จักรพรรดิมังกร – ตอนที่ 653 รูปปั้นทองสัมฤทธิ์พระแม่กวนอิมพันมือพันตา

ในใจของเจินจาหนานนั้น แน่นอนว่าหลงโปเป็นเทวดาแห่งรถในบรรดาเทวดาแห่งรถเลย แล้วก็เป็นบุคคลของในประเทศที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้

แต่ตอนนี้เขาได้ยินข่าวความพ่ายแพ้ของหลงโป และมันก็ทำให้โค่นล้มทัศนคติของเจินจาหนานไปบ้างเล็กน้อย

“อาจารย์ของคุณเป็นใครกันแน่? แล้วเขาจะชนะหลงโปได้อย่างไร?”

“อาจารย์ของผมคือหลี่โม่ ถ้าหากมีเวลาผมจะพาคุณไปดูทักษะการขับของอาจารย์ของผม แล้วคุณจะได้รู้ว่ามันเจ๋งมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าแชมป์ของการแข่งขันF1ก็ตาม แต่คุณก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอาจารย์ของผมก็ได้ ”

“นะนิ?”

เจินจาหนานจ้องเขม็งไปที่คางเหวินซิงด้วยประหลาดใจเป็นอย่างมาก และตกตะลึงกับชื่อของหลี่โม่อย่างสิ้นเชิง

หรือว่าจะเป็นหลี่โม่ในเมื่อกี้นั้นเหรอ? แต่หลี่โม่คนเมื่อกี้เป็นสามีของประธานหยุนจงหลันกรุ๊ป และอีกทั้งสถานที่ที่จะสร้างสโมสรแข่งรถของคางเหวินซิง ก็ได้อยู่ตรงข้ามกับหยุนจงหลันกรุ๊ป นี้มันช่างบังเอิญเกินไปหรือเปล่า!

“หลี่โม่? หลี่โม่ที่เป็นสามีของประธานหยุนจงหลันกรุ๊ป?”

เจินจาหนานถามด้วยความประหลาดใจ

“คุณรู้จักอาจารย์ของผมเหรอ อาจารย์ของผมก็คือหลี่โม่คนนั้น” คางเหวินซิงพูดพร้อมกับยิ้มตาหยี

เจินจาหนานด่าเขานับครั้งไม่ถ้วนในใจ และทันใดนั้นทั้งคนก็รู้สึกว่าไม่ดีเลย

นี้มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย นึกไม่ถึงเลยว่าหลี่โม่นั่นจะเป็นอาจารย์ของคางเหวินซิง เชี่ยเอ๊ยแล้วยังจะมีหน้ามาขอให้คางเหวินซิงไปช่วยขอเอารถคืนกลับมาได้ยังไงละ

เมื่อเห็นท่าทางผิดปกติของเจินจาหนาน คางเหวินซิงจึงถามด้วยความสงสัย: “นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมดูจากท่าทางของคุณแล้วรู้สึกผิดปกติ หรือว่าคุณอึ้งทึ่งกับชื่ออาจารย์ของผม?”

“อาจารย์ของคุณเก่งขนาดนั้นจริงเหรอ? โกหกผมหรือเปล่าเนี่ย?”

“จะโกหกคุณไปเพื่ออะไร? ถ้าหากคุณไม่เชื่อก็ไปถามดูได้ ทุกคนในวงการรู้เรื่องนี้ และแถมยังมีคนมากมายเห็นกับตาในเหตุการณ์”

เจินจาหนานเงียบกริบ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดอย่างไม่เต็มใจ: “อาจารย์ของคุณยังมีอะไรที่น่าทึ่งอีก เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ แต่ผมได้ยินมาว่าอาจารย์ของคุณเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ และแถมยังเกาะผู้หญิงกินอีกด้วย”

“นั่นเป็นแค่ข่าวลือที่คุณได้ยินเท่านั้น ปกติแล้วอาจารย์ของผมเป็นคนที่ถ่อมตนไม่ชอบโอ้อวด แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ แล้ว มันก็จะแสดงให้เห็นบุคลิกที่น่านับถือของอาจารย์ของผม

งานแข่งมวยดำสากลคุณรู้จักใช่ไหม อาจารย์ของผมได้แชมป์จากการแข่งขัน ซึ่งคุณสามารถลองค้นดูได้ จะว่าไปหยุนจงหลันกรุ๊ปนั้น อันที่จริงแล้วเป็นของขวัญที่อาจารย์ของผมมอบให้อาจารย์หญิงของผม ซึ่งของขวัญที่ล้ำค่ามากขนาดนี้ คุณเคยเห็นใครที่ไหนเขาให้แบบนี้กันบ้าง”

คางเหวินซิงบลาบลาบลาพูดได้เยอะมาก ทำเอาจนเจินจาหนานชะงักงัน

จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมารีบค้นดูอยู่สักพัก เจินจาหนานก็พบข่าวที่เกี่ยวกับงานแข่งมวยดำสากล และเมื่อเห็นว่าแชมป์ของงานแข่งมวยดำสากลนั้นเป็นหลี่โม่จริงๆ เลือดทั้งตัวของเจินจาหนานก็เยือกเย็นไปหมดแล้ว

จูเจียนเฉิงนายนี่มันช่างหลอกลวงจริงๆ แถมยังหลอกกูมาไกลขนาดนี้อีกด้วย

เจินจาหนานมองดูโทรศัพท์ด้วยหน้าบูดหน้าเบี้ยว จากนั้นสักพักก็พูดว่า: “เจ้าคาง ผมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากขอความช่วยเหลือจากคุณ”

“ฮิฮิ ผมรู้เลยว่าคุณหาผมต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน มีเรื่องอะไรก็บอกมาตรงๆ เลย เพียงแค่ผมสามารถช่วยได้ จะช่วยอย่างเต็มที่แน่อนน”

เจินจาหนานสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง และพร้อมกับเรียบเรียงคำพูด จากนั้นก็พูดว่า: “ผม ผมได้ทำให้อาจารย์ของคุณขุ่นเคือง ภายใต้การยั่วยุของจูเจียนเฉิงไอ้เลวนั้น จึงได้ทำการพนันการอาจารย์ของคุณ แล้วก็ได้แพ้รถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดให้กับอาจารย์ของคุณ”

สีหน้าของคางเหวินซิงดูประหลาดขึ้นเล็กน้อย แล้วฝืนยิ้มพร้อมกับพูดว่า: “อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะเอารถสปอร์ตกลับคืนมาอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางอย่างแน่นอน”

“ผมไม่ได้จะเอากลับมาฟรีๆ ผมจะไถ่ถอนคืน ผมสามารถจ่ายเงินได้ และยังสามารถเอารถสปอร์ตคันอื่นๆ ไปแลกได้” เจินจาหนานพูดอย่างกระหืดกระหอบ

คางเหวินซิงส่ายหัว: “ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทาง ของที่แพ้ให้กับอาจารย์ผมแล้ว มันก็ต้องเป็นของของอาจารย์ผมสิ เอาล่ะคุณก็ถือซะว่าเป็นการมอบของขวัญให้อาจารย์ผมละกัน”

“แต่ แต่ถ้าหากอันนี้เป็นของขวัญ มันแพงไปเกินไปแล้ว”

เจินจาหนานพูดด้วยความปวดใจเล็กน้อย

“คุณหยุดเถอะ การที่ได้รู้จักกับอาจารย์ของผม มอบรถสปอร์ตรุ่นจำนวนจำกัดให้หนึ่งคันมันจะขนาดไหนกัน ซึ่งมีคนอีกตั้งเยอะที่อยากจะมีสายสัมพันธ์กับอาจารย์ของผม แต่ทว่ามีเงินอยู่ในมือก็ไม่รู้ว่าควรจะเอาไปให้ยังไงดี”

สิ่งที่คางเหวินซิงพูดคือความจริง ตอนนี้ล้วนมีแต่คนที่อยากมีสายสัมพันธ์กับหลี่โม่ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องคบหากับหลี่โม่ยังไง

เจินจาหนานถอนหายใจยาวๆ และพูดอย่างขมขื่นว่า: “ช่างน่าเวทนาจริงๆ เลย ดูเหมือนว่ารถสปอร์ตของผมเอาคืนกลับมาไม่ได้แล้วสินะ”

คางเหวินซิงเหลือบมองไปที่เจินจาหนานด้วยความดูหมิ่น และพูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย: “ผมว่าคุณนี่มันอยู่ไม่เป็นจริงๆ เลย นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากและมีค่ามากเลยนะ แต่ทำไมคุณยังจะใจจดใจจ่อกับรถสปอร์ตอะไรนั้นอีก”

“คุณไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณไม่สามารถช่วยได้ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวผมลองไปหาคนอื่นๆ ดู”

“ผมขอแนะนำคุณ อย่าไปพัวพันคนอื่นให้เดือดร้อนเลย ด้วยทักษะและความสามารถของอาจารย์ผมแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะหาคนไปมันก็ไร้ประโยชน์ และแถมยังจะทำให้คุณเสียหายหนักยิ่งกว่าเดิม”

