บทที่ 25 สัญญาควบคุมวิญญาณ
ฉู่ชวิ๋นสามารถอ่านจิตใจคนได้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าไป๋เหรินเจี๋ยกำลังคิดอะไรอยู่ พอเห็นสายตาแบบนั้นของฉู่ชวิ๋นแล้ว เหงื่อบนหน้าผากของไป๋เหรินเจี๋ยก็ไหลออกมา
เขาเกลียดพี่ใหญ่ของตนเองมาก และก็เกลียดฉู่ชวิ๋นมากด้วยเช่นกันเพราะว่าฉู่ชวิ๋นต่างหากที่เป็นคนฆ่าลูกชายคนเดียวของเขา!!
เขากำลังเล่นเกมหมากรุกกระดานใหญ่อยู่ ถึงแม้ฝีมือของฉู่ชวิ๋นจะทำให้เขากลัว แต่เขาก็ต้องการมัน ถ้าเขาไม่เตรียมใจตาย เขาก็ไม่มีทางชนะคนของไป๋เหรินอัน พี่ชายของเขาได้
เขาเลยเสี่ยงตายมาให้ฉู่ชวิ๋นช่วยจัดการกับไป๋เหรินอัน เขาก็จะได้ครองอำนาจทั้งหมดของตระกูลไป๋ จะกลับมาจัดการกับฉู่ชวิ๋นทีหลังก็ไม่ยาก นั่นคือแผนการของเขา
แต่เขาเพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่าสิ่งที่เขาวาดฝันเอาไว้กับความจริงมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน หนุ่มน้อยที่อายุไม่มากนี้กลับมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ในเมื่อนายท่านไม่ยอมรับข้อเสนอ ก็ถือว่าผมไม่เคยมาที่นี่แล้วกัน” ไป๋เหรินเจี๋ยเกิดอาการกังวลขึ้นมา เขาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจมาที่นี่จะผิดมหันต์ ฉู่ชวิ๋นยังคงสงบนิ่ง แล้วมองไปยังไป๋เหรินเจี๋ยที่เดินไปถึงถึงประตู
“ผมสามารถรักษาโรคของคุณได้” ไป๋เหรินเจี๋ยนิ่งงันไปชั่วขณะ ทั้งที่ขาข้างหนึ่งก้าวออกไปนอกประตูแล้ว แต่เท้าอีกข้างกลับไม่ขยับ ก่อนจะหันกลับมามองฉู่ชวิ๋นอย่างรวดเร็ว
“นายท่านหมายความว่ายังไง ผมมีโรคอะไรงั้นเหรอ?” เฉินฮั่นหลงกับคนพวกนั้นก็มองฉู่ชวิ๋นอย่างงง ๆ พวกเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าไป๋เหรินเจี๋ยมีโรคอะไร พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดของฉู่ชวิ๋นถ้าฉู่ชวิ๋น บอกว่ามีแสดงว่ามันต้องมีจริง ๆ
“จริง ๆ แล้ว…ไป๋เซ่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณใช่มั้ยล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงเรียบ เขารู้จากเลือดว่าไป๋เซ่ากับไป๋เหรินเจี๋ยไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน คำพูดอันหนักแน่นของฉู่ชวิ๋นทำให้คนทั้งห้องนิ่งเป็นหินเป็นไปได้ยังไง? ไป๋เหรินเจี๋ยเหมือนกับคนบ้าขนาดนั้นเมื่อเห็นไป๋เซ่าตาย ถ้าเกิดไม่ใช่ลูกแท้ ๆ เขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน?
“การแสดงของคุณถือว่าใช้ได้ ความคิดละเอียดรอบคอบ แต่เสียดายที่ความสามารถสู้ความทะเยอทะยานไม่ได้” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นอีก สายตาของไป๋เหรินเจี๋ยวอกแวกไปมา ความกลัวบนใบหน้าก็กลบไม่มิด
“คุณยังรู้อะไรอีก?” เหงื่อบนหน้าผากของไป๋เหรินเจี๋ยผุดออกมามากกว่าเดิม มันไหลลงเข้าตาทำให้แสบไปหมดแต่กลับทำให้สมองได้สติขึ้นมา
“ผมจะรู้อะไรมันไม่สำคัญ สำคัญที่คุณอยากจะคว้าโอกาสนี้ไว้รึเปล่า”
ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเย็นชา “ผมสามารถทำให้คุณควบคุมตระกูลไป๋ได้ แถมยังรักษาโรคให้คุณได้อีกด้วย”
“คุณอยากจะให้ผมทำอะไร?” ไป๋เหรินเจี๋ยไม่เชื่อเหรอจะได้อะไรแบบนี้มาฟรี ๆ
“หมาที่จงรักภักดีตัวหนึ่ง…” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร ไป๋เหรินเจี๋ยมีความฮึกเหิมและทะเยอทะยาน มีฝีมือ คนแบบนี้พอได้โอกาสก็จะคว้าเอาไว้ ดังนั้นแล้วฉู่ชวิ๋นอยากให้คนแบบนี้เป็นสุนัขรับใช้ ขาทั้งสองข้างของไป๋เหรินเจี๋ยอ่อนยวบลงกับพื้น แววตาบ่งบอกถึงความโกรธแค้น แต่ความกลัวก็มีมากกว่า
สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพูดมามันจริงทั้งหมด ไป๋เซ่าไม่ใช่ลูกของเขา และเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น แม้กระทั่งพ่อของเขาเอง นั่นเป็นเพราะเขามีโรคอย่างหนึ่ง ที่ไม่สามารถมีลูกได้หรือเรียกว่าเป็นหมันนั่นเอง
เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างดี ถึงขั้นแต่งงานเพื่อปกปิด แต่เสียดายที่ภรรยาของเขาเป็นแม่หม้าย และไป๋เซ่า ก็เป็นลูกของภรรยาเขากับชาวสวน เขาจัดการฆ่าภรรยากับชาวสวนและเก็บไป๋เซ่าไว้เพื่อรักษาความลับการเป็นหมันของตัวเอง เรื่องทั้งหมดเขาจัดการอย่างลับ ๆ และไร้ซึ่งรอยรั่ว แต่ฉู่ชวิ๋นกลับรู้อย่างลึกซึ้ง
“คุณรักษาผมได้จริง ๆ เหรอ?” ไป๋เหรินเจี๋ยถาม พร้อมกับสายตาของความหวัง เพราะเขาเคยรักษากับหมอดี ๆ หลายคนแต่ก็ไม่เป็นผล
“ห๊ะ นี่แกเป็นโรคจริง ๆ เหรอ?” ฉู่ชวิ๋นยังไม่ทันได้พูดอะไร ซุนหยิงก็พูดขึ้นมาก่อน ก่อนจะหัวเราะชอบใจ “โรคอะไรไหนบอกหน่อยสิอย่าบอกนะว่าไอ้นั่นมีปัญหาอ่ะ?” ซุนหยิงว่าแล้วมองไปยังกลางลำตัวของไป๋เหรินเจี๋ย สำหรับศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เรื่องนี้ถือว่าน่าอายเอามาก ๆ และไป๋เหรินเจี๋ยก็รับไม่ได้จนหน้าแดงเถือก ปฏิกิริยาของเขาทำให้เฉินฮั่นหลงและคนอื่น ๆ รู้สึกแปลก ๆ
“บัดซบ เดาถูกจริง ๆ ด้วย? ไอ้นั่นของคุณใช้การไม่ได้เหรอ?” ซุนหยิงยังคงพูดขึ้นอีก ไป๋เหรินเจี๋ยเพ่งมองที่ซุนหยิงพร้อมกับแสยะยิ้ม นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ รับรองว่าเขาจะฆ่าซุนหยิงด้วยมือของเขาเองแน่ ๆ
แต่ซุนหยิงกลับไม่สนใจ แล้วยังคงหัวเราะราวกับตัวเองค้นพบเรื่องสนุก ๆ
เฉินฮั่นหลงหันไปมองส่งสัญญาณให้ซุนหยิงอย่าพูดมาก ไป๋เหรินเจี๋ยยังคงหันมองไปฉู่ชวิ๋นอย่างมีความหวัง
