“ ฉันก็เป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนนึงแค่นั้นแหล่ะ เทียบกับผู้อำนวยการผู้ทรงเกียรติอย่างคุณไม่ได้หรอก ” หลี่โม่หาวหวอดพลางพูดอย่างเกียจคร้าน
“เป็นไปไม่ได้! แกต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!”
ในเวลานี้ ต่อให้ตีเขาให้ตาย จ้าวหลงปินก็ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหลี่โม่เป็นคนธรรมดา
คนธรรมดาจะสามารถเอาชนะพวกจ้าวหมิงหยางทั้งสี่คนได้เหรอ? คนธรรมดาจะทำให้เหล่าเทพสังหารพวกนี้เป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาให้ความคุ้มครองแบบนี้ได้เหรอ? แล้วคนธรรมดาจะสามารถออกหมายจับ เพื่อจับกุมคนร้ายด้วยตัวเองได้งั้นเหรอ?
ทุก ๆ เงื่อนไขต่างก็ไม่ธรรมดาเลยซักอย่าง หากไม่เพราะมีความสามารถหรือกำลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ถึงขนาดนี้
จ้าวหลงปินอยากรู้ให้แน่ชัดถึงภูมิหลังของหลี่โม่ แบบนั้นไม่แน่ว่าอาจยังพอมีโอกาสขอความเมตตาซักครั้ง สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือการไปเตะโดนแผ่นเหล็ก แต่กลับไม่รู้ว่าเบื้องหลังของแผ่นเหล็กนั้นมีเทพเซียนองค์ไหนอยู่ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะเผาธูปหอมบูชา เพื่ออ้อนวอนขอความเมตตาให้ละเว้นโทษให้ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
“เสี่ยวถง หนูช่วยพูดอะไรดี ๆ แทนลุงหน่อยเถอะ! ครั้งนี้ทั้งลุงแล้วก็หมิงหยางทำผิดไปแล้วจริง ๆ หนูช่วยพูดขอร้องแทนลุงหน่อยเถอะนะ! ให้หลี่โม่ปล่อยพวกเราไปซักครั้ง ลุงสัญญาว่าหลังจากนี้ไปหมิงหยางจะไม่มาหาหนูอีกต่อไปแล้ว คิดถึงตอนที่มากินข้าวที่บ้านลุงสมัยที่หนูยังเล็ก ๆ สิ ลุงดีกับหนูขนาดไหน…..”
จ้าวหลงปินลดท่าทางถือดีของตัวเองลง เปลี่ยนเป้าหมาย ไปหงายไพ่คนเศร้าที่สำนึกผิดกับเฉินเสี่ยวถงแทน หวังว่าเฉินเสี่ยวถงจะใจอ่อนจนยอมช่วยเหลือตนเอง
เฉินเสี่ยวถงเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความจนใจไปทางหลี่โม่
หลี่โม่ลูบหัวของเฉินเสี่ยวถง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เวลาแบบนี้ก็ยังจะก่อเรื่องลักพาตัวทางอารมณ์ แถมยังเป็นการลักพาตัวทางอารมณ์ที่เอาศีลธรรมมาอ้างซะด้วย ฉันคิดว่าเธอคงจะได้เห็นแก่นแท้ของเขาได้ชัดเจนแล้วล่ะนะ” *(การลักพาตัวทางอารมณ์ คือการกักขังหรือการคุกคามอีกฝ่ายด้วยการอ้างศีลธรรม ความรู้สึกในอดีต บุญคุณหรือความลับที่มีระหว่างกัน เพื่อให้ทำตามความปรารถนาของอีกฝ่าย คล้ายกับสำนวนที่ว่า ลำเลิกบุญคุณ)
เฉินเสี่ยวถงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ปรายตามองจ้าวหลงปินแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้าช้า ๆ
สีหน้าของจ้าวหลงปินเปลี่ยนเป็นดุร้ายป่าเถื่อน ปืนในมือถูกยกขึ้นเล็งทันใด จากนั้นเขาก็เหนี่ยวไกออกไปอย่างไม่ลังเล
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ไม่มีทางให้ย้อนกลับแล้ว จ้าวหลงปินเลือกที่จะลองเสี่ยง ขอแค่สามารถฆ่าหลี่โม่ได้ ยังไงก็ต้องมีคนช่วยเขาออกไปได้อย่างแน่นอน! ไม่งั้นเขาคงต้องถูกมองว่าเป็นแค่เด็กกำพร้า ปล่อยให้ตัวเองตายไปตามยถากรรมแน่
ปัง!
เสียงปืนดังลั่น ดังอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย พุ่งเข้าไปคว้าตัวจ้าวหลงปินอย่างรวดเร็ว ใช้กำปั้นทุบหนัก ๆ ที่มือขวาของจ้าวหลงปินจนหัก แล้วคว้าปืนในมือของเขาออกมา
จ้าวหลงปินจ้องมองหลี่โม่ด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ มองหลี่โม่ที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ดี ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา
หรือว่ากระสุนนัดนั้น เขายิงพลาดไปอย่างนั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้น่า!
ไม่ใช่ว่าจ้าวหลงปินยิงพลาด แต่เพราะในชั่วพริบตาที่จ้าวหลงปินยกปืนขึ้นยิง หลี่โม่ก็ขยับตัว แล้วพาเฉินเสี่ยวถงหลบออกไปจากที่ที่นั่งอยู่เมื่อครู่ ดังนั้น กระสุนนัดนั้นของจ้าวหลงปินจึงยิงไม่โดน
“เป็นไปได้ยังไง ทำไมแกถึงหลบพ้นได้ ! ตั้งแต่ตอนยกปืนขึ้นจนถึงตอนยิง ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ แกหลบมันพ้นได้ยังไงวะ!” จ้าวหลงปินผู้ซึ่งถูกสับมือทั้งสองข้าง ทั้งยังโดนกดลงไปแนบกับพื้น ร้องตะโกนถามด้วยเสียงดังสนั่น
สายตรวจที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
หัวหน้าทีมที่ห้ามองหลี่โม่ตาค้าง ในใจเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกกับคำพูดเมื่อครู่ของหลี่โม่ที่เพิ่งพูดออกมาว่า มีถึง 32 วิธีที่จะทำลายทีมของเขาให้เละได้
ดูเหมือนว่าหลี่โม่จะไม่พูดอะไร แค่อาศัยความสามารถที่ใช้หลบกระสุนเมื่อกี้ บางทีเขาอาจจะทำลายทีมของตนเองจนเละได้จริง ๆ ก็เป็นได้!
หลี่โม่ปลอบใจเฉินเสี่ยวถงที่ถูกทำให้ตกใจไปสองสามประโยค แล้วจ้องไปที่จ้าวหลงปินอย่างไม่สบอารมณ์ พูดขึ้นว่า: “ถ้าไม่เพราะกลัวว่ากระสุนจะสะท้อนจนไปทำร้ายโดนเฉินเสี่ยวถงแล้วล่ะก็ วินาทีที่แกยิงปืนมา ฉันคงจะฆ่าแกไปแล้ว เอาตัวพวกมันกลับไปสอบปากคำ โดยเฉพาะไอ้ผู้อำนวยการคนนี้ เค้นถามมันเกี่ยวกับเรื่องของจางเต๋ออู่มาให้ได้”
เมื่อหลี่โม่พูดถึงจางเต๋ออู่ สีหน้าของจ้าวหลงปินก็ซีดเผือดจนเกินบรรยาย ตัวก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย: ” แก ทำไมแกถึงรู้จักจางเต๋ออู่ได้? จางเต๋ออู่กับฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ด้วยสภาพของแกตอนนี้น่ะ แกไม่มีทางเป็นผู้บริสุทธิ์ไปได้หรอก” น้ำเสียงเย็นชาของหลี่โม่ ทำให้จ้าวหลงปินตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
จ้าวหลงปิน จ้าวหมิงหยางและคนอื่น ๆ ต่างถูกพาตัวไปจนหมด สายตรวจฝ่ายป้องกันระเบิดก็พากันแยกย้ายออกจากสำนักงานด้วยอาการหน้าม่อยคอตก ทุกอย่างจึงกลับสู่ความเงียบสงบ
………..
“ฉันอยากโทรศัพท์” จ้าวหลงปินพูดขณะก้มหน้า
เวลานี้มีแค่การขอความช่วยเหลือจากจางเต๋ออู่วิธีเดียวเท่านั้นแล้ว จ้าวหลงปินไม่อยากนั่งรอความตายอยู่เฉย ๆ อย่างนี้
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยจ้องจ้าวหลงปินเขม็ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “แกอยากติดต่อจางเต๋ออู่งั้นเหรอ? มันเป็นแค่หมาตัวนึงในสำนักหลงเหมินก็เท่านั้นแหล่ะ นายน้อยของเราสามารถฆ่ามันทิ้งได้ตลอดเวลา”
“นายน้อย? นายน้อย!”
คำว่านายน้อยเสียงแรกของจ้าวหลงปินเป็นคำถาม ส่วนเสียงเรียกที่สองเป็นความตกตะลึง
ในเวลานี้เอง จ้าวหลงปินเริ่มตระหนักได้ถึงตัวตนอันแท้จริงของหลี่โม่ จึงรู้ได้ในที่สุดว่าหลี่โม่เป็นนายน้อยของสำนักหลงเหมิน!
“เขา! เขาเป็นนายน้อยของสำนักหลงเหมินได้ยังไง!”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าแกอยากโทรหาจางเต๋ออู่ก็เชิญตามสบายเถอะ”
จ้าวหลงปินลังเลไปพักใหญ่ ในที่สุดก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทร
“พี่เต๋ออู่ ขอร้องล่ะ พี่ได้โปรดช่วยผมด้วยเถอะ ผมถูกคนของหลี่โม่จับไว้ พวกมันยังทรมานผมเพื่อเค้นถามความสัมพันธ์ของผมกับพี่ด้วย!” จ้าวหลงปินพูดด้วยน้ำเสียงคร่ำครวญ
จางเต๋ออู่ตกตะลึงไปพักใหญ่ จากนั้นก็แสดงสีหน้าโกรธเคือง: “มึงนี่แม่งอยากตายจริง ๆ ใช่มั้ยวะ ? มึงถูกจับได้มันเกี่ยวเชี่ยอะไรกับกูด้วยล่ะ จะให้กูช่วยมึงยังไงวะ!?”
“พี่ช่วยทักทายหลี่โม่ซักสองสามคำก็ยังดี มีแค่พี่เท่านั้นแล้วที่ช่วยชีวิตผมได้ พี่เต๋ออู่ พี่ต้องช่วยผมนะ ไม่งั้นผมคงต้องบอกทุกอย่างที่รู้ออกไปทั้งหมดแล้ว”
ในมือของจ้าวหลงปินไม่มีจุดอ่อนอะไรของจางเต๋ออู่ อย่างมากที่สุดก็แค่บอกได้ว่าจางเต๋ออู่สั่งให้ลูกชายของเขาไปฆ่าหลี่โม่ก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้มันโดนแบไต๋ออกมาหมดไม่มีเหลือแล้ว ไม่มีอะไรที่จะใช้เป็นจุดอ่อนได้อีก
จางเต๋ออู่โกรธจนจมูกเบี้ยวไปแล้ว แผดเสียงคำรามอย่างดุเดือดว่า “มึงพูดเลย! มึงจะบอกอะไรหลี่โม่มันได้วะ? กูแค่อยากจะฆ่ามัน ! มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้นี่โว้ย! ถ้ามึงมีปัญญา มึงก็ให้มันมาฆ่ากูให้ได้สิวะ!”
ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของแผนการ ทำให้จางเต๋ออู่หงุดหงิดรำคาญใจมาก รู้สึกว่าคนที่ตัวเองจัดวางไว้มีแต่พวกสวะไร้ค่าไปจนถึงโคตรเหง้าทั้งนั้น ไม่มีไอ้เวรหน้าไหนที่ใช้การได้เลยแม้แต่คนเดียว
จางเต๋ออู่เดินไปเดินมาหลายก้าว แล้วส่งเสียงตวาดต่อไปว่า: “ถ้ามึงพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของมึงกับกู มึงก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้นแหล่ะ! มึงอยากพูดยังไงก็คิดหาทางออกเอาเองเหอะวะ ให้กูไปช่วยมึงมันเป็นไปไม่ได้หรอก ! “
หลังจากพูดจบ จางเต๋ออู่ก็ตัดสาย แล้วขว้างโทรศัพท์ทิ้งลงพื้นอย่างฉุนเฉียว
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย! มีแต่ขยะพึ่งพาไม่ได้ทั้งนั้นเลยโว้ย! ทำไมไม่มีไอ้เวรหน้าไหนที่ใช้ประโยชน์ได้เลยซักคนวะเนี่ย! แม่งไอ้จ้าวหลงปินน่าตายนี่ ยังกล้ามาพูดจาข่มขู่กูอีก!”
จางเต๋ออู่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เริ่มครุ่นคิดหาทางว่าจะจัดการกับหลี่โม่ยังไงดี
ตอนนี้คงมีแต่วิธีเติมเชื้อเพลิงให้กองไฟแค่วิธีเดียวแล้ว ทางราชาใหญ่นั่นอาจจะต้องสุมไฟอีกซักกอง เพื่อให้ราชาใหญ่ไปเผชิญหน้ากับหลี่โม่ตรง ๆ แบบตายกันไปข้าง แบบนั้นถึงจะมีโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น ฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุนฉกฉวยผลประโยชน์อันมหาศาลมาได้
“แล้วจะทำยังไงถึงจะทำให้ราชาใหญ่ลงมือกับหลี่โม่ได้ล่ะ? หรืออาจจะต้องให้ราชินีมังกรกระชับความสัมพันธ์กับหลี่โม่เป็นการชั่วคราว? บางทีนั่นอาจทำให้ราชาใหญ่ร้อนใจจนรีบเคลื่อนไหว แต่ก็กลัวว่าจะพูดโน้มน้าวราชินีมังกรไม่ได้นี่สิ”
จางเต๋ออู่ปากก็พูดพึมพำเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ สมองก็แล่นไปมาอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดหาทางว่าจะพูดจาโน้มน้าวราชินีมังกรได้ยังไง
หลังจากคิดใคร่ครวญไปได้รอบหนึ่ง มุมปากของจางเต๋ออู่ก็ยกยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา : “มีวิธีแล้ว! หลี่โม่ แกเตรียมตัวรอรับความตายได้เลย!”