เชฟที่กงซุนจุนส่งมา ได้มองแขกในลานบ้านผ่านหน้าต่างห้องครัว
ตอนนี้ฤทธิ์ยาในอาหารก็ได้กระจายออกมาแล้ว ทำให้พวกแขกแต่ละคนต่างก็รู้สึกวิงเวียน และเริ่มรู้สึกไม่มีแรงไปทั่วร่างกาย
คุณปู่กู้ได้พิงพนักเก้าอี้เบาๆ และได้พูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง: “ทำไมฉันรู้สึกว่า ร่างกายไม่มีแรงไปทั้งตัวล่ะ? นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ผมก็รู้สึกเหมือนกัน แล้วยังรู้สึกวิงเวียนอีกด้วย การตอบสนองก็เริ่มช้าขึ้นมา คงไม่ใช่ว่าอาหารมื้อนี้มีปัญหาแล้วใช่ไหม?” กู้เจี้ยนเจียงพูดด้วยดวงตาที่พร่ามัว
“จะต้องเป็นอาหารที่มีปัญหา มีปัญหาแน่ๆ!” กู้เจี้ยนกั๋วพูดชี้ขาด
ในใจของกู้เจี้ยนหมินหวาดกลัวอย่างยิ่ง หากว่าคนในงานเลี้ยงต่างก็กินแล้วมีปัญหา งั้นเขาก็จะต้องกลายเป็นตัวตลกของทุกคนแล้ว
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หยุนหลัน นี่เป็นผักที่กงซุนจุนเพื่อนของเธอคนนั้นให้คนส่งมา หรือมันเป็นการวางกลอุบายอะไรรึเปล่า” กู้เจี้ยนหมินถามพร้อมกุมหน้าผาก
ในเวลานี้ฉู่จงเทียนก็ได้เดินโซซัดโซเซเข้ามา: “คุณหลี่ เกรงว่าอาหารมื้อนี้จะมีปัญหาแล้ว คนที่อยู่ตรงตีนเขาได้บอกว่า มีคนทำร้ายพวกเขาและได้มุ่งหน้าขึ้นเขามาแล้ว! เกรงว่าจะมุ่งมาหาคุณ ผมจะให้ลูกน้องส่งพวกคุณไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“ฮ๋าๆๆ วันนี้พวกมึงไม่ว่าใครก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
เชฟได้ถือมีดเดินออกมา เชฟรองพร้อมทั้งผู้ช่วยเชฟต่างก็ถือตะหลิว หม้อ เขียงทำเป็นอาวุธ แล้วได้เดินออกมา
“พวกแก! เป็นอาหารที่มีปัญหาจริงๆ!”
กู้เจี้ยนหมินตวาดด้วยความโกรธ
“เหอๆ ก็เป็นพวกเราที่วางยาในอาหาร แต่ว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ก็ไม่ต้องหวาดกลัวไป ตระกูลกงซุนของพวกเราไม่เคยทำร้ายใครก่อน วันนี้ก็เพียงแค่หลี่โม่เท่านั้น พวกคุณทุกท่านต่างก็เป็นประจักษ์พยาน” เชฟได้พูดเสียงสูง
ทำให้หลี่โม่อับอายต่อหน้ากลุ่มคน เป็นแผนการที่กงซุนจุนได้วางไว้นานแล้ว
สิ่งที่เรียกว่ามีความสุขคนเดียวเทียบไม่ได้กับให้ทุกคนมามีความสุขไปด้วยกัน กงซุนจุนรู้สึกว่าการที่ทำให้หลี่โม่อับอายต่อหน้าผู้คนก็รู้สึกประสบความสำเร็จ และพึงพอใจมากกว่า
อีกทั้งเมื่อทำให้หลี่โม่อับอายต่อหน้ากลุ่มคนแล้ว ก็ยังสามารถแยกหลี่โม่กับกู้หยุนหลันออกจากกันได้ดีกว่า และทำให้กงซุนจุนบรรลุเป้าหมายในใจได้
หลี่โม่มองเชฟด้วยสายตาที่เย็นชา และเขาก็รับรู้ได้ถึงสภาพภายในร่างกายอย่างช้าๆ
ความรู้สึกไม่มีแรงได้เพิ่มขึ้นเงียบๆ หลี่โม่คาดการว่านี่เป็นฤทธิ์ของยาที่อยู่ในร่างกายของตัวเอง
หากว่าร่างกายหมดแรงแล้วต้องต่อสู้จริงๆล่ะก็ หลี่โม่ก็คงต้องกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียง ที่ต้องถูกกงซุนจุนขูดรีดแล้วจริงๆ
“ต้องโทษที่ฉันไม่ดี หากว่าฉันไม่ไปหากงซุนจุนแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็จะไม่มีเรื่องแบบในตอนนี้แล้ว” กู้หยุนหลันพูดด้วยความสำนึกผิดเป็นอย่างมาก
แต่บนโลกนี้ก็ไม่มียารักษาอาการสำนึกผิดขาย ตอนนี้ถึงกู้หยุนหลันจะสำนึกผิดไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งกลุ่มคนที่ได้นั่งอยู่ก็ล้วนถูกโจมตีไปด้วย จากนั้นสายตาก็ได้เหลือบมองไปยังคนของตระกูลกงซุน
แขกทุกคนก็ถูกทำให้ตกใจจนเงียบเป็นเป่าสาก แต่ละคนต่างก็หดตัวไม่กล้าพูด ในใจต่างก็แอบภาวนาว่าอย่าได้ทำร้ายไปถึงตัวเอง
หลี่โม่ได้ตีมือของกู้หยุนหลันเบาๆ จากนั้นก็ได้ยิ้มพร้อมพูด: “ไม่ต้องโทษตัวเอง มันเป็นเพียงพฤติกรรมชั่วร้ายของคนต่ำช้าอย่างกงซุนจุนก็เท่านั้น แน่นอนว่าผมก็มีวิธีรับมือต่อเขา”
“นายอย่าปลอบใจฉัน นายก็ได้กินอาหารพวกนี้ เกรงว่าจะเป็น……”
น้ำตาของกู้หยุนหลันได้รินไหลลงมาไม่หยุด ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงโง่ได้ขนาดนั้น
กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจอย่างหนัก และได้พูดอย่างเสียใจมาก: “ล้วนเป็นผมที่สติเลอะเลือนเหมือนถูกผีเข้าสิง หากว่าไม่เห็นแก่ได้เอาเปรียบสิ่งนั้นของเขา ก็จะไม่มีเรื่องอย่างในตอนนี้แล้ว”
หลี่โม่ได้ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋า และได้ลูบขวดเซรามิกเล็กๆในกระเป๋าเอาไว้ ในใจกลับรู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก
โชคดีที่เขาพกขวดยาเล็กๆขวดนี้ติดตัวอยู่ตลอด
นิ้วโป้งได้ดันฝาขวดยาออกแล้ว จากนั้นนิ้วมือของหลี่โม่ได้พลิกขวดยา ยาเม็ดเล็กๆในขวดยาก็ได้ตกเข้าสู่กลางฝ่ามือของหลี่โม่แล้ว
เขาได้ดึงมือออกจากในกระเป๋า หลี่โม่อาศัยช่วงที่ไม่มีคนสังเกตเห็น ได้นำเม็ดยายัดเข้าไปในปากแล้ว
เชฟได้โอ้อวดกำลังพาคนเดินไปทางหลี่โม่ ฉู่จงเทียนได้ฝืนต่อความรู้สึกอ่อนแอเอาไว้ และได้ขวางไปยังตรงหน้าของหลี่โม่
ในเวลานี้อู๋เต้าเหวินก็ได้พุ่งเข้ามา และยืนเป็นหน้ากระดานกับฉู่จงเทียนแล้ว
“พวกนายต้องการทำอะไร? หากว่าจะล่วงเกินคุณหลี่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน!”
“ยังมีคนหนุ่มที่ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็จะส่งพวกแกไปก่อน”
เชฟได้แกว่งมีดในมือ และได้ปาดลงไประหว่างคอของอู๋เต้าเหวินกับฉู่จงเทียน
อู๋เต้าเหวินกับฉู่จงเทียนคิดอยากที่จะยกมือตีโต้ตอบ แต่มือของทั้งคู่ก็ไม่ฟังคำสั่งทั้งยังอ่อนยวบลง แขนที่ยกขึ้นตามไม่ทันความเร็วของการโต้ตอบในหัว
“ฮ๋าๆๆ ไปตายเถอะ!”
เชฟได้หัวเราะอย่างลำพองใจ และคิดว่าเชือดไก่ให้ลิงดูสักครั้ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว
ตามองมีดที่กำลังจะปาดไประหว่างคอหอยของคนทั้งสอง แต่กลับพบว่าร่างของอู๋เต้าเหวินกับฉู่จงเทียนได้เอนไปทางด้านหลังพร้อมกัน
กลับเป็นหลี่โม่ที่ได้ยื่นมือออกมาในช่วงเวลาสำคัญ เขาได้จับด้านหลังเสื้อของคนทั้งสอง และดึงคนทั้งสองไปทางด้านหลังทันที
อู๋เต้าเหวินกับฉู่จงเทียนล้มเกยอยู่บนพื้น และมีดของเชฟได้ปาดไปในอากาศ แต่ไม่ได้ทำร้ายถูกคนทั้งสอง
อู๋เต้าเหวินกับฉู่จงเทียนที่นอนอยู่บนพื้นก็ได้หอบหายใจแรง คิดกลับไปถึงฉากเมื่อกี้นั้น ในใจมีความรู้สึกใจหายล้นทะลักออกมา
เชฟจ้องไปยังหลี่โม่อย่างไม่ละสายตา: “โอ้โห มึงยังกล้าทำเรื่องดีๆของกูพังอีก ดูท่าจะต้องสั่งสอนสั่งสอนมึงก่อนแล้ว”
เวลานี้เชฟอับอายคับแค้นจนเกิดโทสะ คิดว่าหลี่โม่ไปทำลายเรื่องดีๆที่จะได้โอ้อวดความน่าเกรงขามของตัวเอง เขาจึงได้นำความโกรธทั้งหมดมาลงที่หลี่โม่แล้ว
หากไม่ใช่ว่ามีคำสั่งของกงซุนจุนอยู่ เชฟก็คงจะสับหลี่โม่เป็นสองท่อนไปตรงๆแล้ว
“คุณจะสั่งสอนผมยังไง? ขอแค่ลองดูก็ได้แล้ว”
หลี่โม่พุดอย่างไม่ใส่ใจ
“แม่มึงสิ คิดว่ากูไม่กล้าลงมือกับมึงจริงๆเหรอ!”
มีดในมือเชฟมีความยืดหยุ่นมาก และพุ่งปราดไปทางหลี่โม่อย่างรวดเร็ว มีดได้ปาดไปทางแขนขวาของหลี่โม่
“ทักษะมีดของกูนั้นยอดเยี่ยมมาก วันนี้ก็ให้มึงมาลิ้มรสชาติของการแล่เนื้อแล้วเอาเกลือมาทา ตัดแขนขวาของมึงก่อนเพื่อมาทำเนื้อซาซิมิคน!”
มีดได้บินในอากาศอย่างรวดเร็ว และแสงได้เข้าใกล้หลี่โม่อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าได้ปกคลุมหลี่โม่ไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว
มือซ้ายของหลี่โม่ได้หยิบตะเกียบบนจานขึ้น และได้แทงเข้าไปในเงาแสงของมีดเล่มนั้นทันที
แคร่ง!!
หัวของตะเกียบได้ชนอยู่บนมีดหั่นผัก และได้เกิดเสียงใสเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทันทีหลังจากนั้นลำแสงที่ทำให้คนแสบตานั้นก็ได้หายไป และตะเกียบในมือของหลี่โม่ก็ได้คีบอยู่บนคมมีดของมีด
ตะเกียบไม้ได้ขวางอยู่บนคมมีดของมีด นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเรื่องหนึ่งสำหรับทุกคน
แต่เรื่องที่ไม่น่าเชื่อเรื่องนี้ ก็ได้เกิดต่อหน้าทุกคนแล้ว
เชฟกลอกลูกตามองไปยังที่ที่ตะเกียบกับคมมีดตัดกัน และได้ออกแรงดันมือไปยังมีด คิดต้องการจะใช้มีดสับมีดให้แหลกไปตรงๆ
แต่แรงที่เชฟใช้ก็ราวกับได้หายลับไป และดันมีดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน!”