คางเหวินซิงรู้สึกว่าตัวเองได้ให้คำแนะนำจริงใจไป แต่ทว่าสิ่งที่ได้ยินในหูของเจินจาหนานนั้น กลับเป็นความรู้สึกที่ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

เจินจาหนานจ้องเขม็งไปที่คางเหวินซิง จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้องสำนักงาน

······

หลี่โม่ กู้หยุนหลัน และเฉินเสี่ยวถงนั่งอยู่บนโซฟาด้วยกัน และสามคนด้วยดวงตาหกคู่กำลังจ้องมองพระพุทธรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ

พระพุทธรูปละเอียดอ่อนมาก ซึ่งเป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของพระแม่กวนอิมพันมือพันตา และบนพันมือพันตาของเจ้าแม่กวนอิมนั้น ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าและหยก

“นี่เป็นใครส่งมาให้?”

หลี่โม่จ้องมองไปที่รูปปั้นพระแม่กวนอิมพันมือพันตาแล้วถาม

“เป็นเจ้าอาวาสฝ่าจื้อ เจ้าอาวาสฝ่าจื้อของวัดหลิงซาน ทันทีที่ฉันมาถึงห้องสำนักงาน และก็มีพระภิกษุสององค์ของวัดหลิงซานนำรูปปั้นพระแม่กวนอิมพันมือนี้มาให้”

หลังจากกู้หยุนหลันพูดจบ และสีหน้าท่าทางของเธอก็ดูงุนงงเล็กน้อย ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าอาวาสฝ่าจื้อถึงส่งรูปปั้นพระแม่กวนอิมนี้มาให้

ซึ่งมันก็ไม่ใช่ตรุษจีนหรือมีเทศกาลอะไร และอีกอย่างเจ้าอาวาสในวัดมอบรูปปั้นพระแม่กวนอิมให้กับผู้คน และนี่ก็เพิ่งจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ขณะที่พระภิกษุสององค์นั้น นำรูปปั้นพระแม่กวนอิมมาให้ไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ?”

“ไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่บอกว่าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อสั่งให้พวกเขาส่งมาให้ แล้วพวกเขาวางของลงก็จากไปเลย ซึ่งไม่ได้พูดอะไรมากกว่าแม้แต่ประโยคเดียว”

เฉินเสี่ยวถงทำปากจู๋ และเอื้อมมือจะไปสัมผัสรูปปั้นพระแม่กวนอิมองค์นั้น แต่ทว่าถูกกู้หยุนหลันห้ามเอาไว้

“เสี่ยวถง เธออย่าแตะต้องไปมั่วซั่วนะ นี่มันเป็นรูปปั้นพระแม่กวนอิมที่ได้ทำพิธีเบิกเนตรแล้ว หากแตะต้องไปมั่วซั่วซึ่งถือว่าเป็นการเคารพต่อพระแม่กวนอิม” กู้หยุนหลันพูดอย่างจริงจัง

“ฉันไม่ได้จะแตะต้องไปมั่วซั่วนะ พี่หยุนหลันคุณวางใจได้เลยค่ะ”

เฉินเสี่ยวถงอธิบาย และจากนั้นเธอก็ไม่เคยยื่นมือออกมาอีกเลย

หลี่โม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า: “รูปปั้นพระแม่กวนอิมก็ได้ส่งมาแล้ว หากอยากจะคืนกลับก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วแหละ ดังนั้นผมคิดว่าพวกเราไปที่วัดหลิงซานกันไหม ไปบริจาคเงินทำบุญอะไรหน่อย ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการตอบแทน”

“อย่างที่พูดมันก็ถูก พวกเราควรไปที่วัดหลิงซานหน่อย และถือโอกาสถามเจ้าอาวาสฝ่าจื้อด้วยว่านี่มันหมายความว่ายังไง แต่ทำไมในใจฉันมักจะรู้สึกไม่มั่นคงเล็กน้อย”

ทันใดนั้นกู้หยุนหลันรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เหมือนกับว่าจะมีเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างจะเกิดขึ้น

หลี่โม่ยิ้มและบีบมือของกู้หยุนหลัน จากนั้นก็ลุกขึ้นมาพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นไปตอนนี้เลย เรื่องนี้ไปก่อนดีกว่าไปสาย ดังนั้นรีบค้นหาสาเหตุว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วเราทุกคนต่างก็จะได้สบายใจกัน”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset