บทที่ 84 ไม่มีเหตุผล
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก!
เสียงรองเท้าส้นสูงของกู้หยุนหลัน มุ่งตรงเข้ามา สายตาเธอตกไปอยู่ที่หลินชิงหาน พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอโทษด้วยผู้จัดการหลิน ที่ต้องรบกวนคุณ ฉันมีเรื่องที่จะถามคุณสักหน่อย”
ตอนนี้หลินชิงหานวิตกกังวล สีหน้าซีดเซียว ทำไมคุณกู้ถึงได้กลับมากะทันหัน
ถ้างั้นคุณหลี่ก็คง…..
เมื่อหันกลับไป หลินชิงหานตกใจเมื่อค้นพบว่า ข้างหลังเธอไม่มีหลี่โม่อยู่อีกแล้ว นอกจากหน้าต่างที่ถูกเปิดออก และสายลมที่พัดเข้ามา ด้านหลังของเธอมีเพียงแค่ใบหน้าของเฉียวเจิ้งหลงและจิ่วสืออีร่างที่ไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น
กู้หยุนหลันถึงได้หมุนตัว หัวไปโค้งคำนับต่อจิ่วสืออีร่าง “อาจารย์”
จิ่วสืออีร่างได้สติกลับคืนมาจากความตกใจเมื่อสักครู่ พลันหันไปส่งยิ้มให้กับกู้หยุนหลัน
น่ากลัว!
ฝีมือระดับนี้จองคุณหลี่ น่ากลัวชะมัด!
ที่เป็นชั้นสามของอาคารดนตรีเชียวนะ!
เมื่อสักครู่เขากลับกระโดดลงไปซะอย่างนั้น แถมตอนนี้ยังยืนอยู่บนถนนอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น โบกมือส่งยิ้มให้กับเขา
เฉียวเจิ้งหลงกลืนน้ำลายลงคอ ความนับถือในใจ พุ่งทะลุสูงขึ้น!
อีกด้าน กู้หยุนหลันหันไปทางหลอนชิงหานด้วยความมุ่งมั่น “ผู้จัดการหลี่ จะบอกฉันได้หรือไม่ ว่าการ์ดนี่เป็นของใครกันแน่ แล้วการที่ได้เจอคุณจิ่วสืออีร่างเป็นการส่วนตัว ใครเป็นคนจัดการกันแน่ เป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า?”
คำถามนี้ ทำให้หลินชิงหานลำบากใจ
คุณหลี่ไม่ให้เปิดเผย
เธอไตร่ตรองสักครู ก่อนที่จะเอ่ยตอบ “คุณกู้ ทำไมคุณต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นใครกันแน่? หรือว่า ไม่ดีหรือไง ที่มีคนที่เสียสละเพื่อคุณอย่างเงียบๆ?”
คุณหลี่ดีต่อกู้หยุนหลันเหลือเกิน หลินชิงหานเริ่มรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
“ฉันแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ ฉันจะได้ตอบแทนเขา” กู้หยุนหลันกล่าว
หลินชิงหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องอภัยด้วยคุณกู้ ประวัติของฝ่ายตรงข้าม ฉันไม่สามารถเปิดเผยได้ นี่เป็นการให้ความปลอดภัยของประวัติส่วนตัว หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ เราบอกคุณไม่ได้ แต่ว่า ฉันสามารถบอกคุณกู้ได้ว่า คนนั้น อยู่ใกล้ตัวคุณ หวังว่าคุณกู้จะทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี”
จบคำ หลินชิงหานเรียกผู้รักษาประตูด้านนอกเข้ามา เพื่อเชิญกู้หยุนหลันและจินซ่านน่าออกไป
หลังออกจากVienna Concert Hall กู้หยุนหลันยังคงคิดไม่ตก
ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เธอยังคงไตร่ตรองในใจอยู่อย่างนั้น
โดยเฉพาะคำที่หลินชิงหานกล่าว อยู่ใกล้ตัวเธอ…..
นี่มันหมายความว่ายังไง?
หมายถึงหลี่โม่หรือเปล่า?
หลังกลับมาถึงบ้าน กู้หยุนหลันผลักประตูเข้าไปอย่างทนไม่ไหว ก็ได้พบกับหลี่โม่ที่นอนอยู่บนโซฟา พร้อมหลุมผ้าห่มบางๆ เอาไว้ที่ท่อนบน ด้วยไฟที่ยังสว่างอยู่
ภาพที่เห็น ทำให้กู้หยุนหลันเจ็บปวดใจ
หลี่โม่ลืมตาตื่นขึ้น จ้องมองไปที่กู้หยุนหลันที่กำลังเดินเข้ามา ก่อนที่จะส่งยิ้มให้กับเธอ “กลับมาแล้วหรือ? หิวไหม ในครัวยังมีอาหารอยู่ ผมจะไปอุ่นให้”
หลี่โม่กล่าว พลันเดินเข้าไปในครัว
กู้หยุนหลันกลับเดินเข้ามา จับแขนหลี่โม่เอาไว้ พร้อมหยิบการ์ดสีทองออกมาจากกระเป๋า “นี่คุณเป็นคนให้ฉันใช่ไหม?”
หลี่โม่นิ่งไป ก่อนที่จะยกยิ้ม ลูบไล้หน้าผากของกู้หยุนหลัน “ตัวไม่ร้อนใช่ไหม ทำไมถึงได้ถามแบบนี้ล่ะ ซู๋ไห่เทียนเป็นคนให้คุณไม่ใช่หรือ?”
กู้หยุนหลันโมโหขึ้นมา สายตาค่อยๆ นิ่งขรึม ปล่อยแขนของหลี่โม่ออก
นั่นสิ เธอคิดอะไรอยู่
จะเป็นหลี่โม่ไปได้ยังไง
กู้หยุนหลันกล่าวด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ “ไม่ต้องหรอก ฉันเหนื่อย ขอตังพักผ่อนก่อน”
หลี่โม่จับจ้องแผ่นหลังของกู้หยุนหลัน ถอนหายใจออกมาอย่างไร้หนทาง
หยุนหลัน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอกคุณ เพียงแต่ ผมเองก็มีความจำเป็น
สำนักหลงเหมิน มีปัญหาทั้งภายนอกและภายใน ผมไม่อยากลากคุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายนี้
รอผมมีกำลังมากพอที่จะปกป้องคุณซีซีเมื่อไหร่ ผมจะบอกคุณทุกอย่าง
วันต่อมา หวังฟางนั่งอยู่ในห้องรับแขก กำลังหารือเรื่องการดูตัวของกู้หยุนหลันกับกู้เจี้ยนหมิน
บนโต๊ะน้ำชา เธอวางรูปภาพของฝ่ายตรงข้ามมากมาย ต่างก็เป็นหนุ่มหน้าตาดีมีฐานะของเมืองฮ่าน
“เฮ้อ เหล่ากู้ ดูพวกนี้สิ หน้าตาใช้ได้ สถานะที่บ้านก็ดี ความสามารถส่วนตัวเองก็ใช้ได้”
“แล้วก็นี่ ไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้า หยุนหลันเองก็ไม่ต้องมีปัญหากับแม่ยายด้วย”
“แกลองว่ามาสิ ลูกสาวเราใสซื่อเกินไปรึเปล่า ไม่มีเงินไม่มีสถานะตำแหน่ง หากไม่ใช่เพราะมัน หยุนหลันของเราจะลำบากเหมือนอย่างทุกวันนี้ไหม”
“ฉันว่านะ เราหาทางให้หยุนหลันหย่ากับไอ้ไร้ประโยชน์นั่นซะ!”
หวังฟางบ่นแต่เช้าไม่หยุด ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จึงด่าทอหลี่โม่อยู่อย่างนั้น
กู้เจี้ยนหมินที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ สวมใส่สายตายาว กล่าวตอบอย่างไร้หนทาง “ผมว่านะ คุณเลิกคิดมากได้แล้ว หยุนหลันโตขนาดนี้แล้ว เธอจะให้เขาหย่ากับหลี่โม่ให้ได้ทำไม? เธอยังมีลูกเล็กๆด้วยคนหนึ่ง หากหย่าขึ้นมา ใครจะยอมรับเธอ?”
“จะไม่มีคนยอมรับได้ยังไง หยุนหลันของเราดีออกจะตายไป คนที่รุมจีบเธอเยอะแยะไป คุณไม่เห็นนายซู๋ไห่เทียนพยายามมากแค่ไหนหรือไง? ส่วนเด็ก ก็ยกให้หลี่โม่ไป ฉันไม่ยอมรับไอ้เด็กเหลือขอนั่นเป็นหลานสาวฉันหรอก”
หวังฟางระเบิดความโมโห หันกลับไปด่ากราด “กู้เจี้ยนหมิน ยังไงของคุณ? เรื่องของลูกสาวตัวเองไม่สนใจ คุณเป็นพ่อยังไงกัน? ฉันต้องตาบอดแน่ ถึงได้แต่งงานกับคุณ คุณดูสิ ตั้งหลายปีแล้ว ฉันไม่ใช่สุขสบายเลยในตระกูลกู้ของคุณ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบ้าน ฉันต้องจัดการเองทั้งหมด วันๆ คุณก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับของสะสมของคุณ มันจะได้ราคาสักเท่าไหร่กันเชียว?”
หวังฟางโกรธจัด ถลึงตาใส่กู้เจี้ยนหมิน
กู้เจี้ยนหมินไร้หนทาง เขาอ่านหนังสือพิมพ์ พลางถอนหายใจออกมา “โอเคโอเค ผมเชื่อคุณทุกอย่าง พอได้หรือยัง คุณว่าอะไรก็ถูกทั้งนั้น บ้านนี้คุณเป็นใหญ่”
หวังฟางจึงได้พึงพอใจ เธอไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนเอ่ย “ฉันจะโทรหาซู๋ไห่เทียน เขาไม่ได้มาที่บ้านของเราหลายวันแล้ว”
กู้เจี้ยนหมินไร้คำพูด พลันจับจ้องไปที่หวังฟางพร้อมส่ายหน้า
ในเวลานี้เอง หลี่โม่ถือของในมือ ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับกู้หยุนหลัน
“แม่คะ เรากลับมาแล้ว” กู้หยุนหลันเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงไปที่ห้างสรรพสินค้า ซื้อของกลับมาที่บ้าน
อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของกู้เจี้ยนหมิน พวกเขาออกไปดูร้านอาหารเอาไว้แล้ว
“แม่ครับ พ่อครับ” หลี่โม่ขานเรียก พร้อมกระเป๋าน้อยใหญ่ในมือ
หากแต่ เมื่อหวังฟางเห็นหลี่โม่ ก็เกิดความโมโหขึ้นมา จึงด่ากราด “อย่าเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่มีลูกเขยอย่างแก แค่เห็นหน้าก็โมโหขึ้นมาเลย ทำไมแกไม่ไปตายซะ”
ไร้เหตุผลสิ้นดี
หลี่โม่และกู้หยุนหลันมองหน้ากัน อย่างไร้หนทาง แต่เช้าเลย คุณแม่ทานระเบิดเข้าไปใช่ไหม?
หวังฟางถลึงตาโต คำรามใส่หลี่โม่ด้วยความโกรธจัด “หลี่โม่ หากแกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ละก็ ต่อจากนี้ก็อย่าได้มาเหยียบบ้านเราแม้แต่ก้าวเดียว ฉันหวังฟางไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับแก ตระกูลกู้ของเราไม่ต้อนรับคนไม่เอาไหนอย่างแก ฉันจะให้แกกับหยุนหลัน วันนี้ช่วงบ่ายไปหย่ากันซะ!”