บทที่ 16 ล่อเหยื่อเท่านั้นเอง
เวลานี้ในลานเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังสุดของมหาลัย มีชายชราผมขาวกำลังรดน้ำต้นไม้อย่างเชื่องช้าอยู่ ผู้ชายวัยกลางคนที่ใส่รองเท้าหนังสีม่วงสี่คนกำลังหยุดยื่นโค้งคำนับด้วยความเคารพอยู่ด้านข้างเขา
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของผู้ชายวัยกลางคนที่ยื่นอยู่ด้านซ้ายสุดก็ดังขึ้น เขาคือเจิ้งก่วงอี้
เจิ้งก่วงอี้มองชื่อที่ปรากฏบนโทรศัพท์หลังจากนั้นก็โค้งตัวให้ชายชรา “อาจารย์ครับ ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
“ไปเถอะ!” ชายชราพูดออกมาโดยไม่ได้เงยหน้ามอง หลังจากนั้นก็พูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกเธอก็ไปทำงานต่อเถอะ! วันนี้คือวันสถาปนาของมหาลัย พวกเธอกลับมาเยี่ยมเยียนฉันได้ก็นับว่าดีแล้ว ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนชายชราคนนี้ให้เสียเวลาหรอก”
“อาจารย์ งั้นพวกเรากลับก่อนนะครับมีเวลาพวกเราจะกลับมาเยี่ยมท่านอีกครั้ง!” ผู้ชายวัยกลางที่พูดออกมานั้นเป็นคนมีวิชาความรู้ถ้าหากว่าเฉินฮั่นหลงอยู่ที่นี่แน่นอนเฉินฮั่นหลงต้องรู้จักเขา เขาก็คือหลี่เทียนที่เคยมีเรื่องกับฉู่ชวิ๋นในตอนประมูลนั้นเอง
ชายชราที่อยู่ตรงหน้านี้คืออาจารย์ของพวกเขา พวกเขาสี่คนล้วนจบมาจากมหาลัยกู่เจียง ตอนนี้ก็ล้วนประสบความสำเร็จกันหมดแล้ว ผู้ชายวัยกลางคนทั้งสี่หันไปโค้งคำนับให้ชายชราหลังจากนั้นก็เดินออกมา
หลังจากที่เดินออกมาจากลานแล้ว เจิ้งก่วงอี้ถึงจะรับโทรศัพท์ พอรับโทรศัพท์ได้ไม่นาน สีหน้าของเจิ้นก้วงอี้ก็เปลี่ยนสี
“เจิ้ง นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” หลี่เทียนถามด้วยความอยากรู้
“บ้าที่สุด” เจิ้งก่วงอี้สบถด่าออกมา “ลูกฉันถูกคนทำร้ายอยู่ในมหาลัย” เจิ้งก่วงอี้มีผู้หญิงเก็บเยอะมากแต่มีลูกชายแค่คนเดียวคือเจิ้งกัน เขารักลูกชายยิ่งกว่าไข่ในหิน แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาโทรมาร้องไห้ขอให้เขาไปช่วย เขาจะไม่โมโหได้ไง?
“ใครกันที่กล้าทำถึงขนาดนี้?” หลี่เทียนถามออกมาแม้เขาจะพอรู้มาบ้างว่า พ่อลูกคู่นี้มีนิสัยไม่ดี เมื่อก่อนตอนที่เจิ้งกันยังเรียนอยู่ในมหาลัยเขาไม่รู้ว่าเจิ้งกันทำให้ผู้หญิงเสียคนมากี่คนแล้ว แต่เพราะว่าอำนาจของตระกูลเจิ้ง สุดท้ายเรื่องพวกนี้ก็ถูกปกปิดเอาไว้ ตอนนี้เจิ้งกันถูกทำร้ายอยู่ในมหาลัย ใครกันที่กล้าทำแบบนี้?
“ไม่รู้! ฉันต้องรีบไปดูก่อน!”
“งั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ! ถึงยังไงเจ้าเจิ้งกันก็เป็นเด็กที่พวกเราเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต จะให้เขาถูกรังแกก็คงไม่ได้หรอกนะ?” คนที่พูดก็คือเจียวหลิวย่ง เขาเองก็เป็นประธานบริษัทใหญ่เหมือนกัน เจิ้งก่วงอี้ไม่ปฏิเสธ ทั้งสี่คนรีบเดินไปยังห้องพักทันที
หลังจากที่เจิ้งกันคุยโทรศัพท์เสร็จก็เลือกที่จะเงียบปาก เขารู้ว่าถ้าส่งเสียงออกมาจะต้องถูกทำร้ายแน่นอน! แต่สายตาที่ดุร้ายของเขานั่นกลับปิดบังไว้ไม่อยู่ เฉินฮั่นหลงมองดูอยู่ตลอดเวลา
“ทางที่ดีแกภาวนาให้พ่อแกรีบมาหน่อยดีกว่า ไม่อย่างนั้นแกพิการแน่!” เจิ้งกันไม่สบายใจ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือคนบ้า ถ้าหากพ่อของเขามาไม่ทันในครึ่งชั่วโมง ฝ่ายตรงข้ามหักขาของเขาแน่ ๆ
เรื่องที่น่ายินดีก็คือแค่ผ่านไปแค่สิบนาที เจิ้งก่วงอี้ก็พุ่งเข้ามาอย่างโมโห เมื่อเจิ้งก่วงอี้เห็นสภาพที่น่าเวทนาของเจิ้งกันดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
“พ่อ พ่อมาแล้ว ถ้าพ่อมาช้ากว่านี้ ผมคงถูกซ้อมจนตายแน่ ๆ” เจิ้งกันทำได้แค่ร้องไห้ฟ้องพ่อของเขา
“พ่อ พ่อรีบให้คนมาจับไอ้พวกเศษขยะพวกนี้ที ผมจะเอาพวกมันไปสับเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาเนื้อไปเลี้ยงหมา!”
“ปัง!”
เฉินฮั่นหลงไม่พูดอะไรแต่เขาใช้เท้าเหยียบบนหน้าเจิ้งกันทันที
“ระวังคำพูดหน่อย ปากหมาขนาดนี้เกรงว่าคนที่ต้องตายคงเป็นแกแล้ว!” เจิ้งกวงอี้โกรธมาก เขามาแล้วแต่ฝ่ายตรงข้ามยังกล้าลงมือโดยไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เฉินฮั่นหลงอยู่ในท่าทางหันหลังให้เจิ้งกวงอี้ ดังนั้นเจิ้งกวงอี้เลยไม่รู้ว่าคนที่ลงมือเป็นใคร?
“แกรนหาที่ตายนักนะ!?” เจิ้งก่วงอี้ตะโกนออกมาด้วยความโมโห ในจิตใจอยากฆ่าอีกฝ่ายให้ตายทันทีเขาไม่สนว่ามันเป็นใครแต่กล้ามาทำร้ายลูกชายของเขาแบบนี้มันต้องตาย!!
“ประธานเจิ้ง ท่าทางน่าเกรงขามเหลือเกินนะ” เฉินฮั่นหลงหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่เย็นชา
หลังจากที่เจิ้งก่วงอี้เห็นเฉินฮั่นหลง เขาก็มึนงงไปชั่วขณะ สักพักก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม “เฉินฮั่นหลง แกรู้ไหมว่าแกกำลังทำร้ายใคร?”
“รู้สิ! ไม่ใช่ว่าเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของแกหรือไง” เฉินฮั่นหลงพูดอย่างไม่เกรงใจเจิ้งก่วงอี้
“ได้ ๆ!” เจิ้งก่วงอี้โมโหมากแต่กลับยิ้มและชี้ไปที่เฉินฮั่นหลงพร้อมพูดว่า “อย่าคิดว่าแกมีกลุ่มเหยี่ยวมังกรอะไรนั่นแล้วจะยิ่งใหญ่เหนือใคร คนอื่นอาจกลัวแก แต่ฉันเจิ้งก่วงอี้คนนี้ไม่ได้กลัวแกเลย!!”
“ประธานเจิ้งมีความสามารถอะไรก็ลงมือได้เต็มที่ไม่ต้องมาเล่นลิ้น!!!” เฉินฮั่นหลงไม่แยแส ตามศักยภาพแล้วเขาอาจสู้เจิ้งก่วงอี้ไม่ได้จริง ๆ แต่ตอนนี้เขามีฉู่ชวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา งั้นเขายังมีอะไรที่ต้องกลัวอีกล่ะ?
เจิ้งก่วงอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เฉินฮั่นหลงก่อนหน้านั้นยังไม่กล้าอวดดีขนาดนี้ ใครกันแน่ที่ทำให้มันกล้าขนาดนี้
“ประธานเฉิน ทุกคนล้วนเป็นนักธุรกิจ สนิทกลมเกลียวกันถึงจะเพิ่มทรัพย์สินเงินทองได้ คุณทำแบบนี้เสียสติไปแล้วใช่ไหม?” หลิวย่งช่วยพูดขึ้นอีกแรง
“เฉินฮั่นหลง ตามอายุแล้วพวกเราก็ล้วนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว สั่งสอนเด็กก็ควรจะมีขอบเขตกันหน่อย แม้ว่าเจ้าเจิ้งกันจะทำอะไรล่วงเกินคุณไปแต่ คุณก็บอกพี่ก้วงอี้เขาสิ ทุกคนนั่งลงแล้วคุยกันอย่างใจเย็น ๆ ดีไหม? ทำไมต้องโวยวายกันขนาดนี้ล่ะ?” ผู้ชายวัยกลางคนอีกคนก็ออกมาพูด
ใบหน้าของเจิ้งก่วงอี้อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มออกมา หลิวย่งและพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน แค่เขาคนเดียวอาจยากที่จะจัดการกับเฉินฮั่นหลง ถ้าตระกูลพวกเขารวมกลุ่มกันล่ะ? พอถึงตอนนั้นก็อย่าว่าแต่เฉินฮั่นหลงเลย เมืองกู่เจียงนอกจากตระกูลเก่าแก่พวกนั้นแล้ว อำนาจอิทธิพลที่เหลืออื่น ๆ ล้วนแต่ต้องถอยให้!!
“เฉินฮั่นหลง วันนี้ถ้าแกไม่อธิบายให้ฉันฟัง ก็อย่าถือโทษโกรธฉันเลยนะฉันจะถามแกอีกครั้ง ลูกชายของฉันไปล่วงเกินแกยังไง!!” เจิ้งก่วงอี้ถามขึ้นและเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อน ๆ ที่มาด้วย เขาก็ไม่เชื่อว่าเฉินฮั่นหลงคนนี้จะกล้าต่อกรกับพวกเขาสี่คน
“ลูกชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ของแกไม่ได้ล่วงเกินอะไรฉันหรอกแต่มันไปล่วงเกินคุณหนูถาง ฉันก็จะพูดให้จบตรงนี้เลยก็แล้วกัน ถ้าหากวันนี้แกไม่มาขอโทษคุณหนูถาง งั้นแกก็อย่าถือโทษโกรธฉันเลยนะ”
“ว่าไงนะ?” เจิ้งก่วงอี้ตกใจมากเมื่อได้ยินแบบนี้่เขากวาดตาไปมองถางโร้ว หลังจากนั้นก็มองไปที่เฉินฮั่นหลงแล้วพูดอย่างไม่น่าเชื่อ “เพื่อดารากระจอก ๆ แกกล้าเป็นศัตรูกับพวกเราเชียวงั้นเรอะ?”
