เมื่อเห็นไอ้หัวล้านยังคงโจมตีต่อ หลี่โม่ก็ออกแรงที่มือให้หนักขึ้นอีก
หมัดของไอ้หัวล้านถูกหลี่โม่บีบตรง ๆ จนแหลกคามือ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ไอ้หัวล้านแหกปากร้องอย่างน่าสมเพช
“อ้าก! มือกู! มือกูหักหมดแล้วโว้ย!”
หลังจากบีบหมัดของไอ้หัวล้านจนแหลก ใบหน้าของหลี่โม่ก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันจาง ๆ: “แค่นี้ก็เจ็บจนทนไม่ไหวแล้วงั้นเหรอ?”
หลังจากพูดจาเยาะเย้ยไอ้หัวล้านไปประโยคหนึ่ง หลี่โม่ก็เหยียดนิ้วมือนิ้วหนึ่งขึ้นมา แล้วชี้ไปที่กำปั้นอีกข้างของไอ้หัวล้าน
“ปุ๊” เสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ
แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะเล็กน้อยมาก แต่หมัดของไอ้หัวล้านกลับแหลก แบบที่ไม่สามารถแหลกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ที่ด้านหน้าของหมัดไอ้หัวล้าน พลันมีรูเลือดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมารูหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นรูเลือดที่เกิดจากการถูกหลี่โม่ใช้นิ้วชี้เข้าใส่เมื่อครู่นั่นเอง
รูเลือดนั้นลึกมาก จนมองจากรูเลือดนั้นเห็นกระดูกหนา ๆ ด้วยตาเปล่าได้เลยทีเดียว
หลี่โม่เก็บนิ้วมือกลับ มองไอ้หัวล้านอย่างสัพยอก: “แกยังคิดจะสู้ต่ออีกมั้ย ? ถ้าคิดว่าสู้ฉันไม่ได้จริง ๆ จะรุมเข้ามาพร้อม ๆ กันเลยก็ได้นะ”
คนอื่น ๆ ที่รุมล้อมหลี่โม่อยู่ ต่างพากันตกตะลึงจนตาค้าง
หัวล้านคือคนที่เก่งที่สุดในหมู่มวลพวกมันแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะแพ้เร็วขนาดนี้ แถมยังแพ้ได้น่าสมเพชทุเรศนัยน์ตาสุด ๆ
พวกที่เหลือต่างหันมามองสบตากันไปมา รู้สึกประหวันพรั่นพรึงในใจเล็กน้อย ทั้งหมดค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ทำท่าพร้อมที่จะเผ่นหนีออกไปได้ตลอดเวลา
ไอ้หัวล้านจ้องมองหลี่โม่ด้วยสายตาโกรธแค้น แต่ในใจแตกตื่นลนลานไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตะโกนเสียงดังลั่นว่า : “พวกแก พวกแกทั้งหมดเข้ามารุมมันพร้อมกันเลยสิวะ! ถ้าพวกเรารุมมันพร้อมกันต้องจัดการมันได้แน่!”
แต่พวกที่เหลือไม่มีใครก้าวไปข้างหน้าแม้แต่คนเดียว พวกนี้ต่างใช้ชีวิตแบบเลียเลือดจากมีดหลังฆ่าคนมามาก * ( เป็นการเปรียบเทียบ คนที่ผ่านการต่อสู้ฆ่าฟันอย่างโชกโชนจนมีแต่เลือดเปื้อนมือ ) ทุกคนต่างก็เข้าใจดีว่าคนแบบไหนที่รับมือได้ และคนแบบไหนที่รับมือไม่ได้
เวลานี้ ในสายตาของพวกมัน หลีโม่จัดเป็นคนประเภทที่พวกมันรับมือไม่ได้นั่นเอง
ต่อให้ทั้งหมดเข้าไปรุมจนชนะหลี่โม่ได้จริง ก็น่ากลัวว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ฆ่าศัตรูหนึ่งพันสูญเสียแปดร้อย และด้วยสภาพที่อยู่กันบนภูเขา การได้รับบาดเจ็บนั้นมีความหมายว่าพวกมันอาจจะตายลงในเวลาไหนก็ได้
เมื่อเห็นว่าพวกลูกน้องไม่กล้าก้าวขึ้นมาข้างหน้า ไอ้หัวล้านก็มีอาการกล่องเสียงกระตุก ขาก็ค่อย ๆ ก้าวถอยห่างออกไปอย่างช้า ๆ
“คู่ต่อสู้ร้ายกาจเกินไป รีบเผ่นกันเถอะ!”
ไม่รู้ว่าใครชิงตะโกนขึ้นมาก่อน คนที่เหลือจึงพากันวิ่งหนีแตกกระจายไปคนละทิศละทางด้วยความตื่นตระหนก
หลี่โม่หัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า สะกิดปลายนิ้วเท้าเบา ๆ ไล่ตามไป แค่สูดหายใจสองสามเฮือก หลี่โม่ก็ไล่ตามพวกที่วิ่งหนีออกไปได้ทันแล้ว เขาเงื้อหมัดเคลื่อนเป็นวงกลมแล้วโจมตีออกไปตามหลังใส่พวกกลุ่มคนที่วิ่งกระเจิง
คนพวกนั้นวิ่งหนีกันไปอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ได้สังเกตเลยซักนิดว่า หลี่โม่ได้ไล่ตามมาจนถึงข้างหลังตัวเองแล้ว กระทั่งหมัดของหลี่โม่อัดกระแทกเข้าใส่กลางหลังของพวกมันทุกคน ถึงค่อยตกใจที่รู้ว่าตัวเองถูกหลี่โม่ไล่ตามมาจนทันแล้ว
ตอนที่การโจมตีของหลี่โม่ส่งผลกระเทือนถึงหัวใจของพวกมัน พลังงานมืดบนหมัดก็โคจรเข้าสู่เส้นเลือดในหัวใจ ใช้เวลาไม่นานหัวใจของพวกมันก็จะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้
พวกที่โดนหมัดของหลี่โม่เข้าไป ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรในร่างกาย ดังนั้นพวกมันจึงรีบเร่งฝีเท้าวิ่งหนีให้เร็วขึ้นอย่างสุดชีวิต
เมื่อเห็นลูกน้องวิ่งหนี ไอ้หัวล้านก็ไม่กล้าอยู่ต่อเหมือนกัน แต่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสที่มือ ส่งผลต่อความเร็วในการหลบหนีของมันอย่างมาก
เวลาคนเราวิ่ง จำเป็นต้องโบกแขนทั้งสองข้างสลับกันไปมาระหว่างวิ่ง แต่ในเวลานี้ไอ้หัวล้านไม่กล้าขยับมือเลย เพราะการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดอันแสนสาหัสได้แล้ว
แต่ถึงแม้มือทั้งสองจะเจ็บปวดกว่านี้ซักแค่ไหน ไอ้หัวล้านก็ทำได้เพียงอดทน แล้วรีบวิ่งหนีออกไปด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาดสุด ๆ
หลี่โม่หันไปมองไอ้หัวล้านที่วิ่งหนีไปด้วยท่าทางแปลก ๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้: “ฮ่า ๆ ๆ วิ่งช้าเป็นบ้าเลย ฉันจะไปจับแกล่ะนะ”
เมื่อกู้หยุนหลันได้ยินเสียงหัวเราะของหลี่โม่ ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วหันมองไปรอบ ๆ อย่างสับสนงุนงง
เมื่อเห็นว่านอกจากไอ้หัวล้านที่กำลังวิ่งหนีไป คนอื่น ๆ รอบ ๆ ต่างก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ในใจของกู้หยุนหลันจึงค่อยคลายการ์ดป้องกันลงได้ในที่สุด
“พวกที่เหลือล่ะ? โดนคุณซัดซะจนหนีกันไปหมดแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าถูกซัดจนหนีไป แต่ถูกทำให้กลัวจนหนีไปต่างหาก ได้เห็นไอ้หัวล้านนั่นในสภาพน่าอนาถซะขนาดนั้น ก็ไม่กล้าสู้กับฉันแล้วล่ะ เดี๋ยวพวกเราไปถามไอ้หัวล้านนั่นกันซักสองสามประโยคดีกว่า”
