พวกชาวบ้านที่ถูกหลี่โม่ตีจนได้รับบาดเจ็บ ต่างก็ชะโงกหัวเยี่ยม ๆ มอง ๆ เข้ามา ในตอนที่พวกเขาเห็นร่างของหลี่โม่ พวกชาวบ้านเหล่านั้นก็ถึงกับตัวสั่นงันงก
“แก! ทำไมแกถึงไม่เป็นไรเลยล่ะ ? ทำไมแกถึงออกจากภูเขามาได้? ไอ้ลิง แกไปบอกอะไรพวกนี้ใช่มั้ย ? แกบอกให้พวกนี้ไปที่ภูเขาลูกอื่นสินะ?”
หลี่โม่แค่นยิ้มเย็นชาพลางลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ประตูลานบ้าน: “ทำไม? พวกแกคิดว่าฉันจะออกจากภูเขาไม่ได้งั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าเมื่อกี้ฉันจะเบามือไปหน่อยใช่มั้ย ? พวกแกยังไม่รู้จักสำนึก ไม่คิดจะกลับตัวใหม่อย่างนั้นสินะ?”
พวกชาวบ้านหลายคนรีบถอยหลังไปอย่างลนลาน สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่…ไม่! ไม่ใช่! พี่ชายคุณเข้าใจผิด! คุณเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเห็นว่าคุณสบายดี พวกเราก็วางใจแล้ว”
“ใช่เลย ๆ ที่พวกเรามาก็เพราะเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายต่างหาก ในเมื่อพี่ชายไม่เป็นไร พวกเราก็ขอตัวก่อนล่ะนะ”
ชาวบ้านหลายคนพูดจบก็เตรียมเผ่น สาเหตุเพราะเมื่อกี้ถูกหลี่โม่ซ้อมจนมีสภาพชวนอเนจอนาถสุด ๆ มาตอนนี้พอได้เห็นหลี่โม่อีก จึงไม่มีความคิดต่อต้านใด ๆ ในสมองเลยแม้แต่น้อย
หลี่โม่แค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันให้พวกแกไปได้แล้วเหรอ? ฉันกำลังคิดว่าจะสอนบทเรียนดี ๆ ให้พวกแกอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าพวกแกจะเอาตัวเองมาส่งให้ถึงหน้าประตูแบบนี้นะเนี่ย!”
พวกชาวบ้านหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น
“พี่ชาย พวกเรา… พวกเราไตร่ตรองดีแล้ว พวกเราขอน้อมรับความผิด พวกเราทำเรื่องชั่วช้ากันทุกคน ขอพี่ชายโปรดยกโทษให้พวกเราด้วยเถอะ ถือซะว่าพวกเราเป็นแค่ตดเน่า ๆ ที่ต้องปล่อยไปให้พ้น ๆ ก็ได้”
“คือว่า…พวกเรายังมีของขวัญแทนคำขอโทษด้วย พวกเราเก็บยาสมุนไพรไว้เยอะมากเลย ทั้งหมดเป็นยาสมุนไพรที่งอกตามธรรมชาติในป่าบนภูเขา มีแต่ของคุณภาพดีที่สุดทั้งนั้น ขอมอบให้พี่ชายเป็นของขวัญแทนคำขอโทษละกัน”
ชาวบ้านพวกนั้นพากันขอร้องอ้อนวอนหลี่โม่ทีละคน ๆ ทุกคนต่างจ้องมองหลี่โม่อย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะเผลอทำอะไรให้หลี่โม่ไม่พอใจขึ้นมา
หลี่โม่จ้องมองชาวบ้านทั้งหลายด้วยสายตาเย็นชา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
สายตาที่เย็นชานั้น สร้างแรงกดดันให้กับพวกชาวบ้านเหล่านั้นไม่น้อย บนหน้าผากของแต่ละคนปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายออกมาไม่หยุด ลมเย็น ๆ บนภูเขาโชยพัด ทำให้พวกนั้นรู้สึกว่าหนาวเหน็บจนเกินบรรยายแล้วจริง ๆ
พวกชาวบ้านที่รู้สึกถึงความกดดันอันใหญ่หลวง เมื่อได้เห็นแววตาที่แสนเย็นชาของหลี่โม่ แต่ละคนก็รู้สึกว่า ตัวเองถูกทำให้ตกใจจนฉี่แทบจะราดออกมาอยู่แล้ว
“พี่ชายครับ! ที่บ้านผมยังมียาเก่าแก่ที่คนในครอบครัวเหลือทิ้งไว้ให้ ล้วนเป็นยาเก่าแก่ที่ใช้กันมานานนับสิบปีไปจนถึงร้อยปีทั้งนั้น ผมจะเอาออกมาเป็นของแทนคำขอโทษหมดเลยครับ!”
“ใช่เลย ๆ ยาเก่าแก่ของบ้านฉันก็จะเอาให้พี่ชายหมดเหมือนกัน พวกเรารู้ตัวแล้วว่าพวกเราทำผิดจริง ๆ ครั้งนี้พี่ชายโปรดละเว้นพวกเราซักครั้งเถอะนะ”
ชาวบ้านทั้งหลายพากันร้องขอความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่โม่โบกมืออย่างเย็นชา ปากก็พูดคำหนึ่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า: “ไสหัวไป!”
“โอ้ ! พวกเราจะรีบไสหัวกลับกันเดี๋ยวนี้แหล่ะ ไสหัวกลับเดี๋ยวนี้เลย!” ชาวบ้านทั้งหลายตอบรับไปพลาง ขาก็วิ่งหนีเผ่นแนบไปพลาง
รอจนเลี้ยวโค้งที่หัวมุมถนนจนมองไม่เห็นหลี่โม่อีกต่อไปแล้ว พวกชาวบ้านถึงค่อยหยุดวิ่ง แล้วหอบหายใจเอาลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ
“พ่อแก้วแม่แก้วเอ๊ย! แววตาของไอ้หมอนี่น่ากลัวฉิบหาย ตอนที่สายตานั่นมองมา เกือบทำกูตกใจจนหัวใจกระเด็นออกมาข้างนอกแล้ว!”
“เฮ้อ กูก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันว่ะ รู้สึกเหมือนกับว่าตามันเหมือนมีดที่เจาะเข้ามาในหัวใจกูตรง ๆ ได้ยังไงยังงั้นเลย”
“พวกมึงจะพูดพล่ามบ้าบออะไรกับมันนักวะ? เดี๋ยวกูจะโทรหาพี่เสียน เชิญให้พี่เสียนลงจากภูเขามาจัดการไอ้เด็กเวรนี่ซะ ยังไงจะยอมให้มันเอาเปรียบฟรี ๆ ยังงี้ไม่ได้หรอกโว้ย”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดพลางล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดเบอร์ของพี่เสียนโทรออกทันที
“ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด . …”
สายโทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย ชาวบ้านที่โทรไปถึงกับขมวดคิ้ว: “พี่เสียนไม่รับสาย บางทีเขาอาจจะกำลังยุ่ง ๆ อยู่ เดี๋ยวกูโทรหาพี่หัวล้านดีกว่า”
ชาวบ้านคนนั้นกดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีคนรับสายเหมือนเดิม
ในเวลานี้ พวกชาวบ้านต่างหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้ ต่างพากันแอบคาดเดาผลลัพธ์ที่ไม่ดีมาก ๆ อยู่ในใจ
“คงไม่ใช่ว่าพี่เสียนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ? ไอ้เด็กนั่นคงไม่…จัดการเก็บพี่เสียนไปแล้วหรอกใช่มั้ยวะ?”
“เชี่ยเอ๊ย! มันก็เป็นไปได้จริง ๆ นะโว้ย กู…กูไม่รอเชี่ยไรแล้ว กูจะกลับบ้านไปเอายาเก่าแก่มาชดใช้ความผิด คนแบบนี้หาเรื่องไม่ได้เด็ดขาด”
“รอกูด้วย! กูก็จะกลับไปเอายาเก่าแก่ที่บ้าน พวกมึงใครอยากไปหาพี่เสียนก็ไปหาเองเหอะวะ กูไม่ขอร่วมผสมโรงไปด้วยแล้ว!”
พวกชาวบ้านต่างกระจัดกระจายกันไปทีละคน ชาวบ้านที่โทรศัพท์เริ่มลังเล กระทืบเท้าอย่างดุเดือด แล้ววิ่งกลับไปที่บ้านตัวเอง
ในสถานการณ์ที่เจอคนแข็งแกร่งกว่า ยังไงรีบก้มหน้ายอมรับว่าผิดก่อนให้พอรอดตัวไปได้ค่อยว่ากันเถอะ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจเป็นไปตามการคาดเดา ถ้าหลี่โม่ฆ่าพี่เสียนไปแล้วจริง ๆ นั่นต้องไม่ใช่ระดับที่ชาวบ้านธรรมดาแค่ไม่กี่คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี่จะรับมือได้อย่างแน่นอน
พวกชาวบ้านรีบลนลานกลับบ้าน ทั้งหยิบทั้งฉวยบรรดายาที่เก็บไว้ในถุงใหญ่น้อยที่บ้าน ทั้งแบกทั้งอุ้มออกมาจากบ้าน แล้วรีบจ้ำอ้าวไปที่บ้านไอ้ลิงอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นาน ก็มีชาวบ้านหลายคนมาออกันอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของไอ้ลิงอีกครั้ง มีชาวบ้านคนหนึ่งทำใจกล้าเคาะประตูบ้านไอ้ลิง
ไอ้ลิงวิ่งไปเปิดประตู มองดูชาวบ้านหลายคนด้วยความประหลาดใจ “พวกแกจะทำอะไรกันอีกวะ? เจอให้บทเรียนเข้าไปยังไม่หนำใจกันอีกเรอะ?”
