“คุณนี่รู้อะไร ๆ เยอะมากเลยนะคะ ฉันแทบจะกลายเป็นแฟนคลับของคุณอยู่แล้ว ” จางลี่จื้อรีบฉวยโอกาสประจบเอาใจ หวังว่าจะสามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับหลี่โม่ได้
หลี่โม่จัดวางปลาสองชิ้นที่แล่เป็นแผ่นแบน ๆ ขนาดเท่ากันอย่างเป็นระเบียบ หันไปมองที่เชฟตงหยางแล้วพูดขึ้นว่า ” พวกแกทางนั้นกินซาซิมิปลาปักเป้าที่แล่เป็นชิ้นบาง ๆ สินะ ยิ่งแล่ได้บางเท่าไหร่ก็ยิ่งดีใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ ทักษะการใช้มีดแล่ซาซิมิปลาปักเป้าที่ดีที่สุด คือขนาดความบางของซาซิมิหลังการแล่ ต้องบางจนเมื่อมองผ่านแสงไฟ จะสามารถมองเห็นตัวอักษรเล็ก ๆ บนหนังสือพิมพ์ได้” ใบหน้าของเชฟตงหยางดำคล้ำมืดทะมึน ในใจมีลางสังหรณ์ว่าจบเห่แน่แล้วขึ้นมาไม่หยุด
จากการใช้มีดที่พลิ้วไหวเป็นธรรมชาติดุจดั่งเมฆาลอยล่อง สายน้ำหลั่งไหลเมื่อครู่นี้ ทำให้เชฟตงหยางสามารถสัมผัสได้ถึงความห่างชั้นระหว่างตัวเองกับหลี่โม่ได้ ว่าตัวเองนั้นยังห่างชั้นกับเขาราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
“ดูให้ดีล่ะ”
หลี่โม่หมุนมีดในมือของเขา แล้วแล่เนื้อปลาปักเป้าเป็นแนวทแยงด้วยความเร็วสูง
มีดกรีดเฉือนอย่างรวดเร็ว เนื้อปลาหนึ่งชิ้น หลี่โม่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถแล่จนเสร็จ หลังจากแล่เสร็จ เนื้อปลาก็ยังอยู่ในสภาพเป็นชิ้นสมบูรณ์เหมือนเดิม ราวกับว่ามันไม่เคยถูกแล่มาก่อน
หน้าผากของเชฟตงหยางมีเหงื่อผุดพรายออกมาไม่หยุด เข้าตำราทันทีที่ผู้เชี่ยวชาญยื่นมือออกไป ก็รู้ได้แล้วว่ามีของหรือไม่ ( สำนวนนี้มีหมายความว่า ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีอาชีพอะไรก็ตาม ขอเพียงเป็นคนที่มีความรู้จริง ๆ จะสามารถแยกแยะได้ว่าคนคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ ใกล้เคียงกับภาษาสแลงยุคใหม่ที่พูดกันว่าคนมีของ) เชฟตงหยางเข้าใจกระจ่างแล้วว่า ทักษะการใช้มีดของหลี่โม่นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ
“นี่แกมีทักษะการใช้มีดระดับอะไรกันแน่? ถึงกับร้ายกาจกว่าอาจารย์ของฉันซะอีก! จะมีคนที่มีฝีมือระดับนี้อยู่ได้ยังไงกัน? อาจารย์ของฉันเป็นยอดนักใช้มีดที่มีทักษะสูงสุดในตงหยางแล้ว ทำไมแกถึงแข็งแกร่งกว่าเขาได้?
คางเหวินซิงหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงอวดดีว่า : “อาจารย์ของฉัน นั่นคือพ่อครัวที่เก่งที่สุดในวงการนักแข่งรถ คนที่มีสกิลการต่อสู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาพ่อครัวทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นซุปเปอร์แมนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคใหม่ ผู้เป็นดั่งนักบุญอุปถัมภ์แห่งความยุติธรรมและสันติภาพ “
“หุบปาก อวดดีให้มันน้อย ๆ หน่อย!”