“ผมพูดออกมาขนาดนี้ แสดงว่าต้องทำได้ ปัญหาก็คือ…คุณทำได้รึเปล่า?” แววตาของไป๋เหรินเจี๋ยเปลี่ยนไป สมองก็หมุนรอบครุ่นคิด ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะพูดขึ้น “ถ้าเกิดว่าคุณสามารถรักษาผมได้ และช่วยให้ผมเป็นใหญ่ในตระกูลไป๋ ไป๋เหรินเจี๋ยคนนี้จะเป็นสุนัขรับใช้เคียงข้างคุณตลอดไป”
เฉินฮั่นหลงกับคนอื่น ๆ ตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าไป๋เหรินเจี๋ยจะยอมตกลง ฉู่ชวิ๋นมองไปยังร่างที่ก้มหน้าลงของไป๋เหรินเจี๋ยพร้อมกับสายตาที่เย้ยหยัน
“งั้นผมจะช่วยคุณเดี๋ยวนี้ละ” ตัวของไป๋เหรินเจี๋ยสั่นเบา ๆ ก่อนแววตาจะบ่งบอกถึงความดีใจ
เขาพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ขอบคุณมากครับนายท่าน”
“เอาเลือดมาหนึ่งหยด” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น ไป๋เหรินเจี๋ยนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะรีบกัดนิ้วตัวเองจนมีเลือดไหลออกมา ฉู่ชวิ๋นยื่นมือออกไป เลือดหยดนั้นก็ลอยขึ้นมายังเบื้องหน้าของเขา
มือของฉู่ชวิ๋นวาดไปราวกับเต้นรำและเขียนยันต์ออกมา “คาถาควบคุมวิญญาณ”
นี่ถือเป็นคาถาจัดการกับวิญญาณชนิดหนึ่ง หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นวาดมือบนอากาศเลือดหยดนั้นก็กลายเป็นใบหน้าของปีศาจที่น่าเกลียดน่ากลัว
“ไป!”
พอฉู่ชวิ๋นชี้นิ้วออกไป ใบหน้าปีศาจนั่นก็พุ่งเข้าผ่านกลางหน้าผากเข้าไปในตัวไป๋เหรินเจี๋ย
ไป๋เหรินเจี๋ยรู้สึกเหมือนในหัวเหมือนจะระเบิด และเหมือนมีสายตานับร้อยคู่กำลังจ้องมองเขาอยู่ เป็นความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกซู่
“แกทำอะไรกับฉัน!” ไป๋เหรินเจี๋ยมองอย่างโมโห
“คุณพูดอะไร? สุนัขก็ควรมีจิตสำนึกของสุนัข!” พอฉู่ชวิ๋นพูดจบ ไป๋เหรินเจี๋ยก็ร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะล้มลงนอนชักกระตุกอยู่บนพื้น ในหัวเหมือนมีไฟกำลังลุกโชนอยู่ มันเหมือนจริงราวกับจิตวิญญาณของตัวเองกำลังลุกไหม้ สภาพของไป๋เหรินเจี๋ยตอนนี้ทำให้คนที่มองอยู่ถอนหายใจอย่างเวทนา
ไม่ถึงห้าวินาที ไฟในหัวของไป๋เหรินเจี๋ยก็มอดลงความรู้สึกเจ็บปวดทุก ๆ อย่างก็หายไปด้วย
ถึงจะเป็นเวลาสั้น ๆ แค่ห้าวินาที แต่สำหรับไป๋เหรินเจี๋ยแล้วมันนานราวกับสิบปี ความเจ็บปวดที่เหมือนแทรกซึมลงไปในวิญญาณบอกเลยว่าเขาไม่ขอพบเจอกับมันอีกความรู้สึกที่น่ากลัวกว่าความตาย
“นี่เป็นคาถาควบคุมวิญญาณ เพียงแค่ผมต้องการร่างของคุณก็จะแตกสลายกลายเป็นผุยผงทันที” ฉู่ชวิ๋นยังคงพูดออกมาอย่างเรียบ ๆ ตัวของไป๋เหรินเจี๋ยสั่นไปหมด เหงื่อแตกเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ เสื้อเชิ้ตของเขาเปียกไปหมดทั้งตัว ก่อนจะรีบก้มคำนับฉู่ชวิ๋นที่อยู่ตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงที่กดลงต่ำ “ไป๋เหรินเจี๋ย คารวะนายท่าน!”
เฉินฮั่นหลงกับคนอื่น ๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าคาถาควบคุมวิญญาณคืออะไร แต่พอเห็นสภาพของไป๋เหรินเจี๋ยแล้วขาทั้งสองข้างก็อ่อนแรงลง
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้พูดอะไร ไป๋เหรินเจี๋ยก็ไม่กล้าขยับ ในหัวไม่กล้าคิดอะไรอย่างอื่นตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง สุนัขที่ฟังคำทำนายท่านทุกอย่าง
“ลุกขึ้นเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น
“ขอบคุณครับนายท่าน” ไป๋เหรินเจี๋ยลุกขึ้นยืนอย่างสั่น ๆ
“อย่าขยับ” พอพูดจบฉู่ชวิ๋นก็ชี้มือ ออกไปยังตัวของไป๋เหรินเจี๋ย หลายจุดบนตัวเขาและทุก ๆ ครั้งที่แตะลงไป ตัวของไป๋เหรินเจี๋ยก็จะสั่นทีหนึ่ง ไป๋เหรินเจี๋ยรู้สึกว่าทุก ๆ ครั้งนิ้วของฉู่ชวิ๋นโดนตัว มักจะให้ความรู้สึกที่ร้อนเหมือนไฟทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียน ในหน้าของไป๋เหรินเจี๋ยเริ่มแดงขึ้น และร้อนไปทั้งตัว
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างเหมือนมีอะไรแล่นผ่านและรู้สึกมีกำลังวังชา ความรู้สึกที่มีอะไรแล่นผ่านยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งผ่านไปไม่กี่นาที ร่างกายท่อนล่างของเขาที่ห่อเหี่ยวก็ตุงขึ้นมา
“ตุ้บบ!”
ไป๋เหรินเจี๋ยคุกเข่าลง
“ขอบคุณครับนายท่าน ขอบคุณครับนายท่าน ….” ไป๋เหรินเจี๋ยดีใจจนพูดวนซ้ำหลายรอบ ปีนี้เขาอายุสี่สิบแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ร่างกายท่อนล่างของเขาไม่เคยมีความรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน
พูดแบบจริง ๆ ก็คือในตอนนี้เขาก็เหมือนกับเด็กผู้ชายที่ไม่เคยรับรู้รสชาติของสาวสวย และเรื่องนี้ไม่สามารถป่าวประกาศได้ เขาก็เลยต้องซ่อนมันเอาไว้ ขนาดเรื่องภรรยามีชู้ก็ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกไปได้แต่ลอบฆ่าอย่างเงียบ ๆ เพื่อระบายความแค้นของตัวเอง ในที่สุดตอนนี้เขาก็เป็นเหมือนผู้ชายปกติสักที ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้าเขาประทานให้
“อั๊ยย่ะ! ขนาดไม่เบานี่หว่า” ซุนหยิงหัวเราะร้าย ไป๋เหรินเจี๋ยไม่ใส่ใจสิ่งที่ซุนหยิงพูด เพราะความเจ็บปวดที่ผ่านมามีเพียงเขาคนเดียวที่รู้
“นายท่านครับ คนที่ผมเอามาด้วยครั้งนี้ รับรองว่านายท่านจะต้องชอบใจ” อยู่ ๆ ไป๋เหรินเจี๋ยก็พูดขึ้น
“ใช่หวังซงมั้ย?” ฉู่ชวิ๋นถามขึ้น
“นายท่านช่างฉลาดหลักแหลม ใช่ครับ คือหวังซง” ไป๋เหรินเจี๋ยโค้งคำนับก่อนจะพูดต่อ “นายท่านโปรดรอสักครู่ ผมจะไปพาตัวเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้” พอเห็นว่าฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแล้ว ไป๋เหรินเจี๋ยก็รีบเดินออกไป ไม่นานนักป่ายเหรินเจี่ยก็ลากตัวหวังซงเข้ามา สายตาของหวังซงมองไปรอบ ๆ ด้วยความกลัว
