บทที่ 14 ฉันรู้จักเธอ
เฉินฮั่นหลงขับรถยนต์ไปมหาลัยกู่เจียงทันที
ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็ถึงหน้าประตูของมหาลัยกู่เจียง ในเวลานี้หน้ามหาลัยกู่เจียงเต็มไปด้วยผู้คนถนนป้ายโฆษณาใหญ่ ๆ เต็มไปหมดและยังมีนักข่าวปะปนอยู่กับกลุ่มผู้คน
“คุณท่าน เดี๋ยวผมลงไปดูก่อนนะครับ” เฉินฮั่นหลงลงไปไม่นานก็วิ่งกลับมา
“คุณท่านวันนี้เป็นวันครบรอบของมหาลัยกู่เจียง หน้ามหาลัยคุมเข้มรถไม่สามารถเข้าไปได้ ได้ยินมาว่ามีดาราชื่อถางโร้วจะมาที่นี่ แสดงว่าคนพวกนี้ทั้งหมดเป็นแฟนคลับของเธอ….”
“ฉันรู้จักเธอดี” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นเบา ๆ สายตามองลอดผ่านหน้าต่างรถออกไป มีแฟนคลับคนหนึ่งถือรูปภาพใหญ่ในรูปคือสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง
“หะ!” เฉินฮั่นหลงเกือบสำลักน้ำลายตัวเองเขานึกไม่ถึงว่าฉู่ชวิ๋นจะรู้จักถางโร้วภายในใจก็แอบดีใจที่ต่อหน้า ฉู่ชวิ๋นเขายังรักษาความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้ไม่อย่างนั้นด้วยความขี้เล่นของเขาต้องพูดจากลวนลามเธอออกมาแน่ ๆ
“พวกเราเดินเข้าไปกันเถอะ!” หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นลงจากรถทั้งสองคนก็เดินแหวกผู้คนเข้าไป มหาลัยกู่เจียงมีประวัติความเป็นมานานร้อยปี ทุกที่เผยให้เห็นมรดกทางวัฒนธรรม
ฉู่ชวิ๋นเคยเรียนอยู่ที่มหาลัยนี้เพราะฉะนั้นเขาถึงคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เมื่อเดินผ่านถนนเส้นหนึ่งเขาก็ได้พบเห็นคนคุ้นหน้าหลายต่อหลายคนพวกเขาคือครูที่เคยรู้จัก มองไปรอบ ๆ ใบหน้าของฉู่ชวิ๋นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป ที่ผ่านมาเขาก็เคยใช้ชีวิตในนี้โดยไม่มีความกังวลใด ๆ เพียงแต่ทุกอย่างไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ในตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว
“ถางโร้วมาแล้ว!”
“ถางโร้วมาถึงห้องโถงแล้วทุกคนรีบไป” นักศึกษาวิ่งไปทางห้องโถงอย่างเร่งรีบพร้อมกับพูดขึ้น
“พวกเราไปดูกันเถอะ”
ผู้หญิงที่คอยเดินตามหลังเขาแล้วตะโกนเรียกเขาว่าพี่ฉู่ชวิ๋นตอนนี้กลายเป็นดาราดังไปแล้ว ฉู่ชวิ๋นรู้สึกดีใจมาก
ฉู่ชวิ๋นและเฉินฮั่นหลงถึงห้องโถงที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้วทั้งสองคนได้แต่มองจากที่ไกล ๆ
“ดู ๆ นั่นถางโร้ว”
“สวยมาก!”
“ถางโร้วพวกเรารักคุณ” เสียงตะโกนร้องดังกระหึ่ม
ฉู่ชวิ๋นมองไปที่หญิงสาวที่ยื่นสงบนิ่งอยู่บนเวทีด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เฉินฮั่นหลงเห็นรอยยิ้มของฉูชวิ้นในใจหยุดคิดไม่ได้ว่าถางโร้วคนนี้ต้องเป็นคนพิเศษของฉู่ชวิ๋นแน่ ๆ จากการคาดเดาของเฉินฮั่นหลง ทำให้เขาคิดว่าหลังจากนี้ต้องคอยดูแลถางโร้วคนนี้เป็นพิเศษแล้ว
“สวัสดีทุกคน! ฉันคือถางโร้วนับเป็นรุ่นพี่ของทุกคนนะ” เสียงหวานหวานของถางโร้วดังขึ้นถึงแม้คำพูดจะถูกกลบไปด้วยเสียงเชียร์ก็ตาม
“ชู่!” ถางโร้วยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก ผลลัพธ์คือเสียงผู้คนที่อยู่ในห้องโถงทั้งหมดก็เงียบลง
“วันนี้เป็นวันครบรอบของมหาลัยเป็นเกียรติอย่างมากที่ฉันได้รับคำเชิญ ให้มาที่นี่ ต่อไปนี้ฉันมีเพลงที่อยากจะมอบให้ทุกคน ลมที่พัดเสียงระฆังขาดสาย หวังว่าทุกคนจะชอบมันนะ” ดนตรีเริ่มขึ้น เสียงขับร้องก็ดังตาม
คุณเคาะระฆังต่อหน้าฉัน
ลมโชยพัดผ่านเสียงระฆังดังขึ้น
คุณบอกว่ามันเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิที่บอกฉันเกี่ยวกับมัน
แต่ฉันกลับรับรู้ถึงกลิ่นของความรัก
หลังจากที่คุณแยกห่างเสียงระฆังก็ขาดหาย
รสชาตินั้นก็หายจากคุณไป
เมื่อเพลงจบลงเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างสนั่น “ไพเราะจริง ๆ!” เฉินฮั่นหลงปรบมือจนมือแดงไปหมด
“ลุงคนนี้ก็เป็นแฟนคลับถางโร้วเหรอ?” ผู้หญิงคนข้างหน้าถามขึ้น
เฉินฮั่นหลงเขินเล็กน้อยแล้วรีบพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อฉันได้ฟังเพลงของถางโร้ว…….ครั้งแรกฉันก็กลายเป็นแฟนคลับของเธอในทันทีเลยละ”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ สนใจจะเข้าร่วมกลุ่มแฟนคลับไหม?” หญิงสาวถาม
“กลุ่มแฟนคลับอะไร” เฉินฮั่นหลงถามอย่างสงสัย
“คุณลุงทำไมโง่อย่างนี้ละ แน่นอนว่าต้องเป็นสโมสรแฟนคลับของถางโร้ว ฉันเป็นรองประธานกลุ่มเชียวนะ ถึงแม้คุณจะอายุเยอะแล้วแต่ถ้าฉันรับรองให้ คุณก็สามารถเข้ากลุ่มได้แน่นอน”
“ฉัน….”
“ชู่! ฟังเพลงก่อนเรื่องคุณเข้ากลุ่มไว้ค่อยคุยทีหลัง” หญิงสาวตัดบทพูดและมองไปที่เวทีเพื่อฟังเพลงที่สอง
เฉินฮั่นหลงมุมปากกระตุกแล้วมองไปที่ฉู่ชวิ๋น เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นยิ้มเบา ๆ ก็เหมือนว่าฉู่ชวิ๋นจะรู้ทุกอย่างอยู่แล้วเขาก็เลยได้แต่หันกลับไปอย่างเขิน ๆ ถางโร้วร้องติดต่อกันสามเพลงแล้วบอกอำลาแฟนคลับและกลับเข้าไปในห้องพัก!
“คุณท่านต้องการพบถางโร้วไหม? ผมจัดการให้ได้!” เฉินฮั่นหลงพูด ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย! ยากที่จะเจอคนคุ้นเคย แน่นอนเขาต้องเจอให้ได้
ถางโร้วพึ่งกลับถึงห้องพัก ก็มีวัยรุ่นที่สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมในมือถือดอกไม้เดินเข้ามา เจิ้งกันลูกชายของบริษัทเจิ้งกัน วัยรุ่นเงินหนาที่ชื่นชอบถางโร้วมานาน
“นี่เป็นห้องพักของถางโร้ว ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา” ผู้จัดการของถางโร้วหันไปพูดกับพนักงานด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณหลิวซิน ไม่ต้องโทษพวกเขาหรอก คุณก็รู้ในเมืองกู่เจียงไม่มีที่ที่ผมเข้าไปไม่ได้” เจิ้งกันพูดเหมือนจะอธิบายแต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย หลิวซินมีท่าทีโกรธนิดหน่อย แต่ต้องควบคุมความโกรธนี้เอาไว้ เธอรู้ว่าอำนาจตัวเองสู้เจิ้งกันไม่ได้
“ถางโร้วนี่ผมมอบให้คุณ! วันนี้ตอนค่ำเป็นงานเลี้ยงของบริษัทเจิ้งกันพอดี พ่อแม่ของคุณก็เข้าร่วมงานด้วย ฉันจึงอยากเชิญคุณเข้าร่วมด้วยเช่นกัน” เจิ้งกันยิ้มเล็กน้อยแล้วยื่นดอกไม้ที่อยู่ในมือให้
ถางโร้วขมวดคิ้ว พ่อแม่ของเธอก็ทำงานในบริษัทเจิ้งกัน แล้วเจิ้งกันคนนี้ก็คอยตามรังคว้านเธอโดยใช้พ่อแม่เป็นข้ออ้างในการขู่บังคับเธอมาโดยตลอด
“ขอโทษด้วยอีกสักครู่ฉันยังมีธุระต้องรีบไปทำต่อ” ถางโร้วไม่รับดอกไม้และปฏิเสธทันที ในใจครวญคิดว่าจะให้พ่อแม่ลาออกจากงานเพราะตอนนี้เงินที่เธอหาได้ไม่จำเป็นที่พ่อแม่ต้องลำบากทำงานอีกแล้ว
เจิ้งกันหน้าหงอย “คุณถางโร้วต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่ปฏิเสธผมล่ะ?”
“ฉันบอกแล้วไงว่ามีธุระที่ต้องรีบไปทำ”
“มีธุระต้องรีบไปทำจริง ๆ หรือว่าเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปฏิเสธคำเชิญของผม ในใจเราต่างรู้ดี ในขณะที่คุณถางโร้วยุ่งอยู่กับงานตัวเองก็ควรต้องห่วงใยต่อพ่อแม่บ้างรึเปล่า?” เจิ้งกันพูดอย่างเย็นชา
“ไร้ยางอาย!” ใบหน้าอันนิ่งเฉยของถางโร้วเริ่มแสดงความโกรธออกมา
“คุณถางโร้ว คุณเป็นดารานะระวังพฤติกรรมหน่อย!” เจิ้งกันไม่เพียงแต่ไม่โกรธซ้ำยังหัวเราะขึ้นมา “ลืมพูดกับคุณไปเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ข้อมูลลับของบริษัทเจิ้งกันของพวกเรามีการรั่วไหล ผมสงสัยว่าพ่อแม่คุณจะมีส่วนเกี่ยวข้อง….” ทันใดนั้นใบหน้าถางโร้วเริ่มแดง จ้องมองเจิ้งกันอย่างโมโห คนคนนี้หน้าไม่อายจริง ๆ เอาพ่อแม่ของเธอมาขู่บังคับ
“คุณถางโร้วไม่ต้องโมโหไป! ตอนนี้เป็นเพียงข้อสงสัย คนปล่อยข้อมูลอาจไม่ใช่พ่อแม่ของคุณก็ได้ แต่ต้องดูว่าคุณจะปฏิบัติตัวยังไงก่อนนะ” นี่คือการข่มขู่ของเจิ้งกันไม่ว่าใครก็ฟังออก เขาตื้อถางโร้วมานานแล้ว แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์จึงไม่ได้ใช้เล่ห์กลแต่ตอนนี้เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว
“คุณน่ารังเกียจจริง ๆ หน้าไม่อาย ถ้าหากคุณกล้าทำอะไรพ่อแม่ฉัน ฉันจะไม่ปล่อยคุณไว้แน่” ถางโร้วที่นิสัยเงียบขรึมอ่อนโยนในตอนนี้ก็เหมือนแมวน้อยที่โดนยั่วโมโห เธอจ้องมองเจิ้งกันด้วยความโกรธแค้น แต่ว่าความโกรธของถางโร้วไม่มีผลทำให้เขาเจ็บใจได้แต่มันทำให้เขาเผยธาตุแท้ออกมา
“ถางโร้ว คุณคิดว่าคุณเป็นดาราอะไรนั่นจริงเหรอ? ในสายตาของนายน้อยคนนี้คุณก็เป็นได้แค่เครื่องบำเรอกามเท่านั้นแหละ แค่ผมชอบคุณก็เป็นเกียรติของคุณแล้ว อย่าทำเป็นหยิ่งอยู่เลย วันนี้คำพูดพวกนี้ผมจะพูดทิ้งไว้ที่นี่ ถ้าหากคืนนี้คุณยอมมาอยู่ข้าง ๆ ผม ผมจะคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นครอบครัวของคุณ อย่าคิดว่าจะอยู่เป็นสุขเลย!” คำพูดพวกนี้ฉู่ชวิ๋นและเฉินฮั่นหลงได้ยินเข้าพอดี ดวงตาของฉู่ชวิ๋นหรี่ลงเล็กน้อยแต่ฉู่ชวิ๋นยังไม่ทันได้ทำอะไร….
เฉินฮั่นหลงก็เข้าไปซัดอีกฝ่ายด้วยจิตใจที่ลุกเป็นไฟ เขาคิดในใจว่านี่มันเหมือนกับ*การง่วงนอนแล้วจู่ ๆ ก็มีคนยื่นหมอนมาให้ เขากำลังครุ่นคิดอยู่เลยว่าจะดูแลถางโร้วยังไงเพื่อให้ฉู่ชวิ๋นประทับใจ แล้วตอนนี้ก็มีคนยื่นโอกาสให้แล้ว
*สำนวนแปลว่า แค่คิดจะทำอะไรอีกฝ่ายก็ทำให้แล้วโดยไม่ต้องบอก
‘ขอบคุณพระเจ้า’ เฉินฮั่นหลงแอบคิดในใจ หลังจากนั้นก็เข้าไปชกเจิ้งกันอย่างแรง
เจิ้งกันที่กำลังได้ใจว่าจะได้ครอบครองถางโร้วแล้วสุดท้ายก็โดนเฉินฮั่นหลงชกกระเด็นไปชนกับโต๊ะเครื่องสำอาง โศกนาฏกรรมคือหัวฟาดเข้ากับกระจกของโต๊ะเครื่องสำอางแตกกระจาย
“เพล้ง!”
เศษกระจกที่แตกและกระปุกขวดเครื่องสำอางตกร่วงลงพื้น
เจิ้งกันโดนแรงกระแทกทำให้ตาพร่ามัวเมื่อเขาลูบหัวแล้วดูมือตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดเขายังไม่ทันได้ส่งเสียงเฉินฮั่นหลงก็กระชากผมเขาเข้ามา
“เพียะ ป้าบ เพียะ ป้าบ”
เขาโดนตบไปสิบกว่าครั้ง!
ที่เขาโดนตบไปสิบกว่าครั้งนี้เฉินฮั่นหลงออกแรงเต็มที่จนทำให้ใบหน้าของเจิ้งกันบวมเหมือนกับหัวหมูเลยทีเดียว ปากแตกเลือดออกไม่หยุด
สักพักเฉินฮั่นหลงก็ปล่อยมือเจิ้งกันให้นอนกองบนพื้น ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกคนในห้องนั้นบื้อทื่อไปหมด เจิ้งกันคนที่อวดเก่งเมื่อกี้ถูกคนทุบตีซะน่วมในพริบตาเดียว