หลี่โม่เขกหน้าผากของคางเหวินซิงไปหนึ่งที แล้วใช้ตะเกียบคีบปลาปักเป้าขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็เขย่าไปมา
เนื้อปลาปักเป้าที่ถูกคีบขึ้นมานั้นบางราวกับปีกของจักจั่น บางใสจนเมื่อมองผ่านชิ้นเนื้อ จะสามารถมองเห็นภาพด้านหลังได้ราง ๆ เลยทีเดียว หากจะนำมาใช้ทดลองอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ บนหนังสือพิมพ์ก็ไม่ใช่ปัญหา
ไทมุงที่ยืนกินเผือกอยู่ร้องอุทานฮือฮากันใหญ่ ต่างพร้อมใจกันถ่ายรูปเนื้อปลาชิ้นนั้นรัว ๆ
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้! เทคนิคการใช้มีดขั้นเทพระดับนี้ น่ากลัวว่าคงจะมีเชฟไม่กี่คนหรอกที่ทำได้”
“พี่ชาย นี่คุณทำงานอะไรเหรอ ? ลูกหลานบ้านฉันเรียนไม่ค่อยเก่ง ขอไปเรียนทำอาหารกับคุณได้ไหม?”
“นี่ต้องเป็นปรมาจารย์ยอดนักใช้มีดแน่ ๆ พี่ชายคงฝึกฝนวิชาการใช้มีดมาหนักมากเลยใช่มั้ย?”
คางเหวินซิงปรายตามองเชฟตงหยางด้วยสายตาอวดดี แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ทุกคนออกทะเลกันไปใหญ่แล้วใช่มั้ยเนี่ย? ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเราสมควรจะร่วมใจกันรับชมเชฟตงหยางแสดงฝีมือบ้างแล้วล่ะ”
เชฟตงหยางหน้าแดงด้วยความอับอาย โค้งคำนับหลี่โม่ด้วยความนับถืออย่างสุดซึ้ง พูดเสียงดังว่า “เมื่อกี้เป็นผมเองที่หยิ่งยโสจนเกินไป คิดไม่ถึงว่าคุณจะมีทักษะในการใช้มีดที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ ผมต้องกราบขออภัยคุณอย่างจริงใจ ผมจะขอลาออกเพื่อกลับประเทศ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ขอย่างเท้าออกจากตงหยางตลอดไป ชีวิตนี้จะทุ่มเทฝึกฝนทักษะการใช้มีดให้หนักขึ้น หวังว่าจะมีโอกาสก้าวเข้าสู่เขตแดนของยอดฝีมือ ผู้มีทักษะการใช้มีดระดับเทพแบบคุณได้”
เชฟตงหยางพูดจบก็หันหลังแล้วจากไปทันที ผู้จัดการห้องอาหารถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง หันไปมองหลี่โม่ แล้วก็หันไปมองเชฟตงหยางที่เดินออกไป สุดท้ายก็วิ่งออกไปจากห้องอาหาร
คางเหวินซิงกลอกตามองบนใส่แล้วพูดว่า “ไอ้ลูกหมาหน้าโง่เอ๊ย ! แค่พูดแบบนี้สองสามประโยคก็ถือว่าจบเรื่องแล้วงี้เลย? พวกตงหยางไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องการทำฮาราคีรี (คว้านท้องตัวเอง) เพื่อฆ่าตัวตายหลังจากสู้แพ้หรอกเรอะ?”
“ฮะๆ กินเนื้อปลาปักเป้าของนายไปเถอะ จานนี้ยกกลับไปกินกันดีกว่า” หลี่โม่ส่งเนื้อปลาปักเป้าบนจานไปให้คางเหวินซิง
จากนั้นเขาก็แล่เนื้อปลาปักเป้าอีกชิ้นหนึ่ง หลังจากที่สไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ เสร็จ ก็จัดบนจานพร้อมเสิร์ฟ แล้วพูดขึ้นว่า “เนื้อปลาจานนี้ให้พวกคุณทุกคนลองชิมกันนะ เมื่อกี้ไปขัดจังหวะการกินข้าวของทุกคน ถือซะว่าเป็นของขวัญชดเชยจากผมก็แล้วกัน”
“พี่ชายเกรงใจเกินไปแล้ว! ได้มีโอกาสเห็นทักษะการใช้มีดอันน่าทึ่งของพี่ชายแบบนี้ นั่นก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเราแล้ว”
“พี่ชาย คุณเป็นเชฟเหรอ? คุณเปิดร้านอาหารที่ไหนล่ะ? พวกเราอยากจะไปเป็นกำลังใจให้คุณมากเลย”
“ใช่ ๆ ด้วยทักษะการใช้มีดระดับนี้ของคุณ ร้านอาหารของคุณต้องไม่มีทางย่ำแย่แน่ พวกเราทุกคนจะต้องไปที่นั่นกันชัวร์ ๆ”
หลี่โม่โบกมือให้บรรดาไทมุงนักกินเผือกรอบ ๆ แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเองด้วยรอยยิ้ม
บรรดานักกินเผือกต่างก็ได้ลิ้มรสซาซิมิที่หลี่โม่แล่เป็นชิ้นบาง ๆ แต่ละคนพากันยกนิ้วโป้งให้เขา ทำท่ากดไลค์ให้อย่างถล่มทลาย
หลังจากที่จางลี่จื้อได้ชิมไปชิ้นหนึ่งแล้ว ก็กลอกดวงตาไปมา เดินยิ้มจนตาหยีเข้าไปหาหลี่โม่
เฉินเสี่ยวถงมองดูจางลี่จื้อที่เดินเข้ามาด้วยสายตาระแวดระวัง แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า: “นี่เธอจะทำอะไร? ไม่เห็นรึไงว่าพวกเรากินข้าวอยู่? ไม่รับการถ่ายทอดสดของเธอหรอกนะ กรุณาอย่ามารบกวนพวกเรา “
จางลี่จื้อหันไปมองเฉินเสี่ยวถง จากนั้นก็หันไปมองกู้หยุนหลัน ในใจแอบคิดเปรียบเทียบหน้าตาของตัวเองกับหน้าตาของพวกเธอ ชั่วขณะนั้น ก็เกิดความรู้สึกท้อแท้ใจขึ้นมาซะเฉย ๆ น้องสาวสองคนนี้สวยเกินไปจริง ๆ นั่นแหล่ะ ยังไงก็เทียบชั้นกันไม่ได้เลยจริง ๆ
“ถ้างั้น ฉันอยากให้ทิ้งข้อมูลติดต่อของหลี่โม่ไว้ได้ไหมคะ? หลังจากนี้พวกเราจะได้ร่วมมือกันไลฟ์สดได้ ฉันจะถ่ายให้คุณเอง รายได้เราก็แบ่งกันคนละ 50:50 เป็นไงคะ?” จางลี่จื้อพูดเสนอความคิดเห็นของเธออย่างกล้าหาญ
หลี่โม่ส่ายหน้า หันไปพูดกับคางเหวินซิงว่า: “ฉันไม่อยากพูด นายไปเกลี้ยกล่อมให้เธอออกไปซะเถอะ”
คางเหวินซิงแสยะยิ้มหน้าระรื่น ขยับร่างกายอ้วนเทอะทะลุกขึ้นยืน กระพริบตาด้วยท่าทางลามกใส่จางลี่จื้อ: “ตอนนี้คุณเชื่อรึยังว่าผมเป็นร่างทิพย์ที่สองของเขา ตอนนี้เรามาเริ่มเปิดโหมดการสื่อสารที่จริงใจกันเถอะ “
“น่าขยะแขยงชะมัด! ไอ้อ้วนหน้าอืดอย่างนายไสหัวไปตายไกล ๆ เลยไป๊!” จางลี่จื้อกระทืบเท้าเร่า ๆ แล้วเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
คางเหวินซิงมองตามแผ่นหลังของจางลี่จื้อไปอย่างโศกเศร้า: “ทำไมถึงไม่มีใครชื่นชมความงามภายในจิตใจของผมเลยนะ? ในท้องผมมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่าด้วยตัวเองขนาดนี้แท้ ๆ ทำไมเธอถึงไม่เห็นในความสูงส่ง กับจิตใจที่ใสสะอาดของผมเลยล่ะ?”
“สิ่งที่ฉันเห็นคือความถ่อยของนาย” หลี่โม่แสดงความคิดเห็นไปประโยคหนึ่ง
“คิก! ฮะๆๆ แสดงความคิดเห็นได้โดนใจมาก” กู้หยุนหลันอดหัวเราะไม่ได้
“อาจารย์ ผมจะถ่อยไปได้ยังไงล่ะครับ! ช่างเถอะ พวกคุณไม่เข้าใจผม ยังไงซักวันก็จะต้องมีใครซักคนค้นพบประกายแสงอันงดงามของผมอย่างแน่นอน”
ในตอนที่อาหารมื้อนี้ของหลี่โม่กำลังจะเสร็จสิ้นลง ผู้จัดการห้องอาหารก็พาชายวัยกลางคนที่มีท่าทางสง่าดูภูมิฐานเข้ามา
ชายภูมิฐานวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าสไตล์ราชวงศ์ถัง ประสานมือคำนับไปทางหลี่โม่ แล้วยื่นการ์ดสีดำใบหนึ่งไปให้
“ได้ยินรายงานเมื่อครู่นี้ว่า เชฟที่เราเชิญมาจากตงหยางมีเรื่องกระทบกระทั่งกับทุกท่าน ทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของเรา ทางเรือนจิ่วเถิงจึงขอมอบแบล็คการ์ดใบนี้ให้คุณ เพื่อเป็นการขออภัยและแก้ไขความขุ่นเคืองครับ”
“คุณเกรงใจเกินไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเอง กลับกันเชฟตงหยางคนนั้นกำลังจะลาออกแล้ว มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณหรอกเหรอ?”
มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้ หลี่โม่ไม่ได้คิดจะทำให้คนของเรือนจิ่วเถิงต้องลำบากใจ อีกทั้งเรื่องเมื่อครู่ก็เป็นแค่อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
“ไม่มีผลกระทบอะไรหรอกครับ ผมเองก็อยากไล่เชฟตงหยางคนนี้ออกไปตั้งนานแล้วล่ะ แต่เพราะข้อจำกัดบางอย่าง กับเรื่องของศักดิ์ศรีเลยไม่กล้าเอ่ยปาก ตอนนี้เลยกลายเป็นเรื่องที่โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งจริง ๆ”
“งั้นก็ดี คุณเก็บแบล็คการ์ดคืนไปเถอะ ผมไม่จำเป็นต้องใช้หรอก” หลี่โม่พูดเรียบ ๆ
ลูกค้าที่กินเผือกอยู่รอบ ๆ ต่างก็ต้องตกตะลึงกันอีกครั้ง แบล็คการ์ดของเรือนจิ่วเถิงไม่ใช่ของเล่น ๆ หรอกนะ
นั่นเป็นตัวแทนของการเข้าสู่อีกแวดวงหนึ่ง ว่ากันว่าผู้ที่ถือแบล็คการ์ดของเรือนจิ่วเถิง จะสามารถเข้าสโมสรเรือนจิ่วเถิงได้ ที่นั่นเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของบรรดาลูกหลานเศรษฐีรุ่นที่สองทั้งหลาย คนที่ไม่มีฐานะเพียงพอจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปได้เด็ดขาด
ชายภูมิฐานคิดว่าหลี่โม่ไม่เข้าใจความหมายของแบล็คการ์ด จึงเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “แบล็คการ์ดของเรือนจิ่วเถิงเรา ไม่ใช่แค่แบล็คการ์ดธรรมดาทั่วไป มันแสดงถึงตัวตนและสถานะของผู้ถือ คนที่ถือมันจะสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมของสโมสรเรือนจิ่วเถิงได้ สามารถทำความรู้จักกับคนที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ ขยายเครือข่ายเส้นสายให้กว้างขวางได้มากกว่าที่เคยเป็น”