหนึ่ง พ่นกาแฟในปากออกมาในทันที เกือบจะถูกคำพูดของหลี่โม่ทำให้ตกใจจนเสียสติ
หญิงสาวอวบอิ่มถือผ้าเช็ดเดินเข้ามา แล้วเช็ดบนตัวของจูเจียนเฉียง
จูเจียนเฉียงจับโต๊ะนั่งตัวตรงอย่างเข้มแข็ง “เธอไม่ต้องเช็ดแล้ว เธอไปยืนอยู่ด้านหลังก็พอ ฉันทำเอง”
หลี่โม่หัวเราะ “นายไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ ทนไม่ไหวจนถึงกับพ่นออกมา…… ก็ได้ งั้นพวกเราเริ่มการหารืออภิปรายเชิงวิทยากันได้แล้ว นายเป็นด็อกเตอร์ เชิญนายเริ่มก่อน”
“ได้ งั้นฉันก็ไม่เกรงใจละ ในเมื่อนายสามารถพูดชื่อเต็มของซูเปอร์ไซเคิลได้ งั้นก็มาพูดคุยเนื้อหาหลักของเรื่องซูเปอร์ไซเคิลอย่างง่ายๆกันเถอะ”
จูเจียนเฉียงใช้สายตาความดูถูกของด็อกเตอร์มองหลี่โม่
“นี่นายอ่อนให้ฉันหรอ? ก็บอกแล้วว่าเป็นการอภิปรายเชิงวิทยา แต่นายกลับยกคำถามง่ายๆแบบนี้ออกมา”
หลี่โม่ส่ายหัว พูดช้าๆว่า “ซูเปอร์ไซเคิลเป็นคลื่นวัฏจักรธุรกิจระยะยาว ระยะเวลาคือเวลาหกสิบปี ตั้งแต่เพิ่งเกิด จนถึงเวลาเกษียณในอายุหกสิบปีนับเป็นเวลาการวิจัย แต่ว่าซูเปอร์ไซเคิลก็มีข้อจำกัดอย่างมาก ช่วงระยะเวลาเพียงหกสิบปี เป็นเพียงแค่กฎวัฏจักรในระยะแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจก็เท่านั้น จากการพัฒนาของสังคม ความละเอียดของการแบ่งงาน การแก่ตัวเร็วขึ้น การเกิดใหม่น้อยลง ซูเปอร์ไซเคิลต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกจึงหายไป แล้วเศรษฐศาสตร์ฉบับใหม่ถึงได้ก่อเกิดขึ้น สถานที่ที่นายเรียนหนังสือ น่าจะนิยมการวิจัยคลื่นธุรกิจในรูปแบบระยะสั้น ยาวที่สุดไม่เกินสิบห้าปี มากกว่านี้คงเป็นการวิจัยคลื่นธุรกิจในระยะยี่สิบถึงสามสิบปี พูดคำหนึ่งที่ไม่น่าฟังนะ ตั้งแต่ที่นายเริ่มเรียนก็รั้งท้าย ตอนนี้รั้งท้ายสมัยไปนับร้อยปีแล้ว นายมั่นใจว่าอาจารย์นายไม่ได้หลอกนาย? ฉันคิดว่านายไปเรียนปริญญาเอกปลอมมานะ”
หลี่โม่พูดมากมายอย่างลื่นไหล สีหน้าของจูเจียนเฉียงเปลี่ยนเป็นแย่มาก โมโหจนตัวสั่นไปหมด
“นายพูดมั่ว! ซูเปอร์ไซเคิลไม่มีทางหมดอายุ! เป็นการพัฒนาก่อนเสมอ! ซูเปอร์ไซเคิลสามารถทำนายโอกาสความร่ำรวยในอนาคตทั้งหมดได้!”
“ด็อกเตอร์จู นายเคยใช้ซูเปอร์ไซเคิล วิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคมามากแค่ไหน? เคยวิเคราะห์พื้นที่สูงอายุอย่างหนักบ้างมั้ย? ซูเปอร์ไซเคิลมีอายุเพียงหกสิบปี แบ่งออกเป็นระยะเวลาสิบห้าปีสี่ส่วน มีการสอดคล้องกับการเติบโตของคน จุดสูงสุดของการใช้แรงงาน จุดสูงสุดของการบริโภค อ่อนแอถดถอยเป็นสี่ส่วน นายลองบอกตามจำนวนการเกิดใหม่ที่ลดลง กับผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจของสังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงยังไง?”
“ฉัน นี่มัน คำถามนี้ของนายมันเป็นการแอบเปลี่ยนแนวคิด ซูเปอร์ไซเคิลก็คือซูเปอร์ไซเคิล ไม่จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาเรื่องจำนวนคนและอายุการแก่ตัว สังคมที่มีอายุสูง ก็ยังคงต้องบริโภคทางเศรษฐกิจอยู่ดี!”
“ผมดูแล้วด็อกเตอร์จูหมดหนทางแล้วมั้ง นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของซูเปอร์ไซเคิล สามารถสะท้อนกฎเศรษฐกิจในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และเมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป กฎทุกอย่างก็จะถูกทำลาย เกิดกฎใหม่ขึ้นมา ก็เหมือนกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เมื่อกฎเศรษฐกิจมีวิวัฒนาการ แต่นายยังเอาบรรทัดเดิมวัดค่าโลก อย่างนั้นไม่มีทางวัดตรงหรอก”
กู้หยุนหลันและคนอื่นฟังจนตะลึงไป ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่องว่าที่หลี่โม่พูดหมายความว่าอะไร แต่ต่างก็รู้สึกว่าที่หลี่โม่พูดนั้นสุดยอดมาก ถูกต้องและมีเหตุผล
จูเจียนเฉียงหน้าดำพูดไม่ออกสักพัก
จูเจียนเฉียงเป็นทุกข์อยู่ในใจ มีคำพูดมากมายอยากจะพูดออกมาเถียง แต่กลับไม่มีคำพูดไหนที่จะสามารถพูดออกมาได้
ในกลุ่มศิษย์ทั้งหลายของอาจารย์ มีเพียงจูเจียนเฉียงคนเดียวที่เรียนเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก คนอื่นๆรวมทั้งอาจารย์ของเขาต่างก็กำลังวิจัยเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ใหม่
จูเจียนเฉียงค่อยๆตกไปอยู่ในการนึกย้อนอดีต นึกย้อนไปถึงเรื่องราวตอนที่ร่ำเรียนอยู่
นึกถึงตอนที่จูเจียนเฉียงเจอกับอาจารย์ครั้งแรกในตอนนั้น อาจารย์หยิบเอาหนังสือซูเปอร์ไซเคิลที่เก่าแก่เล่มหนึ่งออกมา ชื่นชมไม่หยุดว่านั่นคือทฤษฎีวัฏจักรเศรษฐกิจที่ดีงามที่สุด
แล้วยังพูดว่าเป็นทฤษฎีเศรษฐกิจที่เหมาะสมที่จูเจียนเฉียงจะศึกษามากที่สุด เรียนจบแล้วก็สามารถเป็นผู้ล่วงรู้ในด้านเศรษฐกิจ
จูเจียนเฉียงในตอนนั้นไม่ทันคิด และเพื่อจะได้รับฉายาผู้ล่วงรู้ในด้านเศรษฐกิจ จึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเรียนซูเปอร์ไซเคิล
หลังจากที่ศึกษามาเป็นเวลานาน จูเจียนเฉียงถึงได้คิดเข้าใจว่า อาจารย์ของตัวเองวางกับดักไว้ ให้ตัวเองโดดลงไป แล้วยังถมตัวเขาไว้ด้านใน
แต่ว่าสายเกินแก้แล้ว เสียใจก็ไม่ทันแล้ว ดังนั้นจูเจียนเฉียงจึงยิ่งอยู่ยิ่งไปไกลในเส้นทางของการวิจัยซูเปอร์ไซเคิล จนถึงตอนนี้จูเจียนเฉียงเดินไปจนถึงจุดที่ไม่มีเส้นทางให้หันหลังกลับแล้ว