หลี่โม่เอื้อมมือไปโอบอุ้มที่ช่วงเอวของกู้หยุนหลัน ก้าวเท้าแผ่วเบาพริ้วไหวดุจสายลม พาตัวกู้หยุนหลันทะยานตามหลังไอ้หัวล้านไป แค่ไม่กี่ก้าวก็ตามได้ทันแล้ว
กู้หยุนหลันหันไปมองหลี่โม่ด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าหลี่โม่จะวิ่งได้เร็วขนาดนี้ แถมยังวิ่งเร็วมากทั้ง ๆ ที่อุ้มเธออยู่อีกด้วย
ด้วยความเร็วระดับนี้ หลี่โม่น่าจะไปแข่งกีฬาโอลิมปิก แล้วคว้าเหรียญทองในการวิ่งระยะสั้นได้เลยล่ะมั้งเนี่ย ? ไม่สิ ด้วยความเร็วขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าจะสร้างสถิติจนเป็นตำนานได้เลยหรอกเหรอ? กู้หยุนหลันอดคิดในใจไม่ได้
เมื่อเห็นเงาร่างคนวูบไหว หลี่โม่ก็อุ้มกู้หยุนหลันเข้าไปขวางตรงเส้นทางข้างหน้าที่ไอ้หัวล้านกำลังจะไปทันที
ไอ้หัวล้านมองดูหลี่โม่ที่ขวางอยู่ด้านหน้า ในใจก็เกิดความรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงขีดสุด คิดอยากต่อสู้อีกซักครั้ง แต่มือทั้งสองข้างนี้ก็ไม่สามารถยกขึ้นได้แล้ว ต่อให้มีขา แต่เมื่อไม่มีสองมือช่วยรักษาสมดุล วิชาฝ่าเท้าก็หมดโอกาสแสดงฤทธิ์เดชอยู่ดี
หลี่โม่มองไอ้หัวล้านด้วยสายตาอ่อนโยน: “ขอแค่แกตอบคำถามของฉันอย่างตรงไปตรงมา ฉันก็จะไม่ทำร้ายแก พวกแกเป็นพวกของไอ้พี่เสียนอะไรนั่นรึเปล่า?”
ไอ้หัวล้านสีหน้าสับสนยุ่งเหยิงไม่หยุด หลังจากลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่เป็นนาน ได้เห็นสีหน้าของหลี่โม่ที่ชักเริ่มไม่สบอารมณ์ ไอ้หัวล้านก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ใช่! พวกเราคือคนที่พี่เสียนส่งมา มีพวกของเราจากในหมู่บ้านรายงานมาว่า มีคนเข้ามาในภูเขาเพื่อจะมาทำลายงานของพี่เสียน พี่เสียนเลยส่งพวกเรามาจัดการมัน”
“แล้วสรุปว่าไอ้พี่เสียนนั่นกำลังทำอะไรอยู่บนภูเขากันแน่?” หลี่โม่ถามด้วยความสงสัย
“นี่… พวกพี่เสียนค้นพบยาอายุวัฒนะบนภูเขา เอ๊ย! ว่ากันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ฉันเองไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของมัน ถึงยังไงบนภูเขาก็มีแต่ของแปลก ๆ ทั้งนั้นอยู่แล้วนี่” ไอ้หัวล้านมองหลี่โม่ด้วยสีหน้าขมขื่น
หลี่โม่พยักหน้าแล้วพูดต่อไปว่า : “พี่เสียนนั่นมันอยู่ที่ไหน? แกพาฉันไปหามันหน่อยซิ”
“หา? เอ่อ…ก็…ก็ได้…”
ไอ้หัวล้านถึงกับตกตะลึงไปเฮือกหนึ่ง ในใจแอบรู้สึกโล่งอกขึ้นมา รู้สึกว่าหลี่โม่เป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่ขวัญกล้าไม่น้อย แค่ดูจากวิชาที่หลี่โม่ใช้เมื่อกี้ ก็มั่นใจได้เลยว่าจะต้องเป็นประเภทคนแค่คนเดียว เอาชนะศัตรูเป็นร้อยคนได้สบายแน่ ๆ
แต่ก็ดีเหมือนกันวะ พามันไปหาพี่เสียน พอดีเลยจะได้ให้พี่เสียนช่วยล้างแค้นแทน พี่เสียนมีปืนอยู่ ต่อให้ฝีมือดีแค่ไหนเจอปืนก็ยิงเข้าไปก็แม่งตายหมดแหล่ะวะ!
ไอ้หัวล้านคิดเรื่องที่จะได้แก้แค้นในใจ แต่บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มประจบสอพลอเต็มที่: “พี่เสียนกำลังตั้งแคมป์อยู่บนเนินเขาทางนั้น เดี๋ยวผมจะพาคุณไปเองครับ!”
ไอ้หัวล้านเดินนำหน้าไปสองก้าวเพื่อนำทาง หลี่โม่โอบกู้หยุนหลันเดินตามไปอย่างไม่เร่งรีบ
กู้หยุนหลันมองด้านหลังไอ้หัวล้าน พูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า: “ทำไมคุณถึงอยากไปเจอพี่เสียนอะไรนั่นเหรอ? คนพวกนี้เป็นคนร้ายฆ่าคนทั้งนั้นเลยนะ ยังไงพวกเราก็รีบกลับกันเถอะ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”
“ต่อให้เป็นฆาตกรฆ่าคนตายฉันก็ไม่กลัว พวกนั้นทำได้แค่กดขี่ข่มเหงคนธรรมดาแค่นั้นแหล่ะ ลองถ้าได้เจอฉัน พวกมันมีแต่ต้องคุกเข่าให้ฉันเท่านั้น!” หลี่โม่พูดอย่างเย่อหยิ่ง
กู้หยุนหลันกลอกตามองบนใส่หลี่โม่ด้วยท่าทางเปี่ยมเสน่ห์: “คุณร้ายกาจมากก็จริง แต่สองหมัดก็ยากที่จะเอาชนะสี่มือนะ ยังไงก็ระวังไว้ดีกว่า ถ้าคุณได้รับบาดเจ็บฉันจะต้องคอยดูแลคุณนะ”
“ถ้ามันทำให้คุณภรรยามาดูแลฉันได้ทุกวันล่ะก็ ต่อให้ต้องเจ็บตัวฉันก็ยินดีนะ คิด ๆ ดูแล้วก็ชักทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย ๆ ซะแล้วสิ”
“นี่คุณพูดเหลวไหลอะไรของคุณเนี่ย ? ฉันไม่อยากให้คุณได้รับบาดเจ็บหรอกนะ แข็งแรงสมบูรณ์ดีนี่ล่ะสำคัญที่สุด” กู้หยุนหลันกอดหลี่โม่แน่น ๆ ครั้งหนึ่ง
หลี่โม่กับกู้หยุนหลันยิ้มแย้มหวานชื่นกันเบา ๆ แต่สีหน้าของไอ้หัวล้านกลับแสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวเกินบรรยาย โดยเฉพาะที่แผลจะเจ็บปวดมากจนแทบทนไม่ไหว ทุกย่างก้าวที่เดินไป จะรู้สึกเจ็บปวดจนราวกับหัวใจถูกกรีดเฉือนเลยทีเดียว