“พวกเราจะ… จะมาขอโทษต่างหาก เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าพวกเราไปทำให้พี่ชายที่มาจากในเมืองคนนั้นขุ่นเคืองใจหรอกเหรอ? แกสนิทกับเขา ช่วยพูดจาดี ๆ แทนพวกเราหน่อยสิวะ”
ไอ้ลิงยู่ปากพลางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันจะไปมีปัญญาคุยอะไรกับเขาได้วะ? เมื่อกี้พวกเขากินข้าวเสร็จก็ไปกันหมดแล้ว ไปรออยู่ที่ลานจอดรถตรงทางเข้าหมู่บ้าน เห็นบอกว่ากำลังรอคนอยู่ เดาว่าน่าจะรอพวกแกอยู่นั่นแหล่ะมั้ง?”
คำพูดของไอ้ลิง ถึงกับทำให้พวกชาวบ้านตะลึงจนตาค้าง ชาวบ้านหลายคนรีบขบคิดจนหัวหมุน พลางหันมองหน้ากัน ต่างก็ไม่เข้าใจในสถานการณ์นี้ซักเท่าไหร่
“สถานการณ์นี้มันคืออะไรกันวะ? จะบอกว่าไม่อยากได้ยาเราไปเป็นของขวัญขอโทษแล้ว ?หรือว่าไม่เห็นพวกเราในสายตาแต่แรกแล้ววะเนี่ย?”
“ไอ้ลิง แกบอกความจริงกับพวกเรามาซิ พี่ชายคนนั้นมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ? ให้พวกเราขอโทษ แต่ตอนนี้ดันไปซะแล้ว นี่กำลังหลอกปั่นหัวพวกเราเล่นอยู่รึไงวะ?”
ไอ้ลิงเกาหัวแกรก ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหลี่โม่หมายความว่ายังไง: “ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ ว่ะ แต่ฉันแนะนำให้พวกแกรีบไปที่ลานจอดรถดูหน่อยก็ดี ถ้าคนไปแล้วจริง ๆ ก็ถือว่าเรื่องนี้จบกันแค่นี้ แต่ถ้าคนยังไม่ไป พวกแกก็ไปขอโทษเขาอย่างรู้สำนึกจริง ๆ ซะเหอะวะ”
“ให้พวกเราวิ่งไปวิ่งมา จะหลอกให้เราเล่นละครลิงรึไงวะ แม่งเอ๊ย! พวกแกมีใครจะไปที่ลานจอดรถมั่งวะ?” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนถามอย่างหดหู่
“กูว่าพวกเราไปดูกันเถอะว่ะ ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน ก็กลัวเรื่องไม่คาดฝัน เผื่อไว้ก็ดีนะโว้ย”
“ใช่ ไปดูกันเถอะ ว่ากันว่ามีคนในเมืองเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่แน่ว่าบางที เขาอาจจะจงใจหลอกปั่นหัวพวกเรา แล้วถ้าพวกเราไม่ไป ก็อาจจะเจอโชคร้ายกว่านี้ก็ได้นะเว้ย”
พวกชาวบ้านรวมตัวกันบ่นพึมพำอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจไปดูที่ลานจอดรถพร้อมกัน
ในเวลานั้น พวกหลี่โม่กำลังคุยกันอยู่ในลานจอดรถ รอให้พวกชาวบ้านเหล่านั้นมาขอโทษ
หลี่โม่เพิ่งพูดจบไปประโยคหนึ่ง ก็เห็นชาวบ้านหลายคนมาปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณด้านนอกลานจอดรถ แล้วชะเง้อหน้ามองเข้ามาในลานจอดรถกันสลอน
หลี่โม่พูดอย่างร่าเริงว่า “พวกที่จะมาส่งของขวัญขอโทษมาถึงกันแล้วล่ะ พวกเราไปดูกันเถอะ”
หลี่โม่และกลุ่มของเขาทั้งสี่ เดินออกมาจากด้านหลังรถ พวกชาวบ้านต่างก็รีบยกข้าวของของตัวเองวิ่งเข้ามาหา
“พี่ชาย นี่คือของขวัญแทนคำขอโทษของพวกเรา นี่เป็นยาเก่า ส่วนนี่เป็นยาใหม่ที่เพิ่งเข้าไปเก็บมาจากภูเขาในปีนี้ พี่รีบมาดูเร็วเข้า”
หลี่โม่กวาดสายตามองของที่วางอยู่บนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ แล้วโบกมืออย่างไม่เป็นทางการ
“เอาเถอะ แค่สอนบทเรียนให้พวกแกซักบท วันหน้าจะได้รู้จักเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องในฐานะที่ได้เกิดมาเป็นคนกับเค้าซักครั้ง พวกแกกลับไปซะเถอะ”
“โอ้ !โอ้! ขอบคุณพี่ชายที่ใจกว้างนะครับ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ”
พวกชาวบ้านยิ้มแย้มเต็มใบหน้า โค้งตัวคำนับแล้วรีบเดินถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว