ศิลปินที่ไร้ชื่อเสียงหลายคนอยากมีชื่อเสียงโดยเร็ว พวกเขาได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายเซลฟี่ ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดในตอนแรก เปลี่ยนเป็นชื่นมื่นขึ้นมาในทันที เหมือนกับกลายเป็นงานถ่ายภาพของเหล่าไอดอล
หลี่โม่มองศิลปินที่ไม่รู้จักพวกนั้นด้วยสายตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วเกาหัวแกรกๆพลางพูดขึ้นมาว่า“พวกคุณเห็นแล้วใช่ไหม คนพวกนี้ไม่มีขีดจำกัด เพื่อจะโด่งดังถึงได้สร้างภาพให้ตัวเองแบบนี้ ไม่ต่างอะไรจากเน็ตไอดอลพวกนั้นเลย”
“พวกเขาเป็นเน็ตไอดอลนั่นแหละ ยังจะมาพูดว่าเป็นศิลปะอะไรอีก ทำลายศิลปะชัดๆ”
กู้หยุนหลันพูดอย่างไม่ลังเล
เฉินเสี่ยวถงขมวดคิ้ว มองดูศิลปินที่ไม่รู้จักพวกนั้นพลางพูดขึ้นมาว่า“นอกจากจะทำลายศิลปะแล้ว พวกเขายังทำความเสียหายให้กับศิลปะ ขืนพวกเขายังทำอย่างนี้ต่อไป ศิลปะดั้งเดิมก็จะเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อยๆ เลวจริงๆเลย”
“ช่างเถอะ อย่าไปพูดอะไรกับพวกเขาเลยเราไปดูว่ามีตราประทับหยกอะไรดีๆไหมดีกว่า ไม่แน่ผมอาจจะสามารถเป็นศิลปินอะไรสักอย่างก็ได้ ต้องมีตราประทับหลายๆเพื่อรักษาภาพพจน์ ฮ่าๆๆ”
หลังจากที่นึกถึงเรื่องทำผลงานการเขียนต่างๆ แล้วใช้ตราประทับดีๆผนึกไปที่ผลงาน หลี่โม่ก็รู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอคอยเล็กน้อย
“ถึงว่าทำไมเฉียนหลงถึงชอบสลักบทกลอนของเขา ลงในตราประทับ เรื่องแบบนี้เพียงแค่คิดๆดู ก็รู้สึกจรรโลงใจแล้ว”หลี่โม่พูดพึมพำ
ผลงานการเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันและภาพวาดในอดีต จะถูกประทับตราด้วยนักสะสมที่มีชื่อเสียง และบางส่วนก็เขียนจารึก เพื่อเน้นรูปแบบที่น่าสนใจของนักสะสม ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าสิ่งนี้ตัวเองเคยสะสมมา
สำหรับฮ่องเต้เฉียนหลง เขาชอบที่จะประทับตราชื่อของตัวเองลงบนผลงาน จนถึงขั้นบ้าคลั่ง ตราบใดก็ตามที่เป็นภาพวาดที่อยู่ในวังหลวง มันก็จะถูกประทับด้วยตราประทับของเขาเอง และบางส่วนก็ถูกประทับตราด้วยตราประทับที่ไม่รู้จัก
เมื่อเห็นหลี่โม่พาสาวสวยทั้งสองคนไปเที่ยวรอบๆ ศิลปินเขียนพู่กันจีนชราวัยกลางคนลายมือไก่เขี่ยทั้งสามคนยังคงไม่ลดละ
ละครเรื่องนี้พึ่งเริ่มต้นขึ้น เพื่อนร่วมอาชีพจำนวนมากเริ่มใช้สื่อต่างๆในการอุ่นเครื่อง เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์สร้างภาพกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว จะปล่อยให้นักแสดงหรือตัวละครที่แสดงบทร้ายหนีไปได้อย่างไร
“ไอ้หนุ่ม จะไปไหนน่ะ!”
ฉีเต๋อหลงตะโกนเสียงดัง กางมือทั้งสองข้างขวางอยู่ตรงหน้าของหลี่โม่
หลี่โม่ขมวดคิ้วเป็นปม แล้วพูดอย่างไม่พอใจ“ผมจะเดินไปด้านใน คุณขวางผมทำไม?มีคำโบราณว่าไว้ หมาที่ดีจะไม่ขวางทาง”
“นาย!นายว่าฉันเป็นหมาอีกแล้วนะ เรื่องวันนี้ฉันไม่จบกับนายแน่ เราต้องได้คำชี้แจง!”
“เพื่อสืบทอดศิลปะ เรายินดีที่จะอุทิศช่วงเวลาหนุ่มสาวของตัวเอง วันนี้เพื่อเอาการปฏิบัติงานให้ถูกต้องกับฐานะและชื่อเสียงของศิลปะ เรายอมที่จะอุทิศชีวิตของตัวเอง อ้าก!ให้เราได้แสดงเสน่ห์ของศิลปะเถอะ”
ราวกับกำลังท่องบทกวี ฟางจือหยูศิลปินเขียนพู่กันจีนชราวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของฉีเต๋อหลง ถ่ายเซลฟี่ไปด้วยพลางเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าของหลี่โม่ไปด้วย
“ผมชื่อหางจือหยู ประธานสมาคมพัฒนาศิลปะการเขียนพู่กันจีนในจักรวาล ศิลปะการเขียนพู่กันจีนของผมเคยขึ้นจรวดไปถึงดวงจันทร์ เคยไปดาวอังคาร ได้แสดงศิลปะของเราต่ออารยธรรมต่างดาว ในกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลมีข้อความที่ฉันเขียน ซึ่งเป็นคำเชื้อเชิญสู่อารยธรรมแห่งจักรวาลอันกว้างใหญ่……”
ฟางจือหยูพูดแนะนำตัวเองอย่างน้ำไหลไฟดับ หลี่โม่ทั้งสามฟังจนอ้าปากตาค้าง
ตามคำกล่าวอ้างของฟางจือหยู เขาเป็นคนที่โคตรขี้โม้เลย แม่วัวเห็นเขายังต้องวิ่งหนีเลย ถ้าไม่รีบวิ่งหนีไปจะต้องถูกโม้จนกระเด็นออกนอกโลกไปแน่ๆ
“หยุดนะ ขอผมขัดหน่อยนะครับ คุณคือฟางจือหยูใช่ไหม ผมไม่เคยได้ยินว่ามีภาพวาดพู่กันจีนบนยานอวกาศที่ลงจอดบนดวงจันทร์นะครับ ลำที่ลงจอดดาวอังคารยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่ สำหรับกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล……นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ถึงคุณจะโม้ยังไงก็ไม่ควรโม้ขนาดนั้นนะครับ”หลี่โม่พูดพลางลูบหน้าผาก
หางจือหยูสีหน้าขรึมลง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม“คำพูดของนายเป็นการดูถูกฉันนะ ฉันพูดความจริง ฉันมีหลักฐานนะ ฉันจะเอาหลักฐานให้นายดู เหล่าฉี ช่วยฉันถ่ายหน่อย”
ฟางจือหยูยื่นมือถือไปให้ฉีเต๋อหลง หลังจากนั้นก็ใช้มือดึงเสื้อตัวนอกอย่างแรง แล้วดึงเสื้อตัวนอกก็ถูกฟางจือหยูดึงออกจากกัน เผยให้เห็นใบรับรองต่างๆที่ห้อยอยู่ภายใน
“นายดูนี่สิ ทั้งหมดนี้ได้ผ่านการรับรองระดับสากล นี่คือใบรับรองจากองค์การยูเนสโก้ ยังมีNASAที่อยู่อีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิกที่มอบใบรับรองหนังสือกล่าวขอบคุณให้กับฉัน นอกจากนี้สมาคมระหว่างประเทศหลายแห่ง ยอมรับว่าฉันมีส่วนสนับสนุนความก้าวหน้าของมนุษย์”
ฟางจือหยูยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้โชว์ความสามารถรอบด้านของตัวเอง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงถูกจิตวิญญาณของนักแสดงเข้าครอบงำ
“แล้วมาดูตรงนี้ นี่คือสิ่งที่ฉันพอใจที่สุด เหล่าฉีมาถ่ายใกล้ๆนี่สิ นี่คือนี่คือจดหมายแสดงความยินดีจากอารยธรรมต่างดาว พวกเขาสังเกตเห็นคำเชิญที่ฉันฝากไว้ที่กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิ้ล และติดต่อฉันมาทันที!”