หลิวย่งและคนอื่น ๆ เองตกใจมากหลังจากนั้นก็มองเฉินฮั่นหลงด้วยสีหน้าดูถูก เฉินฮั่นหลงคนนี้ ความคิดบ้ากาม หน้ามืดตามัว หลงดาราเด็กจนเป็นบ้าไปแล้ว
หลี่เทียนก็ถือโอกาสมองถางโร้วด้วยคน แต่แค่มองก็ทำให้เขาเข่าอ่อนลง ทันที เขาตกใจมากไม่ใช่เพราะว่าถางโร้วแต่เป็นเพราะว่าข้างกายเธอนั้นมีเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชายืนอยู่
ดูเหมือนว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับดาราคนนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เฉินฮั่นหลงมีท่าทางมั่นใจขนาดนั้น แต่เขาเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วว่าหยกที่ฉู่ชวิ๋นสร้างขึ้นสามารถเป็นเกราะกันกระสุนได้ มันเป็นพลังของเทพเจ้า! ชาวบ้านธรรมดาจะสามารถล่วงเกินเทพเจ้าได้เหรอ? คำตอบมันชัดเจนมากว่า….ไม่ได้!!! ในเวลานี้หลี่เทียนอยากจะวิ่งแจ้นออกไปแล้ว
“พี่ฉู่ชวิ๋น…” ถางโร้วดึงเสื้อเชิ้ตของฉู่ชวิ๋น ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความเป็นห่วง คนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองกู่เจียง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคบค้าสมาคมด้วยแต่เธอก็รู้จักพวกเขาดี
“ไม่ต้องเป็นห่วง ก็แค่พวกหางแถว” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างไม่ได้สนใจอะไรในสายตาเขานอกจากคนที่เขาห่วงใยคนอื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา หากเขาต้องการ เขาสามารถฆ่าคนพวกนี้ได้โดยที่พวกเขายังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
พวกหางแถว?
ถางโร้วอดไม่ได้ที่จะคิดตาม คนพวกนี้ล้วนเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ ไม่คิดว่าพี่ฉู่ชวิ๋นของเธอจะกล้าเรียกพวกเขาว่าพวกหางแถว แต่เธอรู้สึกว่า ฉู่ชวิ๋นไม่ได้กำลังพูดโม้โอ้อวดเลยสักนิด
สามปีที่ไม่ได้เจอกัน พี่ฉู่ชวิ๋นของเธอนั่นเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เขากลายเป็นคนที่ดูลึกลับ ดูเหมือนว่าเธอต้องจะรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ฉู่ชวิ๋นของเธอ!
“เฉินฮั่นหลง ดูไม่ออกเลยว่าคุณยังจะรักคนง่ายขนาดนี้ อ่า! แกอยากริมรสชาติความโกรธของ*อู๋ซานกุ้ยงั้นเหรอ?” ใบหน้าของเจิ้งกวงอี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าเฉินฮั่นหลงเป็นคนปกติธรรมดาคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฉินฮั่นหลงมันเป็นคนบ้า “เฉินฮั่นหลงฉันจะหักแขนขาแกแล้วเอาแม่ดาราคนนั้นมา…”
*อู๋ซานกุ้ย(吴三桂) คือแม่ทัพในปลายราชวงศ์หมิงผู้เปิดประตูเมืองให้แมนจูบุกเข้าปักกิ่งในสมัยหลี่จื้อเฉิง เป็นเหตุให้ชาวแมนจูได้รับชัยชนะและตั้งราชวงศ์ชิง แต่สุดท้ายก็ต้องตายในฐานะคนขายชาติ
“เจิ้งก่วงอี้ หุบปาก!” หลี่เทียนตะโกนออกมาเสียงดัง สายตาจ้องมองไปที่เจิ้งก่วงอี้ที่พูดมากเกินไป หลี่เทียนกลัวจนขี้ขึ้นสมองแล้วถึงยังไงพวกเขาก็ศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน เขาไม่อยากให้เจิ้งก่วงอี้รนหาที่ตาย
เจิ้งก่วงอี้มองหลี่เทียนอย่างสงสัย หลิวย่งและคนอื่น ๆ เองก็ใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง หลี่เทียนคนนี้กินลืมเขย่าขวดหรือเปล่า? ทำไมอยู่ ๆ ถึงตะโกนเสียงดังออกมา?
“ก้วงอี้ เรื่องนี้เป็นความผิดของเจิ้งกัน นายและลูกขอโทษคุณถางซะสิ!” หลี่เทียนพูดไปด้วยและแอบใช้สายตาส่งซิกให้เจิ้งก่วงอี้
เจิ้งก่วงอี้ หลิวย่งและคนอื่นล้วนเป็นบุคคลที่เป็นผู้เจนโลก หากสมองไม่ดี พวกเขาคนไม่อาจกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้พวกเขาคิดได้ทันที ที่ตรงนี้มีคนทำให้หลี่เทียนกลัว! เป็นใครกันแน่? ที่สามารถทำให้หลี่เทียนหวาดกลัวได้ คนผู้นี้ต้องร้ายเก่งมากแน่นอน
หลี่เที่ยนรีบเดินบุ่มบามเข้ามา เขาเดินไปหาฉู่ชวิ๋นพร้อมก้มหัวต่ำลงแล้วทำความเคารพกับพูดว่า
“สวัสดีครับนายท่าน คุณยังจำผมได้ไหมครับ?” น้ำเสียงของหลี่เทียนนั่นดังมากจนฉู่ชวิ๋นได้ยินชัดเจน
“จำได้” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ
เจิ้งก่วงอี้ หลิวย่งและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะมึนงง พวกเขาทำไมถึงคิดไม่ถึงคนที่ทำให้หลี่เทียนหวาดกลัวก็คือเด็กหนุ่มคนนี้
“เจิ้งก่วงอี้ แกยัง งงอะไรอยู่? รีบมาขอโทษนายท่านสิ” หลี่เทียนพยายามใช้แววตาหันไปบอกเจิ้งก่วงอี้เป็นนัย ๆ
เจิ้งก่วงอี้มองไปยังฉู่ชวิ๋นสีหน้ากระตุกไปวูบหนึ่ง หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือตระกูลใหญ่ที่มาจากปักกิ่ง? แต่ก็ไม่น่าถึงกับทำให้หลี่เทียนก้มหัวให้แบบนี้
หลี่เทียนสีหน้าเปลี่ยนไปเขาได้แต่ถอนหายใจนิดหน่อย สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีแค่นี้เขามองไปที่เจิ้งก่วงอี้อย่างเหนื่อยใจ หลิวย่งและคนอื่น ๆ จ้องมองหลี่เทียนแล้วทำท่าทางราวกับซ้อมกันมานานพวกเขาหันไปทางฉู่ชวิ๋นและก้มคำนับ “สวัสดีครับ นายท่าน!”
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ สีหน้าท่าทางของหลี่เทียนนั้นแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความหวาดกลัวที่แท้จริง พวกเขาไม่รู้จักฉู่ชวิ๋นก็จริงแต่พวกเขาเชื่อใจหลี่เทียนเพราะเขาถึงกับยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตนเอง
“หลี่เทียน แกพูดความจริงออกมา เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?” หลิวย่งเข้าใกล้หลี่เทียนแล้วกระซิบถาม หลี่เทียนส่ายหน้าบอกเป็นนัย ๆ ให้หลิวย่งไม่ต้องถามอะไรเยอะ
หลิวย่งรู้สึกกังวลในใจ ตัวตนของเขาเป็นใครกันแน่ถึงกับทำให้หลี่เทียนหวาดกลัวได้ขนาดนี้!!