“นายท่าน มันก็คือหวังซง” นายท่าน? หวังซงเกือบหัวใจวายเมื่อได้ยินคุณชายสองของตระกูลไป๋เรียกพ่อหนุ่มตรงหน้าว่านายท่าน หวังซงยังไม่ทันได้คิดอะไรออก ร่างกายก็โดนแรงดูดอะไรสักอย่างดึงเข้าไป
ไป๋เหรินเจี๋ยรีบปล่อยมือ พอยืนได้ที่ก็เงยหน้าดูและมันก็ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ มือของฉู่ชวิ๋นวางลงบนหัวของหวังซงที่เหมือนจะกลายเป็นหุ่นกระบอกไปแล้ว เขาเห็นแค่สีหน้าของฉู่ชวิ๋นที่เปลี่ยนไปเป็นดูไม่จืด แล้วก็….ตุ้ม! หวังซงร่างระเบิดกลายเป็นฝนเลือด แต่เบื้องหน้าของฉู่ชวิ๋นมีม่านพลังบาง ๆ ป้องกันเอาไว้ไม่ให้เลือดกระเด็นเข้าหา
ไป๋เหรินเจี๋ยกัดฟันแน่น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้เห็นภาพแบบนี้ คนเป็น ๆ หนึ่งคนอยู่ ๆ กลายเป็นฝนเลือดสาดกระจายแบบนี้ เป็นการโจมตีที่ทำให้คนธรรมดาต้องกลัวจนเป็นบ้า
เฉินฮั่นหลงและคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างไปจากไป๋เหรินเจี๋ย ฉู่ชวิ๋นปัดมือเบา ๆ ลมบาง ๆ ก็ซัดเอาเลือดที่ลอยล่องเหมือนกลุ่มหมอกนั่นหายไป ม่านพลังบาง ๆ ที่กั้นตรงหน้าก็หายไปด้วย แต่เฉินฮั่นหลงกับคนอื่น ๆ กลับหวาดกลัวจนถึงขึ้นไม่กล้าหายใจแรงเพราะตอนนี้ฉู่ชวิ๋นเหมือนกับพร้อมที่จะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
“มีใครรู้บ้างว่าบ่อนใต้ที่เรียกว่า จินหยินฮวาอยู่ที่ไหน?” เฉินฮั่นหลงกับคนอื่น ๆ ถอนหายใจออกมาแรง ๆ อย่างผ่อนคลาย นี่ถ้า ฉู่ชวิ๋นยังไม่พูดอะไรออกมาสักที พวกเขาก็คงต้องกลั้นหายใจต่อไป
“บ่อนใต้ดินจินหยินฮวา?” ไป๋เหรินเจี๋ยขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนสายตาจะเป็นประกายขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าผมจะเคยได้ยินน้องสามพูดขึ้นมา แต่ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจ”
“นายรีบกลับไปแล้วหาให้ได้ว่าบ่อนนั้นมันอยู่ที่ไหน” สายตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความดุดันแถมน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอันตราย เพราะเขาใช้พลังดูดความทรงจำของหวังซงออกมาจนเจอกับข่าวดี
หวังซงเป็นลูกค้าขาประจำของที่นั้น และยังติดหนี้ไม่น้อย ในภาพความจำนั้น มีผู้ชายที่มีแผลเป็นอยู่บนหน้าบอกให้หวังซงขับรถชนหลิวหรานหรือแม่ของฉู่ชวิ๋น เพื่อแลกกับหนี้ก้อนหนึ่ง ฉู่ชวิ๋นนวดคิ้วตัวเอง ถึงแม้ว่าข่าวที่ได้มาแต่ละครั้งจะไม่มาก แต่มันก็ย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะมีฝีมือมากขนาดไหน แต่ถ้าเขาพยายามสืบหาอย่างรอบคอบแบบนี้แล้วยังไงก็ต้องค้นพบความจริงแน่นอน ตอนนี้ต้องหาบ่อนนั้นให้เจอก่อน แล้วจัดการกับคนที่มีรอยแผลเป็นนั่น!