“พรืด!อะฮ่าๆๆ”กู้หยุนหลันหัวเราะจนตัวโก่ง และปิดปากของเธอพลางพูดขึ้นมาว่า“ลุงคนนี้ตลกชะมัดเลย น่าจะไปแสดงหนังตลกนะ ฉากแบบนี้ถ่ายออกมาต้องตลกมากแน่ๆ”
“นังเด็กผู้หญิงคนนี้ พูดได้ยังไงว่าฉันตลก นี่เป็นของจริงนะ แท้เสียยิ่งกว่าทองคำอีก!”
ฟางจือหยูพูดตะคอกเสียงดัง
หลี่โม่รู้สึกปวดฟังมาก คนพวกนี้มองยังไงก็เหมือนคนป่วยจิต ควรจะต้องส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเพื่อตรวจดูหน่อย
“ได้ นี่เป็นของจริงทั้งหมด พวกคุณอุทิศตนเพื่อมนุษยชาติ พวกคุณเก่งขนาดนี้ คุณควรไปหามนุษย์ต่างดาวในฐานะผู้ส่งสารแห่งการเผยแพร่วัฒนธรรม พวกคุณรีบไปซะสิ โลกนี้ไม่สามารถโอบอุ้มพวกคุณไว้ได้อีกต่อไป”
ฟางจือหยูเชิดหน้าขึ้นมาพูดอย่างได้ใจ“นายดูออกแล้วเหรอ มีมนุษย์ต่างดาวของดาวเคราะห์Amostarจริงๆ ที่เชิญฉันไปเผยแพร่ศิลปะการเขียนพู่กันจีนที่นั่น แต่ฉันกังวลเรื่องบ้านเกิด ไม่ยากไปนอกโลกที่อยู่ไกลเกินไป”
หลี่โม่หมดคำพูด คนพวกนี้ฟังไม่ออกแม้แต่น้อย ได้รับพิษมากเกินไปจนถึงขั้นไม่มียาถอนพิษอะไรช่วยได้แล้ว
ในไลฟ์สดของหลัวลี่โล๋ ความนิยมพุ่งปรี๊ด มีแต่ความคิดเห็นแขวะฟางจือหยูเต็มไปหมด เหล่านักเลงคีย์บอร์ดเก่งกว่าหลี่โม่เยอะมาก
เมื่อมองดูคำพูดบ้าคลั่งของฟางจือหยู หลัวลี่โล๋รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เนื่องจากตัวเขาเองก็เป็นศิลปินที่ไร้ชื่อเสียง การดูฟางจือจือหยูถูกพูดแขวะ จึงเหมือนกับเห็นตัวเองถูกแขวะไปด้วย
“เหล่าฟางเสียเปรียบ โทษเหล่าฟางคนเดียวเลยที่โม้ไม่ลืมหูลืมตา คำพูดบ้าๆบอๆพวกน้ำพูดได้เฉพาะแค่ในหมู่บ้านเท่านั้นแหละ ในเมื่อต้องใช้หัวข้อที่สูงส่งกับผู้คน พวกเขาบ้านนอกจริงๆ ดีไม่ดีอาจจะกระทบต่อการทำมาหากินของเราได้”
หลัวลี่โล๋บ่นพึมพำ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะใช้เรื่องศิลปะกดเรื่องนี้ลงไป ถึงอย่างไรคนอย่างหลี่โม่ ดูไม่เหมือนกับคนที่ได้รับการศึกษา
“พูดเยอะขนาดนั้นทำไม โชว์ความสามารถของเราออกไปเลย ถ้าพวกนายแสดงความสามารถศิลปะออกมา มันก็จะทำให้เด็กคนนี้กลัวไปเองนั่นแหละ ไม่แน่อาจจะทำให้สาวสวยทึ่งก็เป็นได้”หลัวลี่โล๋ตะโกนขึ้นมาจากตรงมุมอีกครั้ง