หลี่โม่ส่ายหน้า: “ไม่ต้องหรอก ผมไม่จำเป็นต้องขยายเครือข่ายของตัวเองให้กว้างกว่านี้”
เมื่อต้องเผชิญกับการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดของหลี่โม่ ชายผู้สง่าภูมิฐานจึงดูมีท่าทีว้าวุ่นเล็กน้อยนี่เป็นครั้งแรก ที่มีคนปฏิเสธแบล็คการ์ดสำหรับสมาชิกเรือนจิ่วเถิง
คางเหวินซิงพูดอย่างอวดดีว่า “เอาเป็นว่าเช็คบิลเลยเถอะ อย่าคิดว่าบัตรสมาชิกแบล็คการ์ดของพวกคุณมันวิเศษวิโสนักเลย ถ้าอาจารย์ของผมเข้าร่วมเป็นสมาชิกแบล็คการ์ดของพวกคุณ ก็เท่ากับลดฐานะตัวเองแล้วล่ะ เช็คบิลมาเถอะ อย่ากวนใจอาจารย์ของผมอีกเลยน่า”
ชายภูมิฐานถึงกับตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า : “ดูเหมือนว่าผมจะวู่วามไปหน่อยแล้วจริง ๆ อาหารมื้อนี้ถือเสียว่าเป็นการขออภัยจากพวกเรา ขอทุกท่านโปรดรับน้ำใจนี้ด้วยเถอะครับ”
“พวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงิน ต้องจ่ายเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น อาจารย์ของผมไม่เคยเอาเปรียบใคร”
คางเหวินซิงยืนกรานที่จะจ่ายเงิน ชายภูมิฐานจึงทำได้เพียงสั่งให้ผู้จัดการห้องอาหารไปคิดเงินด้วยรอยยิ้มอันฝืดฝืน
พวกหลี่โม่ทั้งสี่ออกมาจากเรือนจิ่วเถิง เฉินเสี่ยวถงกลอกตาพลางพูดว่า “แค่กินข้าวยังต้องเจอเรื่องอะไรเยอะแยะไปหมด เดิมทีกะแค่ว่าจะออกมาผ่อนคลายซะหน่อย กลายเป็นว่ายิ่งไม่มีความสุขขึ้นกว่าเดิมอีก หรือไม่พวกเราไปเที่ยวที่ภูเขาชิงหลงกันดีกว่ามั้ย?”
กู้หยุนหลันก็ไม่อยากกลับบ้านเร็วนักเหมือนกัน เมื่อได้ยินเฉินเสี่ยวถงพูด ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดีนะ งั้นพวกเราไปหย่อนใจที่ภูเขาชิงหลงกันเถอะ ช่วงนี้มีแต่เรื่องมากเกินไปแล้วจริง ๆ ต้องไปผ่อนคลายอารมณ์กันหน่อย
นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่า ภูเขาชิงหลงยังเป็นพื้นที่ของยาสมุนไพรจีนที่สำคัญมากด้วย พอดีจะได้แวะดู ๆ ซะหน่อย ถ้าคุณภาพของสมุนไพรที่ภูเขาชิงหลงดี กับผลผลิตคงที่ล่ะก็ วันหลังพวกเราจะได้ซื้อพวกยาจากภูเขาชิงหลง มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตได้ “
แม้จะบอกว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ แต่ในคำพูดของกู้หยุนหลันนั้นพอฟังไปฟังมา ก็ยังไม่พ้นเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงานอันดี กู้หยุนหลันในตอนนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีออร่าของสาวมั่นแบบ Working women มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ทั้งสี่ขึ้นรถ แล้วขับตรงไปที่ภูเขาชิงหลงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
มียาสมุนไพรจีนหลากหลายชนิดในภูเขาชิงหลง ทั้งหมดเป็นสมุนไพรป่า และประสิทธิภาพของยาสมุนไพรเหล่านั้น เหนือกว่ายาสมุนไพรจีนที่เพาะปลูกกันอยู่มาก
ทุกปีมีร้านขายยารายใหญ่ รวมถึงคนจากบริษัทยาจีนมาที่นี่เพื่อเก็บรวบรวมวัตถุดิบ และการเก็บยาก็ได้กลายเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านจำนวนมาก ที่อาศัยกันอยู่ตามเชิงเขา
ถนนสิ้นสุดลงที่ทางเข้าหมู่บ้านชิงหลงที่บริเวณเชิงเขา ถ้าจะเดินหน้าต่อไป ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปตามถนนบนภูเขาเท่านั้น
มีที่จอดรถตรงทางเข้าหน้าหมู่บ้านชิงหลง มีรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนต่างถิ่นจอดอยู่ในที่จอดรถเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นรถที่บรรดาผู้คนในธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ขับมานั่นเอง
หลังจากจอดรถในลานจอดรถแล้ว พวกหลี่โม่ กับกู้หยุนหลันก็เดินตรงไปที่หมู่บ้าน
บ้านในหมู่บ้านชิงหลงล้วนเก่าแก่มาก การก่อสร้างจะผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมหินและไม้ ดูแล้วให้ความรู้สึกค่อนข้างโบราณ
สองข้างทางของถนนที่ไม่กว้างนักในหมู่บ้าน ชาวบ้านตั้งแผงขายของทอดต่อกันยาวเหยียด ซึ่งดูเหมือนตลาดนัดมากเลยทีเดียว
ยาที่ถูกเก็บมาทุกชนิด ล้วนถูกจัดวางอยู่บนแผงขายเหล่านั้น มีคนจากธุรกิจยาจำนวนมากที่เดินไปดูไป พลางต่อรองราคากับเจ้าของแผงขายเป็นระยะ ๆ
กู้หยุนหลันมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ เธอไม่ได้เห็นภาพฉากนี้มานานมากแล้ว เพราะช่วงนี้กู้หยุนหลันที่ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ในบริษัทหยุนจงกรุ๊ป ไม่มีเวลาได้ออกมาเดินเที่ยวตลาดแบบนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้ว
“รู้สึกว่าไม่เลวเลยเนอะ ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกผ่อนคลายสบายใจมากเลย”
“เธอทำงานหนักมาทั้งวัน ต้องพักผ่อนให้อารมณ์ได้ผ่อนคลายบ้าง ไม่งั้นจะป่วยจากการทำงานหนักจนเกินไปนะ”
ตอนที่หลี่โม่พูด มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งอยู่ข้างหน้ากู้หยุนหลัน จู่ ๆ ก็ถอยหลังแบบกะทันหันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หลี่โม่รีบเอาแขนไปโอบไหล่อันหอมกรุ่นของกู้หยุนหลัน โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนตัวเอง
ชายร่างใหญ่ก้าวโซเซถอยมาข้างหลังสองก้าว แล้วไปชนใส่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังของกู้หยุนหลันเมื่อกี้แบบเต็ม ๆ
“แกมีตารึเปล่าวะ? จะถอยหลังก็ไม่รู้จักเหลียวมาดูข้างหลังเลยว่ามีใครอยู่รึเปล่า” คนที่ถูกชนใส่โกรธจนแผดเสียงตะคอกด่าดังลั่น
ชายร่างใหญ่เกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน พูดขอโทษไม่หยุด
กู้หยุนหลันหันไปชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ เธอ ตบหน้าอกเบา ๆ ในใจแอบรู้สึกกลัวเล็กน้อย
หลังจากความกลัวผ่านพ้นไป ก็รับรู้ถึงแขนของหลี่โม่ที่โอบรอบไหล่ที่หอมกรุ่นของเธอ อีกทั้งร่างกายส่วนใหญ่ของเธอ ก็พิงอยู่ในอ้อมแขนของหลี่โม่เกินครึ่ง
กู้หยุนหลันหน้าแดง รีบเดินขึ้นมาข้างหน้าครึ่งก้าวออกจากอ้อมแขนของหลี่โม่ รอบ ๆ นี้มีคนอยู่มากมายนัก คนที่หน้าบางอย่างกู้หยุนหลันจึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
“เมื่อกี้ฉันเกือบโดนชนใส่ซะแล้วสิ” กู้หยุนหลันพูดเสียงเบาเหมือนยุงบิน
หลี่โม่ลูบปลายนิ้วมือสองครั้ง หวนนึกถึงสัมผัสอันละเอียดอ่อน นุ่มนวลที่ปลายนิ้วมือ“ขอบคุณอะไรกัน? ปกป้องภรรยาที่เคารพให้ดี ๆ ถือเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”
กู้หยุนหลันก้มหัวลงจนต่ำ หัวใจที่เขินอายก็เต็มไปด้วยความกระสับกระส่ายที่อธิบายไม่ได้
หลี่โม่บีบเบา ๆ ที่คออันเรียวระหงของกู้หยุนหลัน พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ก้มหัวทำไมล่ะ? ภรรยาของฉันสวยซะขนาดนี้ ต้องเชิดหน้ายืดอกให้สง่าผ่าเผยสิถึงจะถูกต้อง”
กู้หยุนหลันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น มองไปที่หลี่โม่อย่างออดอ้อน แต่ปากกลับพูดอะไรไม่ออก
เมื่อมองดูกู้หยุนหลันที่มีสายตาออดอ้อน ลมหายใจของหลี่โม่ก็สะดุดไปเล็กน้อย ในความเป็นจริงก็คือ เขาเกิดรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพฉากที่เหมือนกับว่า ตัวเองตกหลุมรักกู้หยุนหลันจนไม่สามารถควบคุมได้
หลังจากหายใจสะดุดไปชั่วคราว หลี่โม่ก็จูงมือกู้หยุนหลันอย่างนุ่มนวล: “เดินตามฉันมาดีกว่านะ ถ้าอยู่ห่างกันเกินไปจะปกป้องเธอได้ไม่ค่อยสะดวก”
กู้หยุนหลันยอมให้หลี่โม่จูงมือไป ตัวเองเดินตามอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างใกล้ชิด บนถนนสายเล็ก ๆ ของหมู่บ้านบนภูเขาที่มีผู้คนสัญจรขวักไขว่ไปมา เธอรับรู้ได้เพียงความหวานล้ำในหัวใจที่มันเต็มตื้น ณ. ชั่วเวลานี้ในสายตาของกู้หยุนหลันมองไม่เห็นใครอื่นทั้งสิ้น มีเพียงหลี่โม่คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตาเธอ
เฉินเสี่ยวถงกระทืบเท้าด้วยความอิจฉา คิดอยากให้หลี่โม่จูงมือตัวเองบ้าง แต่เฉินเสี่ยวถงก็รู้ดีว่าเธอทำได้แค่มองดูเท่านั้น คิดจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วจับมือหลี่โม่ด้วยคงเป็นไปไม่ได้ แบบนั้นมีแต่จะทำให้หลงเหลือความประทับใจที่ไม่ดี ทิ้งไว้ในใจของหลี่โม่เท่านั้น
คางเหวินซิงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์หญิงน้อย หนทางของคุณยังอีกยาวไกลนะ อาจารย์ของผมดูเหมือนคนที่ลุ่มหลงในคนรักแบบเกินบรรยายเลยแหล่ะ”
“ไม่ต้องให้นายมาสอดปากให้มากหรอกย่ะ ขอแค่แกว่งจอบได้ดี ก็ไม่มีกำแพงไหนที่ขุดไม่ได้ ต้องมีซักวันที่ฉันจะประสบความสำเร็จ นายรอดูต่อไปก็แล้วกัน ฮึ!”
เฉินเสี่ยวถงพองแก้มด้วยความโกรธ และเมื่อหันไปมองหาหลี่โม่กับกู้หยุนหลันอีกครั้ง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขาแล้ว
“ว้า! ทำไมพี่หลี่โม่กับพี่หยุนหลันถึงหายตัวไปซะแล้วล่ะ? ต้องโทษนายนั่นแหล่ะที่มาคุยกับฉัน พวกเขาคงไปเดินเที่ยวกันเอง ไม่ยอมพาฉันไปด้วยแล้วแน่เลย!” เฉินเสี่ยวถงพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้
“อาจารย์กับอาจารย์หญิง ก็จำเป็นต้องมีพื้นที่ส่วนตัวไว้สวีทชิดใกล้กันบ้างสิ อย่าคิดไปตามหาพวกเขาอีกเลยน่า พวกเราไปหาที่พักขากันซักหน่อยเถอะ”
คางเหวินซิงไม่อยากตามไปเป็นก้างขวางคอพวกเขา จึงคิดว่ายังไงก็พาเฉินเสี่ยวถงไปหาสถานที่เงียบ ๆ พักซักหน่อยน่าจะดีกว่า
เฉินเสี่ยวถงสีหน้าสลด เดินตามคางเหวินซิงไปอย่างจนใจ เพื่อหาร้านน้ำชาสักแห่งพักผ่อน
ถนนสายเล็ก ๆ ในหมู่บ้านเส้นนั้นไม่ได้ยาวมากนัก เพียงไม่นานหลี่โม่กับกู้หยุนหลันก็เดินออกจากถนนสายเล็ก ๆ นั้น แล้วเดินไปตามถนนในหมู่บ้านขึ้นไปบนภูเขา
ชาวบ้านหลายคนนั่งยอง ๆ อยู่ตรงบริเวณทางแยกขึ้นภูเขา ในมือมีป้ายเขียนบอกไว้ว่านำทางและไกด์ห้อยอยู่
ตอนที่ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นกู้หยุนหลัน ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายด้วยความโลภอย่างน่าประหลาด
“พี่ชายครับ คุณคนสวย พวกคุณจะเข้าไปในภูเขาอยากได้คนนำทางไหม? พวกเราทุกคนคุ้นเคยกับถนนบนภูเขา พวกคุณอยากไปที่ไหน เราก็พาไปได้ทุกที่เลยนะ”
ชาวบ้านที่มีปากแหลม รูปแก้มเหมือนลิงยืนขึ้น เหลือบมองกู้หยุนหลันแวบหนึ่ง แล้วย้ายสายตาออกไป พยายามซ่อนประกายแววตาที่ดูมีเจตนาร้ายไว้อย่างน่าเคลือบแคลง
หลี่โม่เหลือบมองชาวบ้านคนนั้น แล้วส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด: “ไม่จำเป็นต้องนำทาง”
เมื่อเห็นว่าหลี่โม่ปฏิเสธ ดวงตาของชาวบ้านที่มีปากแหลม แก้มเหมือนลิงก็กะพริบสองครั้งในใจเกิดความรู้สึกไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน